Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระคุณมารดาบิดา (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ส.ค. 2006, 6:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มารดา บิดา เป็นบุคคลที่รู้จักกันทั่วโลก
คนเราเกิดมาเห็นโลกอันกว้างใหญ่นี้ได้
เพราะมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด
เป็นผู้ให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายแก่ลูก
ซ้ำมารดาบิดายังบำเพ็ญตนเป็นยอดนักบุญ
สำหรับชีวิตของลูกอีกด้วย
เป็นผู้เสียสละความสุขของตนเองทุกๆ อย่าง
เฝ้าทะนุถนอมเอาใจใส่ลูกทุกเวลา
ทำทุกอย่าง เพื่อความผาสุขของลูก
ลูกต้องการปรารถนาสิ่งใด อันเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย
ก็พยายามจัดหาให้ทุกอย่าง
เป็นผู้ใกล้ชิดลูกยิ่งกว่าใครๆ ทุกคนจึงรู้จักมารดาบิดาดี

ส่วนลูกส่วนมาก หารู้จักและซึ้งถึงพระคุณ
ของผู้เป็นมารดาบิดาไม่
คงรู้จักแต่เพียงว่าชายผู้ให้กำเนิดแก่คนเรียกว่า บิดา
หญิงผู้ให้กำเนิดแก่ตนเรียกว่า มารดา เท่านั้น
แท้จริงแล้ว ท่านผู้ให้กำเนิดทั้งสองนั้น
เป็นผู้มีพระคุณมากมาย
สุดที่ลูกผู้กตัญญูรู้คุณ จะทดแทนพระคุณให้สิ้นสุดได้
เพราะเหตุนี้เอง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงซึ้งถึงพระคุณของผู้เป็นมารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตรว่า
เป็นพระพรหม เป็นบุรพเทวดา เป็นบุรพาจารย์
เป็นอาหุเนยยบุคคล ของบุตรดังนี้


มารดา บิดา เป็นผู้ที่มั่นคงในพรหมวิหารธรรม
โดยไม่ยอมทิ้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ในลูกของตน ย่อมมีเมตตารักใคร่ในลูก
ปรารถนาจะเห็นลูกของตนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
มีความสุข ร่าเริง แจ่มใส มีกรุณา สงสาร
เมื่อลูกของตนต้องประสบความทุกข์
คิดแต่จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
มีความสุขความเจริญ เมื่อเห็นว่าลูกของตนมีความสุข
สามารถเลี้ยงและปกครองตนเองและครอบครัว
ให้มีความสุขได้
ก็พลอยมีมุทิตายินดีด้วย ไม่อิจฉาริษยาในความสุขของลูก
เมื่อเห็นลูกต้องประสบทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่ซ้ำเติม
วางจิตมัธยัสถ์เป็นกลางเสมอ มารดาบิดา
จึงเป็นดุจท้าวมหาพรหมที่ไม่เคยละภาวนา ๔ ในหมู่สัตว์
จึงได้รับนามบัญญัติว่าเป็น "พระพรหมของลูก"


มารดา บิดา เป็นผู้พิทักษ์รักษาลูกก่อนเทวดาทั้งปวง
นับตั้งแต่ลูกในครรภ์ เมื่อลูกเกิดมาแล้ว
ก็เอาใจใส่ดูแล แม้บางคราวลูกทุบตีตนเพราะไม่รู้เดียงสา
แทนที่มารดาบิดาจะเกลียดและโกรธ
กลับยกโทษให้และยังเพิ่มความรักใคร่ในลูกของตนเสียอีก
ไม่คำนึงถึงความผิดใดๆ ของลูกทั้งสิ้น
บางครั้งลูกทำผิด มารดาบิดาก็ดุว่ากล่าวหรือลงโทษ
แต่ด้วยใจริงแล้ว ไม่ปรารถนาจะให้ลูกของตนเดือดร้อน
ทำไปด้วยความรักความหวังดี ปรารถนาให้ลูกของตน
มีความสุขความเจริญ มารดาบิดาจึงชื่อว่าเป็นเทวดา
คือ ผู้ประเสริฐสุดสำหรับลูก
ท่านไม่พยายามที่จะทำความชั่วให้ปรากฏแก่ลูก
เกรงลูกจะถือเอาแนวปฏิบัติสร้างตนในทางที่ผิด
เมื่อลูกรู้จักคุณแล้ว ทำปฏิการะตอบแทน
จึงเป็นบุญเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
เพราะเหตุที่ท่านทั้งสองบำเพ็ญตนเป็นเหมือน
พระวิสุทธิเทพผู้ประเสริฐ
ซึ่งท่านไม่ปรารภถึงความผิดใดๆ ที่พวกคนพาลก่อขึ้น
มุ่งแต่ให้พวกเขามีความสุขความเจริญฝ่ายเดียว
คุณความดีของมารดาบิดาข้อนี้เอง
ท่านจึงได้นามว่า "บุรพเทวดาของลูก"


มารดา บิดา เป็นทั้งครูอาจารย์ก่อนกว่าครูอาจารย์อื่นๆ
เป็นผู้แนะนำอบรมสั่งสอนให้ลูกรู้จักกิน นอน พูด ทำ
รู้จักดีชั่ว ควรไม่ควร เป็นทั้งผู้สอนและผู้ฝึกหัดให้ทุกอย่าง
ท่านจึงสงเคราะห์มารดาบิดาว่าเป็นบุรพทิศในทิศ ๖
คุณความดีข้อนี้เอง ท่านจึงได้นามว่า "บุรพาจารย์ของลูก"


มารดา บิดา เป็นผู้มีพระคุณหลายประการดังกล่าวมาแล้ว
เป็นทั้งผู้ให้กำเนิด เป็นทั้งผู้เลี้ยงดูให้อุปการะและสั่งสอน
จนเป็นผู้สมควรอย่างยิ่งที่ลูกผู้กตัญญูรู้คุณ
จะพึงนำสักการะ มีอาหารและผ้าผ่อนท่อนสไบ เป็นต้น
มาบูชาเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน
เพราะเมื่อสักการะบูชาท่านแล้ว ย่อมได้ผลานิสงส์มาก
เหมือนได้สักการะบูชาแด่พระอรหันต์ขีณาสพ
ท่านจึงได้นามว่าเป็น "อาหุเนยยบุคคลของลูก"


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 ส.ค. 2006, 6:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มารดา บิดา เป็นทั้งผู้สร้าง และผู้อุปถัมภ์
เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูกแล้ว
ก็ต้องรับภาระเป็นผู้อนุเคราะห์เลี้ยงดูอีก ไม่ทอดทิ้ง
พยายามที่จะเสกสรรปั้นแต่งลูกของตนให้เป็นคนดี
เพราะเหตุนี้เอง พระมหามุนีศาสดาจารย์
จึงตรัสแก่คฤหบดีบุตรชื่อ สิคาลกะว่า
ดูกร คฤหบดีบุตร มารดาบิดาพึงอนุเคราะห์บุตรของตน โดยสถาน ๕ คือ

๑. ป้องกันบุตรธิดามิให้ทำความชั่ว
๒. ส่งเสริมให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
๕. มอบทรัพย์ให้ในสมัย


เพราะมารดาบิดา มีพระคุณอันใหญ่หลวงดังกล่าวมานี้
ผู้เป็นลูกจึงต้องคำนึงระลึกถึงเสมอ
และหาทางตอบแทนพระคุณ
แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ทรงสนองพระคุณของพระชนนี
เพื่อชดใช้ค่าข้าวป้อนและค่าน้ำนม
โดยเสด็จไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์พิภพ
แล้วทรงแสดงพระอภิธรรมโปรด
จึงเป็นเนตติแบบอย่างอันดี
สำหรับพุทธบริษัทผู้เคารพนับถือในพระองค์ จึงพึงปฏิบัติตาม
ถ้าหวังจะบำเพ็ญตนเป็นลูกที่ดี จึงเป็นการสมควรแล้ว
ที่จะหาทางสนองพระคุณท่าน ตามฐานะและโอกาส
ด้วยการเลี้ยงดูท่านให้ได้รับความสุข
เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อท่าน
ผู้ดำรงอยู่ในฐานะบุพการี ผู้ทำอุปการให้แก่ตนก่อน
ขอนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่คฤหบดีบุตร
ชื่อ สิคาลกะ ว่า ดูกร คฤหบดีบุตร เมื่อมารดาบิดา
ได้อนุเคราะห์บุตรธิดาโดยสถาน ๕ แล้ว
บุตรธิดาพึงปฏิการะตอบแทนโดยสถาน ๕ เช่นเดียวกัน คือ

๑. ท่านเลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
๒. ช่วยทำกิจของท่าน ไม่ดูดาย
๓. ดำรงวงศ์สกุล ไม่ให้เสื่อม
๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรได้รับมรดก
๕. เมื่อท่านล่วงลับไป ทำบุญอุทิศให้แก่ท่าน

ทั้ง ๕ สถานนี้ สถานต้นเป็นข้อที่ผู้เป็นลูกควรทำ
เพราะเราเจริญเติบโตได้ก็อาศัยที่ท่านมี
เมตตาจิตให้การเลี้ยงดู
เมื่อท่านแก่เฒ่าลงจึงเป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงเลี้ยงดูท่าน
เป็นการตอบแทน เป็นการชดใช้หรือทดแทนพระคุณท่าน
ที่ทำไว้ก่อน มีภาษิตบทหนึ่งสำหรับเตือนใจผู้เป็นลูก
ให้ทดแทนพระคุณท่านด้วยการเลี้ยงดูว่า
อันทิศเบื้องหน้า บิดามารดาพึ่งอาศัย อย่าได้ดูถูก
หมั่นปลูกอาลัย หมั่นเลี้ยงท่านไป ตราบม้วยชีวา

การเลี้ยงท่านนั้น ท่านแสดงไว้ ๒ ประการ คือ
๑. การเลี้ยงภายนอก ได้แก่ การอุปฐากอย่างต่ำ
๒. การเลี้ยงภายใน ได้แก่ การอุปฐากอย่างสูง


การเลี้ยงภายนอกนั้น
ได้แก่ การจัดหาข้าวปลาอาหาร
และผ้าผ่อนท่อนสไบให้แก่ท่าน
เป็นการเลี้ยงและให้ความสุขทางกายแก่ท่าน
อันนับว่าเป็นอามิสบูชา เป็นส่วนการอุปฐากอย่างต่ำ


ส่วนการเลี้ยงดูภายในนั้น
ได้แก่ การเลี้ยงดูน้ำใจท่าน
โดยเป็นผู้เชื่อฟังตั้งอยู่ในคำสั่งสอนไม่ขัดข้อง
ทั้งเป็นผู้หาโอกาส ทำให้ท่านเป็นผู้มีจิตใจ
เป็นผู้เจริญด้วยคุณธรรม หาทางนำท่านผู้ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา
ผู้ไม่มีศีลให้มีศีล ผู้ไม่มีจาคะการบริจาค
ให้มีจาคะการบริจาค ผู้ไม่มีปัญญาให้มีปัญญา
ดังพระสารีบุตรเถระเจ้าแนะนำมารดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ นับว่าเป็นปฏิบัติบูชา
เป็นส่วนแห่งการอุปฐากอย่างสูง


ลูกบางคนเลี้ยงมารดาบิดา เพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ
ไม่คำนึงถึงพระคุณเป็นส่วนใหญ่
การทำเช่นนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการสนองพระคุณท่าน
อันเป็นส่วนกตัญญูกตเวทีเลย
หากมารดาบิดาไม่มีทรัพย์สมบัติแล้ว
ลูกก็ไม่เลี้ยงดูนำพาปล่อยให้เป็นอยู่ตามยถากรรม
ลูกเช่นว่านี้เป็นลูกอกตัญญู ไม่รู้จักคุณ
เพราะเหตุนั้นการเลี้ยงดูท่าน
จึงเป็นหลักอันสำคัญที่ลูกผู้กตัญญูกตเวทีจะพึงทำ
เพราะเป็นเหตุนำมงคลคือความเจริญมาให้
ดังพระศาสดาตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า

มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นมงคลอย่างสูงสุด
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องและสรรเสริญผู้เลี้ยงมารดาบิดาไว้มาก
แม้ภิกษุผู้บวชในพระธรรมวินัย
ก็ยังทรงอนุญาตให้เลี้ยงมารดาบิดาได้
เที่ยวบิณฑบาตได้อาหารมา
แม้ตนเองมิยังไม่ได้ฉันก็ให้แก่มารดาบิดาได้
ไม่ชื่อว่าทำศรัทธาไทยของทายกให้เสียไป
ทั้งไม่มีโทษทางพระวินัยด้วย
การช่วยเหลือทำกิจการงานของท่านนั้น
เป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงกระทำ
เพราะเป็นการผ่อนแรงท่าน ที่ตรากตรำหาเลี้ยงเรามา
ไม่ทำตนเป็นคนดูดาย เอาแต่เที่ยวเตร่หาความสนุกสนาน
ปล่อยให้ท่านทั้งสองทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำไปตามลำพัง
อย่างน้อยผู้เป็นลูกต้องนึกบ้างว่า
มารดาบิดาของลูกทุกคน
เมื่อมีลูกก็ย่อมปรารถนาหวังพึ่งพาอาศัยบ้าง
โบราณภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

"มีลูกเหมือนปลูกต้นโพธิ์ เมื่อใหญ่เมื่อโตจะได้อาศัย
ยามเจ็บไข้จะได้ฝากไข้ ยามตายจะได้ฝากผี
เวลาดีๆ เอาไว้ใช้สอย"
ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่ลูกไม่พึงละเลยในการช่วยเหลือ
ทำกิจการงานของท่าน ส่วนการประพฤติตนเป็นคนดี
เมื่อรักษาวงศ์สกุลของตนไม่ให้เสียหาย
และการประพฤติตนให้เป็นคนสมควรรับ
และปกครองทรัพย์มรดกของท่านนั้น
ก็ล้วนเป็นหลักสำคัญทั้งนั้น
นอกจากจะเป็นการทำตนให้เจริญแล้ว
ยังเป็นการทำให้ท่านพอใจและเกิดความสุข
อันเป็นการเลี้ยงน้ำใจท่านด้วย

ส่วนประการหลังนั้น เป็นการสนองพระคุณครั้งสุดท้าย
แม้จะเป็นการทำลับหลังก็ตาม
ก็เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า
ตนเป็นลูกกตัญญูกตเวที
ไม่ลืมความดีที่ท่านทำไว้แก่ตน
ขวนขวายที่จะทำตอบแทนในเมื่อมีโอกาส
เป็นการประกาศให้ทราบว่าเป็นคนหน้าคบหาสมาคม
แม้ฝ่ายหนึ่งล่วงลับไปแล้ว
ก็ยังระลึกถึงและหาทางสนองคุณ
ฉะนั้นเมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปจึงเป็นหน้าที่
ที่ลูกต้องทำบุญอุทิศให้โดยแท้
ถ้าอยากเป็นลูกดี ก็ควรนึกถึงภาษิตเตือนใจบทหนึ่งที่ว่า

ลูกไม่ดี--------มีเท่าไร-------ไม่คุ้ม
ดุจลูกตุ้ม------แกว่งไกว-----ไพร่สถุล
แต่ลูกดี--------มีหลัก---------รู้จักคุณ
หมั่นทำบุญ----อุทิศให้-------เมื่อวายปราณ.


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

คัดลอกจาก...
http://www.jarun.org

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 ส.ค. 2006, 11:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ.. สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง