Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กินเนื้อสัตว์บาปหรือไม่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
hs6kjg
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 28 มิ.ย. 2008
ตอบ: 7

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2008, 1:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กินเนื้อสัตว์บาปหรือไม่

Image

ปัญหา มีพุทธศาสนิกชนบางพวกเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเพราะเป็นการส่งเสริมให้คนอื่นฆ่า ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ?
พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.....”

ชีวกสูตร ม. ม. (๕๗)
ตบ. ๑๓ : ๔๘-๔๙ ตท.๑๓ : ๑๓ : ๔๗
ตอ. Mls. Ii : ๓๓

1. เนื้อที่ได้ยิน เช่น ได้ยินชาวบ้านเขา สนทนากันว่าจะมีการฆ่า หมูตัวนั้นตัวนี้ เพื่อถวายพระคุณเจ้า เป็นต้น...แบบนี้ห้ามรับประเคน
2. เนื้อที่ได้เห็น เช่น เห็นไก่วิ่งเล่นอยู่ สักครู่เดียวได้ยินเสียงมันร้องด้วยความเจ็บปวด สักครู่กลายเป็นต้มยำไก่ มาถวาย...แบบนี้ก็รู้อยู่แล้วเพราะเมื่อกี๊ก็เห็นมันอยู่ แต่ก็ตายเพื่อมาเป็นอาหารแก่ตนโดยเฉพาะ...ห้ามรับประเคน
3. เนื้อที่ตนรังเกียจ ก็คือ เนื้อที่ตนเองรังเกียจด้วยเหตุแห่ง 2 มูลเหตุ ใน 2 ข้อแรก

พระสังฆราช เคยปรารถเรื่องการกินเจกับพระราชินีว่าคนไทยเข้าใจผิดอยู่มาก

การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆไม่ได้บุญครับ

อธิบายคือ---เราไม่กินข้าวขาหมู แล้วคิด(จิตนาการ) ว่า หมูจะไม่ถูกฆ่า---
เปรียบได้กับ---เรานั่งอยู่บ้านเฉยๆ แล้วคิด(จิตนาการ) ว่า เราไปช่วยสอนหนังสือคนอนาถา---

บุญที่เราไปสอนหนังสือคนอนาถานั้น ไม่มี ไม่เกิด เพราะเรา นึกๆคิดๆไปเองไม่ได้ทำ ไม่ได้กระทำจริง
กินเจ บุญที่เราช่วยชีวิตสัตว์ (มี 2 ข้อคือ 1.ช่วยมัน 2.ไม่ทำร้ายมัน) ก็ไม่เกิด เพราะเราไม่ได้ลงมือกระทำจริง เป็นเพียงคิดไปเอง

พระเทวทัตเคย มาเสนอให้ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์
พระพุทธเจ้าปฎิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า
1.เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น
2.พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย
3.อนุญาติในการกินเนื้อสัตว์ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่เนื้อที่ฆ่าโดยเฉพาะให้ตน
4.อาหารเป็นแค่ของเลี้ยงกายไม่ให้ตาย อย่าสนใจมาก

Image

การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่
การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา
ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์เลย

การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?
การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
“นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”
“บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

การกินผักก็อาจจะต้องฆ่าสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนตายได้...ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย...

หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า

"ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

Image
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2008, 1:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าขออนุญาต แสดงความคิดเห็นส่วนตัว ตามหลักการทางศาสนาว่า

การรับประทานเนื้อสัตว์นั้น ถ้าเป็นศาสนาสากลนิยมทั่วไป ไม่บาป ขอรับ กลับเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
และปัจจุบัน การเลี้ยงสัตว์ ก็เป็นไปเพื่อบริโภค เป็นส่วนใหญ่ เลยทีเดียว
ที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นไปนั้น ไม่ใช่ส่งเสริมให้มีการฆ่าสัตว์ หรือทรมานสัตว์ เพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องนะขอรับ
แต่หากท่านทั้งหลายพิจารณา ตามหลักความเป็นจริงของมนุษย์ แล้วละก้อ
มนุษย์ ไม่สามารถผลิตอาหารประเภทพืช และผลไม้ ได้อย่างพอเพียงต่อความต้องการของมนุษย์ อีกทั้งแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย บางชนิด ไม่มีในพืช แต่มีในสัตว์
หากรับประทานแต่พืชผักหลายปี ทุกมื้อ สภาพร่างกายย่อมต้องด้อยกว่าบุคคลทั่วๆไป ที่รับประทานอาหารครบ 5 หมู่
ท่านทั้งหลายที่ได้อ่าน ขอให้พิจารณา ตามสะดวก เพราะเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นขอรับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2008, 2:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บาปอยู่กับคนทำ กรรมอยู่กับคนกิน
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2008, 8:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อันนี้ละเอียดดีครับ
อ้างอิงจาก:

ภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ เห็นคนทั้งหลายถือตาข่าย และเห

เป็นต้น กำลังออกไปจากบ้านหรือกำลังเที่ยวอยู่ในป่า แต่วันรุ่งขึ้น เมื่อภิกษุ

เหล่านั้น เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนั้น คนเหล่านั้นก็นำบิณฑบาต (อาหาร) ที่มี

เนื้อปลาถวาย ภิกษุเหล่านั้น ก็สงสัยโดยการเห็นนั้นว่า เนื้อปลาเขาทำมา

เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายหรือหนอ. นี้ชื่อว่าสงสัยโดยเห็น รับอาหารที่

สงสัยโดยการเห็นนั้น ไม่ควร. อาหารใด ภิกษุไม่ได้สงสัยอย่างนั้น รับอาหาร

นั้นก็ควร. ก็ถ้าคนเหล่านั้นถามว่า ท่านเจ้าข้า เหตุไรพระคุณเจ้าจึงไม่รับ

ฟังคำตอบของพวกภิกษุแล้ว ก็กล่าวว่า อาหารนี้ พวกเรา มิได้ทำเพื่อ

ประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายดอก แต่พวกเราทำเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือ

เพื่อประโยชน์แก่ข้าราชการเป็นต้นต่างหาก รับอาหารนั้นก็ควร.

ภิกษุทั้งหลายไม่เห็นอย่างนั้นเลย แต่ได้ยินมาว่า เขาว่าคนทั้งหลาย

ถือตาข่ายและแหเป็นต้น ออกจากบ้านไป หรือเที่ยวไปในป่า รุ่งขึ้น เมื่อภิกษุ

เหล่านั้นเข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนั้น คนเหล่านั้น ก็นำบิณฑบาตที่มีเนื้อปลา

มาถวายภิกษุเหล่านั้น ก็สงสัยโดยการได้ยินนั้นว่า เขาทำเพื่อประโยชน์ แก่

ภิกษุทั้งหลายหรือหนอ. นี้ชื่อว่า สงสัยโดยได้ยินมา. รับอาหารนั้น ไม่ควร.

อาหารใด มิได้สงสัยอย่างนั้น รับอาหารนั้นก็ควร. แต่ถ้าคนเหล่านั้นถามว่า

ท่านเจ้าข้า เหตุไร พระคุณเจ้า จึงไม่รับ ฟังคำตอบของภิกษุเหล่านั้นแล้ว

ก็กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อาหารนี้ พวกเรามิได้ทำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย

ดอก แต่พวกเราทำเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง หรือเพื่อประโยชน์แก่พวก

ข้าราชการเป็นต้นต่างหาก รับอาหารนั้นก็ควร.

อนึ่ง ภิกษุไม่เห็น ไม่ได้ยินมา เมื่อภิกษุเหล่านั้นเข้าไปบิณฑบาตยัง

บ้านนั้นคนทั้งหลายรับบาตรเอาไปตกแต่งบิณฑบาตที่มีเนื้อปลา นำไปถวาย

ภิกษุเหล่านั้น ก็สงสัยว่า เขาทำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายหรือ นี้ชื่อว่า

สงสัยนอกไปจากทั้งสองอย่างนั้น. รับอาหารแม้นั้นก็ไม่ควร อาหารใดมิได้สงสัย

อย่างนั้นรับอาหารนั้นก็ควร. แล้วถ้าคนเหล่านั้น ถามว่า ท่านเจ้าข้า เหตุไร

พระคุณเจ้าจึงไม่รับ ฟังคำตอบของพวกภิกษุแล้ว ก็กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อาหาร

นี้ พวกเรามิได้ทำประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลายดอก เราทำเพื่อประโยชน์

แก่ตนเอง หรือ เพื่อประโยชน์แก่ข้าราชการเป็นต้นต่างหาก หรือว่า พวกเรา

ได้ปวัตตมังสะ (เนื้อที่เขามีอยู่แล้ว) เป็นของกัปปิยะ (ควร) ทั้งนั้น จึงตก

แต่งเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย รับอาหารนั้นก็ควร. ในอาหารที่เขาทำเพื่อ

ประโยชน์เป็นเปตกิจ (อุทิศ) สำหรับคนที่ตายไปแล้ว หรือเพื่อประโยชน์แก่

การมงคลเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน. แท้จริงอาหารใด ๆ เขามิได้กระทำเพื่อ

ประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายก็มิได้เคลือบแคลง สงสัยใน

อาหารอันใด รับอาหารนั้นทุกอย่างก็ควร. แต่ถ้าอาหารเขาทำอุทิศภิกษุทั้งหลาย

ในวัดหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อประโยชน์แก่ตน ภิกษุเหล่าอื่นรู้

ภิกษุเหล่าใดรู้ อาหารนั้นก็ไม่ควรแก่ภิกษุเหล่านั้น ควรแก่ภิกษุนอกจากนี้

ภิกษุเหล่าอื่นไม่รู้ ภิกษุเหล่านั้นเท่านั้นที่รู้ อาหารนั้นก็ไม่ควรแก่ภิกษุเหล่า

นั้น ควรแก่ภิกษุเหล่าอื่น แม้ภิกษุเหล่านั้นรู้ว่า เขาทำเพื่อประโยชน์แก่พวก

เรา แม้ภิกษุเหล่าอื่นก็รู้ว่าเขาทำเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุเหล่านั้น อาหารนั้นก็

ไม่ควรแก่ภิกษุทั้งหมด ภิกษุทั้งหมดไม่รู้ ก็ควรแก่ภิกษุทั้งหมดนั่นแหละ.

บรรดาสหธรรมิก ๕ รูป อาหารที่เขาทำอุทิศแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง

ย่อมไม่สมควรแก่สหธรรมิกหมดทุกรูป ก็ถ้าบางคนฆ่าสัตว์เจาะจงภิกษุรูปหนึ่ง

แล้วบรรจุบาตรเต็มด้วยเนื้อสัตว์นั้นถวาย แม้ภิกษุนั้นก็รู้อยู่ว่า เขาทำเพื่อประ-

โยชน์แก่ตน ครั้นรับแล้ว ก็ถวายแก่ภิกษุรูปอื่น ภิกษุนั้นก็ฉันด้วยความเชื่อ

ถือภิกษุนั้น. ถามว่า ใครเป็นอาบัติ. ตอบว่า ไม่เป็นอาบัติทั้งสองรูป เพราะ

ว่า อาหารใด เขาทำเจาะจงแก่เธอ เธอก็ไม่เป็นอาบัติเพราะเธอไม่ฉันอาหาร

นั้น อีกรูปหนึ่ง (ฉัน ) ก็ไม่เป็นอาบัติเพราะไม่รู้ ในการรับกัปปิยมังสะ (เนื้อ

ที่สมควรแก่สมณะ) ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุไม่รู้ว่าเป็นอุทิศมังสะ มารู้ภายหลังที่

ฉันแล้ว ก็ไม่มีกิจ คือ การแสดงอาบัติ. ส่วนภิกษุไม่รู้ว่า เป็นอกัปปิยมังสะ

มารู้ภายหลังฉันแล้ว ต้องแสดงอาบัติ ภิกษุรู้ว่า เป็นอุทิศมังสะแล้วฉันเป็น

อาบัติ แม้ภิกษุไม่รู้ว่าเป็นอกัปปิยมังสะ แล้วฉัน ก็เป็นอาบัติทั้งนั้น เพราะ

ฉะนั้นภิกษุผู้กลัวอาบัติ แม้กำหนดรูปเป็นอารมณ์อยู่ ถามแล้ว ค่อยรับมังสะ

หรือเธอรับด้วยคิดว่าจักถามแล้วฉัน ในเวลาฉันถามแล้วค่อยฉัน. ถามว่าเพราะ

อะไร. ตอบว่า เพราะเป็นของที่ได้ยาก จริงอยู่ เนื้อหมีก็เหมือนๆ กับเนื้อ

หมู แม้เนื้อเสือเหลืองเป็นต้น ก็คล้ายกับเนื้อมฤค เพราะฉะนั้น พระ-

อาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า ถามแล้วค่อยรับจึงควร. คำว่าไม่เห็น คือไม่

เห็นเนื้อที่เขาฆ่าแล้วเอามาเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย. คำว่า ไม่ได้ยิน คือ

ไม่ได้ยินว่า เขาฆ่าแล้ว เอามาเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย. คำว่า ไม่สงสัย

คือไม่สงสัย ด้วยอำนาจสงสัยว่าเห็นมาเป็นต้น. คำว่า ปริโภคนฺติ วทามิ

ความว่า มังสะที่บริสุทธิ์ด้วยเหตุ ๓ ประการนี้ ชื่อว่าบริสุทธิ์ โดยส่วน ๓ จริง

อยู่ การฉันมังสะที่บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ นั้น ก็เช่นเดียวกับฉันกับข้าวและผักดอง

ที่เกิดเองในป่า ภิกษุผู้อยู่ด้วยเมตตา ฉันมังสะเช่นนั้นย่อมไม่มีโทษ เพราะ

ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ก็มังสะนั้นควรฉันได้.

บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงความที่ภิกษุผู้อยู่ด้วยเมตตา ไม่มีโทษในการ

ฉันมังสะเช่นนั้น จึงตรัสว่า อิธ ชีวก ภิกฺขุ ดังนี้เป็นต้น. ในคำนั้น ถึง

พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงกำหนดแล้วตรัสว่า. ภิกฺขุ ก็จริง ที่แท้พึงทราบ

ว่า ทรงหมายถึง พระองค์นั่นแลจึงตรัสอย่างนี้ จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงหมายถึงพระองค์เท่านั้นใน ๓ อาคตสถาน คือในมหาวัจฉโคตตสูตร ใน

จังกีสูตร และในสูตรนี้. ในอนังคณสูตร หนหลังที่ว่า ปณีเตน ปิณฺฑ-

ปาเตน ท่านหมายเอาว่า บิณฑบาตที่มีค่ามากทุกชนิด ชื่อว่าบิณฑบาตอัน

ประณีต แต่ในสูตรนี้. หมายเอามังสะที่สุก. คำว่า อคธิโต คือ ไม่ตะกราม

ด้วยความอยาก. คำว่า อมุจฺฉิโต คือ ไม่หมกมุ่นด้วยการหมกมุ่นด้วยความ

อยาก. คำว่า อนชฺฌาปนฺโน คือ ไม่ถูกความอยากครอบงำ อธิบายว่า

ไม่เป็นดังกาที่ต้องการขะม้ำทั้งหมดกลืนลงคอ ด้วยการจิกทีเดียวเท่านั้น. คำว่า

อาทีนวทสฺสาวี คือ เห็นโทษโดยนัยเป็นต้นว่า อาหารนี้กักอุ่นอยู่ที่พื้นท้อง

คืนหนึ่ง แล้วก็ออกไปทางปากแผล. (ทวาร) ทั้ง ๙. คำว่า นิสฺสรณปญฺโ

ปริภุญฺชติ คือกำหนดด้วยปัญญาว่า การบริโภคอาหารก็เพื่อประโยชน์อันนี้

แล้วบริโภค. คำว่า อตฺตพฺยาพาธาย วา เจเตติ คือ คิดเพื่อทำทุกข์

แก่ตน. คำว่า สุต เม ต คือ เรื่องนั้นเราได้ยินมา พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงแสดงว่า แต่ก่อน เรื่องนั้น เราเพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น. คำว่า สเจ โข

เต ชีวก อิท สนฺธาย ภาสิต ความว่า ดูก่อนชีวก ห้าวมหาพรหมละ

พยาบาทเป็นต้น ด้วยวิกขัมภนปหาน ละด้วยอำนาจการข่มไว้ ด้วยเหตุนั้น

ท้าวมหาพรหมนั้น จึงชื่อว่า อยู่ด้วยเมตตา ถ้าท่านกล่าวหมายถึงข้อนี้ด้วย

สมุจเฉทปหานละอย่างเด็ดขาดของเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็อนุมัติคำนี้ของท่าน

หมอชีวกก็รับ. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงพรรณนาเทศนาให้ยิ่ง

ขึ้นไป แม้ด้วยอำนาจพรหมวิหารที่เหลือแก่หมอชีวกนั้น จึงตรัสว่า อิธ ชีวก

ภิกฺขุ ดังนี้เป็นต้น คำนอกนั้นมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.

อรรถว่า โย โข ชีวก นี้เป็นอนุสนธิที่แยกแสดงต่างหาก จริง

อยู่ ในฐานะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปิดประตู ทรงแสดงความเอ็นดูสัตว์

ก็ถ้าคนทั้งหลายถวายบิณฑบาตมีรสอย่างยิ่ง แก่ภิกษุไร ๆ นั้น อย่างนี้แล้ว

กลับได้สวรรค์ถึงแสนกัปไซร้ เขาก็จะพึงทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ทำ

ผู้อื่นให้ตายแล้ว ถวายบิณฑบาตมีรสได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

เมื่อจะทรงปฏิเสธความข้อนั้น จึงตรัสว่า โย โข ชีวก ตถาคต ดังนี้เป็นต้น.

ในคำนั้น คำว่า อิมินา ปเมน าเนน ได้แก่ด้วยเหตุที่หนึ่ง ซึ่งเป็น

เพียงคำสั่งเท่านั้น อันนี้ก่อน. คำว่า คลปฺปเวเกน ได้แก่สัตว์ที่ถูกเชือก

ผูกคอลากมาหรือสัตว์ที่มีคอถูกผูกลากมา. คำว่า อารภิยมาโน ได้แก่ถูกเขา

ทำให้ตาย. คำว่า อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ ความว่า คนที่ให้ภิกษุฉันเนื้อ

หมีด้วยสำคัญว่า เนื้อหมู ฉันเนื้อเสือเหลืองด้วยสำคัญว่าเนื้อมฤค ก็พูด

เสียดสีว่า ท่านยังชื่อว่าสมณะหรือ ท่านฉันอกัปปิยมังสะ. ส่วนคนเหล่าใดรู้

ว่า เนื้อหมีเหมือนเนื้อหมู เนื้อเสือเหลืองเหมือนเนื้อมฤค ในยามอาหารหา

ยาก หรือใช้เยียวยาความเจ็บไข้ได้ก็พูดว่า นี้เนื้อหมู นี้เนื้อมฤค ให้ภิกษุ

ฉันด้วยอัธยาศัยเกื้อกูล พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ทรงหมายถึงคนเหล่านั้น

ตรัสคำนี้ เพราะคนเหล่านั้นย่อมได้บุญเป็นอันมาก บุคคลผู้นี้กล่าวว่า พระ-

เจ้าข้า ข้าพระบาทนี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งพระธรรม ทั้งพระภิกษุสงฆ์

ว่าเป็นสรณะ ชื่อว่าเป็นอริยสาวกผู้ประสบผล ผู้รู้คำสั่งสอนเป็นผู้เห็นสัจจะ

แล้ว ส่วนหมอชีวกหยั่งซึ้งพระธรรมเทศนานี้ เกิดความเลื่อมใส กระทำการ

ชมเชย (สดุดี) ธรรมกถา จึงกล่าวอย่างนี้. คำนอกนี้ในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้น.

จบอรรถกถาชีวกสูตรที่ ๕

http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B2_%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ค.2008, 3:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมคิดว่าบาปอยู่ที่จิตเป็นอกุศล ไปเบียดเบียนขันธ์ 5 ของสัตว์อื่น
ถ้าจิตไม่มีอกุศล ไม่ไปเบียดเบียนขันธ์ 5 ของสัตว์อื่นก็ไม่บาป เจ้าของซีพีขายไก่ เขาไม่บาป
เพราะจิตของเขาไม่มีอกุศล และไม่คิดปรุงแต่งว่าเบียดเบียนขันธ์ 5 ของสัตว์อื่นด้วย เขาเพียงแต่
ทำหน้าที่เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน

ส่วนชาวบ้านฆ่าไก่หรือสัตว์กินก็ไม่บาป เพราะจิตของเขาไม่มีอกุศล และไม่คิดปรุงแต่งว่าเบียดเบียน
ขันธ์ 5 ของสัตว์อื่นด้วย เขาต้องยังชีพด้วยอาหารประเภทสัตว์ แต่การฆ่าเกินกว่าการยังชีพ นั่นซิบาป

คำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าต้องดูว่าพระองค์ท่านสอนพระหรือปถุชน พระที่ไปคิดปรุงแต่งว่าชาวบ้าน
ต้องฆ่าสัตว์นี้มาบิณฑบาตร คิดเท่านี้ก็บาปแล้ว

ทุกท่านคงรู้ว่า พระพุทธเจ้าบริโภคเนื้อสัตว์มาตลอดชีวิต และพระองค์ก็ตายในวันที่บริโภคเนื้อหมู
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2008, 7:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรรมมีจริง - จากเรื่องเล่าโดย

ผศ.นายสัตวแพทย์พงศ์ศักดิ์ ศรีธเนศชัย


ผมได้เคยทำกรรมไว้นานแล้วในที่สุดมันก็ตามมาจนทันได้ ในปีพ.ศ.2524-2525
ผมได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมการเลี้ยงไก่
ผมมีหน้าที่ดูแลสุขภาพของไก่มีไก่พันธุ์จำนวน 4 แสนตัว ไก่กระทง 2 ล้านตัว
ทุกเดือนผมต้องเจาะเลือดไก่อายุ 1 วันจากหัวใจทุกเดือนๆละหลายร้อยตัว
ทุกครั้งที่ผมต้องทำผมรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจตลอดเวลา แต่ต้องทำเพราะเป็น
หน้าที่หลังเจาะเลือดไก่แล้วไก่เกือบทั้งหมดจะตาย ผมทำไปก็เสียใจแต่ไม่รู้จะทำ
อย่างไรเราได้เบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นสร้างบาปกรรมไว้ผมทำงานได้ 6 เดือนก็
เปลี่ยนงานใหม่ ดีใจมากเลยทีได้หลุดพ้นจากการสร้างกรรมแตหนีไม่พ้น เมื่อ
วันที่ 12 ธันวาคม 2547 ผมเกือบเอาชีวิตไม่รอดเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบต้อง
เข้าโรงพยาบาลโดยด่วนเนื่องจากแน่นหน้าอกเกือบเสียชีวิตปัจจุบันหลังจากทำ
บัลลูนและมีสปริงอยู่ในเส้นเลือดหัวใจ ทุกวันนี้การหายใจบางครั้งมีอาการเจ็บแปล๊บๆ
ที่หัวใจ เหมือนกับมีเข็มทิ่มที่หัวใจ เหนื่อยง่าย เมื่อเกิดอาการครั้งใดก็นึกถึงกรรมที่
เราได้ก่อไว้กับลูกไก่เมื่อ 25 ปีมาแล้ว หมอโรคหัวใจบอกเจ็บแปล๊บๆไม่เกี่ยวกับหัวใจ
ถึงแม้จะมีความดีอยู่บ้างที่ช่วยชีวิตไก่ส่วนใหญ่แต่ก็มีบาปติดตัว ทุกวันนี้มีโอกาสจะทำ
แต่ความดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอแต่กรรมที่ก่อไว้คงต้องชดใช้ไป กัลยาณมิตรทั้งหลาย

โปรดละเว้นจากการสร้างกรรมเสียเถิด กรรมมีจริง ชาตินี้ได้พบแล้วไม่ต้องรอชาติหน้า

สวัสดี --

ผศ.นายสัตวแพทย์พงศ์ศักดิ์ ศรีธเนศชัย



ที่มา : ประสบการณ์จริง

--------------------------------------------------------------------------------

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=49

ลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์ เพื่อละการจองเวรและสร้างกรรมใหม่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2008, 7:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หมูหนึ่งตัวถูกเลี้ยงเพียงไม่กี่เดือน ก็สามารถขายได้แล้ว เพราะปัจจุบันนี้การเลี้ยงสัตว์ จะมีสารเคมีและฮอร์โมนผสมในอาหาร เร่งให้สัตว์เลี้ยงเจริญเติบโต

และอ้วนท้วนสมบูรณ์เร็วขึ้น ไม่ว่าหมูหรือไก่ คนที่กินเนื้อหมูเนื้อไก่บ่อยก็จะอ้วน โดยเฉพาะเด็กที่ชอบกินไก่ทอด ก็จะเป็นเด็กที่อ้วนและโตเกินวัย

หมูย่างเกาหลี เป็นที่นิยมของคนไทย เปิดร้านอยู่ที่ไหน คนเต็มแน่นทุกร้าน ในราคา 69 – 99 บาทต่อคน กินได้ไม่จำกัด

มองดูทุกคนในร้าน กินกันอย่างมีความสุขเอร็ดอร่อยด้วยชิ้นเนื้อและเครื่องใน แต่เบื้องหลังของชิ้นเนื้อที่รับประทาน คือความตายของหมูและสัตว์น้อยใหญ่

หมูจำนวนมากถูกขังรวมไว้ในคอกเดียวกัน ทุกตัวก็ดูอิสรเสรี มีความอบอุ่น ทักทายกันตามประสาหมูๆ

จนถึงเวลาเข้าสู่ยามวิกาล ประมาณ 5 ทุ่ม

คนกลุ่มหนึ่ง เขาจะสวมกางเกงขาสั้น รองเท้าบูท มีผ้าขาวม้าคาดศีรษะ ร่างกายทะมัดทะแมงเดินเข้าไปใน คอกหมูคนหนึ่งถือไม้เหลี่ยมอันเหมาะมือ คนหนึ่งถือมีด และถังใบย่อม

สัตว์น้อยผู้น่ารักเริ่มรู้ชะตาชีวิตของตน ด้วยสัญชาตญาณว่าความตายกำลังจะมาถึง ทุกตัวต่างแตกตื่น เบียดเสียดกันเพื่อที่จะหาที่พึ่งพิง...

นักฆ่าเหล่านี้ เขาฆ่าและทำบาปจนเคยชิน จึงมองไม่เห็น ถึงความน่ารักน่าสงสาร เงินที่เป็นค่าจ้างหนึ่งร้อย หรือ สองร้อย บาทต่อตัวรออยู่ตรงหน้า

เขาจึงเดินรี่เข้าไปหากลุ่มสัตว์เหล่านั้น พร้อมกับแยกตัวหนึ่งตัวใด เมื่อไหร่ที่หัวมันโผล่มาเด่นชัด ไม้เหลี่ยมในมือตีลงกลางแสกหน้ามันอย่างสุดแรง เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ไกลเป็นกิโลเมตรก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

เพียงมันล้มลงไปบนพื้น มีดปลายแหลมก็จ้วงแทงที่ลำคอ และบีบเค้นเลือดลงในถังที่รองรับจนหมดกาย ปล่อยร่างให้ดิ้นชักกระตุกอยู่บนพื้น

ชีวิตเหล่านั้นยังคงหายใจรวยระริน เพชฌฆาตก็เอาตะขอเหล็กเกี่ยวที่ฟันมัน ลากคอไปรอข้างนอกด้วยอาการชักกระตุกอย่างไม่สนใจใยดี นักฆ่าจะทำเช่นนี้ประมาณ 4 – 5 ตัว

เขาจึงวางไม้ลง และนำหมูที่ฆ่าแล้วไปลงในกระทะ น้ำร้อนทั้งๆ ที่ยังชักกระตุกอยู่

จากนั้นก็นำมาขูดขนทั้งตัว แล้วตัดหัวเอาเชือกผูกขาทั้งสี่ให้หงายท้องขึ้น เอามีดเล่มใหญ่ที่คมกริบผ่าท้องควักตับไตไส้พุงออกมากอง

จากนั้นก็ถูกผ่าซีกแยกจากกัน นั่นคือ เสร็จสิ้นสำหรับกรรมวิธีในการฆ่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อหมูหนึ่งตัว หมูที่ถูกผ่าซีก เนื้อยังสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

หากท่านที่ยังมีเมตตาจิต

ได้เห็นได้ยินสภาพการณ์ฆ่าหมู และเสียงร้องเช่นนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านจะไม่กล้ากินเนื้อหมูอีกต่อไป

เพราะเขาถูกฆ่าด้วยความโหดร้าย ชีวิตต้องตายทั้งเป็น เพื่อนที่อยู่ในคอกมองเห็นเพื่อนตายต่อหน้า จิตคงกระเจิดกระเจิงด้วยความหวาดกลัว

แต่เขาก็ไม่มีทางหนีรอดและขอร้องได้ รอเพียงว่าใครถูกฆ่าก่อนฆ่าหลัง ทุกตัวในคอกต้องถูกฆ่าหมด ด้วยสภาพเดียวกัน

คอกหนึ่งสิบยี่สิบตัว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็กลายเป็นชิ้นส่วนออกมาตั้งแผงรอคนซื้อ สดๆ ร้อนๆ

หมูตัวหนึ่งมีหนึ่งชีวิตหนึ่งจิตญาณ บาปกรรมนั้นใครเป็นผู้รับ จากคนเลี้ยง คนฆ่า คนขาย คนกิน ใครรับบาปกรรมมากกว่ากัน ลองคิดดู...?

คนเลี้ยง ๆ เพื่อขาย คนฆ่า ๆ เพื่อค่าจ้าง คนขาย ๆ เพื่อเงิน คนซื้อ ๆ เพื่อกิน ก็แบ่งกันไป ฟ้ายุติธรรม ทุกคนมีส่วนร่วม หากไม่มีคนกิน คงไม่มีคนฆ่า ไม่มีคนเลี้ยง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาตรัสว่า...

“เราฆ่าวัวฆ่าควายเป็นประจำ เราก็ต้องไปเกิดเป็นวัวเป็นควายให้เขาฆ่า เราฆ่าอะไร เราก็ต้องไปเกิดเป็นอย่างนั้น”

“เพื่อมาชดใช้กัน เป็นวัฏฏะที่ต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปหลายชาติ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะชดใช้หมด”

คัดลอกจากหนังสือ :

หยุด! ก่อนสายเกิน[img][/img]
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2008, 7:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หยุด ! กินเนื้อสัตว์

หมูหนึ่งตัวถูกเลี้ยงเพียงไม่กี่เดือน ก็สามารถขายได้แล้ว เพราะปัจจุบันนี้การเลี้ยงสัตว์ จะมีสารเคมีและฮอร์โมนผสมในอาหาร เร่งให้สัตว์เลี้ยงเจริญเติบโต

และอ้วนท้วนสมบูรณ์เร็วขึ้น ไม่ว่าหมูหรือไก่ คนที่กินเนื้อหมูเนื้อไก่บ่อยก็จะอ้วน โดยเฉพาะเด็กที่ชอบกินไก่ทอด ก็จะเป็นเด็กที่อ้วนและโตเกินวัย

หมูย่างเกาหลี เป็นที่นิยมของคนไทย เปิดร้านอยู่ที่ไหน คนเต็มแน่นทุกร้าน ในราคา 69 – 99 บาทต่อคน กินได้ไม่จำกัด

มองดูทุกคนในร้าน กินกันอย่างมีความสุขเอร็ดอร่อยด้วยชิ้นเนื้อและเครื่องใน แต่เบื้องหลังของชิ้นเนื้อที่รับประทาน คือความตายของหมูและสัตว์น้อยใหญ่

หมูจำนวนมากถูกขังรวมไว้ในคอกเดียวกัน ทุกตัวก็ดูอิสรเสรี มีความอบอุ่น ทักทายกันตามประสาหมูๆ

จนถึงเวลาเข้าสู่ยามวิกาล ประมาณ 5 ทุ่ม

คนกลุ่มหนึ่ง เขาจะสวมกางเกงขาสั้น รองเท้าบูท มีผ้าขาวม้าคาดศีรษะ ร่างกายทะมัดทะแมงเดินเข้าไปใน คอกหมูคนหนึ่งถือไม้เหลี่ยมอันเหมาะมือ คนหนึ่งถือมีด และถังใบย่อม

สัตว์น้อยผู้น่ารักเริ่มรู้ชะตาชีวิตของตน ด้วยสัญชาตญาณว่าความตายกำลังจะมาถึง ทุกตัวต่างแตกตื่น เบียดเสียดกันเพื่อที่จะหาที่พึ่งพิง...

นักฆ่าเหล่านี้ เขาฆ่าและทำบาปจนเคยชิน จึงมองไม่เห็น ถึงความน่ารักน่าสงสาร เงินที่เป็นค่าจ้างหนึ่งร้อย หรือ สองร้อย บาทต่อตัวรออยู่ตรงหน้า

เขาจึงเดินรี่เข้าไปหากลุ่มสัตว์เหล่านั้น พร้อมกับแยกตัวหนึ่งตัวใด เมื่อไหร่ที่หัวมันโผล่มาเด่นชัด ไม้เหลี่ยมในมือตีลงกลางแสกหน้ามันอย่างสุดแรง เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ไกลเป็นกิโลเมตรก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

เพียงมันล้มลงไปบนพื้น มีดปลายแหลมก็จ้วงแทงที่ลำคอ และบีบเค้นเลือดลงในถังที่รองรับจนหมดกาย ปล่อยร่างให้ดิ้นชักกระตุกอยู่บนพื้น

ชีวิตเหล่านั้นยังคงหายใจรวยระริน เพชฌฆาตก็เอาตะขอเหล็กเกี่ยวที่ฟันมัน ลากคอไปรอข้างนอกด้วยอาการชักกระตุกอย่างไม่สนใจใยดี นักฆ่าจะทำเช่นนี้ประมาณ 4 – 5 ตัว

เขาจึงวางไม้ลง และนำหมูที่ฆ่าแล้วไปลงในกระทะ น้ำร้อนทั้งๆ ที่ยังชักกระตุกอยู่

จากนั้นก็นำมาขูดขนทั้งตัว แล้วตัดหัวเอาเชือกผูกขาทั้งสี่ให้หงายท้องขึ้น เอามีดเล่มใหญ่ที่คมกริบผ่าท้องควักตับไตไส้พุงออกมากอง

จากนั้นก็ถูกผ่าซีกแยกจากกัน นั่นคือ เสร็จสิ้นสำหรับกรรมวิธีในการฆ่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อหมูหนึ่งตัว หมูที่ถูกผ่าซีก เนื้อยังสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

หากท่านที่ยังมีเมตตาจิต

ได้เห็นได้ยินสภาพการณ์ฆ่าหมู และเสียงร้องเช่นนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านจะไม่กล้ากินเนื้อหมูอีกต่อไป

เพราะเขาถูกฆ่าด้วยความโหดร้าย ชีวิตต้องตายทั้งเป็น เพื่อนที่อยู่ในคอกมองเห็นเพื่อนตายต่อหน้า จิตคงกระเจิดกระเจิงด้วยความหวาดกลัว

แต่เขาก็ไม่มีทางหนีรอดและขอร้องได้ รอเพียงว่าใครถูกฆ่าก่อนฆ่าหลัง ทุกตัวในคอกต้องถูกฆ่าหมด ด้วยสภาพเดียวกัน

คอกหนึ่งสิบยี่สิบตัว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็กลายเป็นชิ้นส่วนออกมาตั้งแผงรอคนซื้อ สดๆ ร้อนๆ

หมูตัวหนึ่งมีหนึ่งชีวิตหนึ่งจิตญาณ บาปกรรมนั้นใครเป็นผู้รับ จากคนเลี้ยง คนฆ่า คนขาย คนกิน ใครรับบาปกรรมมากกว่ากัน ลองคิดดู...?

คนเลี้ยง ๆ เพื่อขาย คนฆ่า ๆ เพื่อค่าจ้าง คนขาย ๆ เพื่อเงิน คนซื้อ ๆ เพื่อกิน ก็แบ่งกันไป ฟ้ายุติธรรม ทุกคนมีส่วนร่วม หากไม่มีคนกิน คงไม่มีคนฆ่า ไม่มีคนเลี้ยง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาตรัสว่า...

“เราฆ่าวัวฆ่าควายเป็นประจำ เราก็ต้องไปเกิดเป็นวัวเป็นควายให้เขาฆ่า เราฆ่าอะไร เราก็ต้องไปเกิดเป็นอย่างนั้น”

“เพื่อมาชดใช้กัน เป็นวัฏฏะที่ต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปหลายชาติ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะชดใช้หมด”

คัดลอกจากหนังสือ :

หยุด! ก่อนสายเกิน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2008, 7:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กลอนสะกิดใจ

สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว

เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง

เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง

เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ

เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน

อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน

ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน

ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา

สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา

ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน

มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน

เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น

พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น

เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี

มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี

ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน

เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์

ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน


ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
kokorado
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 2:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้สึกว่ายังไม่ครบถ้วนนะครับ พระพุทธเจ้าทรงห้ามกินเนื้อสัตว์ 10ชนิด จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง เพราะสัตว์เหล่านี้มีแรงอาฆาตสูง คนที่ถูกองคุลีมาลฆ่า เพราะเคยไปกินเนื้อองคุลีมาลในอดีตชาติ ชาตินั้น ท่านองคุลีมาลเกิดเป็นเต่ายักษ์จำศีล อยู่ในทะเล เรือสำเภาลำหนึ่งเกิดเกยตื้น ที่เกาะเเห่งหนึ่ง เกิดความมอดอยากขึ้น แต่ได้พบเต่ายักษืจำศีลอยู่ จึงเอามาทำเป็นอาหาร เต่ายักษืคิดว่า เราจำศีลของเราอยู่ดีๆ ไม่เบียดเบียนใครวันนี้ท่านมากินเนื้อเรา เราขอเอาคืน มีหญิงคนหนึ่ง มีความสงสารในเต่ายักษื จึงไม่ได้กิน ต่อมาเต่ายักษืได้เกิดเป็นพญายมบาลคอยตัดสินคนในปรโลก ยุคที่พระพุทธเจ้าโคดม จะมาเป็นพระพูทธเจ้า ท่านจึงลงมาเกิดเพื่อบรรลุธรรม คนที่กินเนือเต่ายักษ์ในครั้งนั้นจึงถูกโจรองคุลีมาลฆ่าเอานิ้ว เเขวนคอ ส่วนมารดาขององคุลีมาลที่ไม่ถูกฆ่าก็คือหญิงที่ไมกินเนื้อเต่ายักษ์นั่นเอง
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 3:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

muntana พิมพ์ว่า:
กรรมมีจริง - จากเรื่องเล่าโดย

ผศ.นายสัตวแพทย์พงศ์ศักดิ์ ศรีธเนศชัย


ผมได้เคยทำกรรมไว้นานแล้วในที่สุดมันก็ตามมาจนทันได้ ในปีพ.ศ.2524-2525
ผมได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมการเลี้ยงไก่
ผมมีหน้าที่ดูแลสุขภาพของไก่มีไก่พันธุ์จำนวน 4 แสนตัว ไก่กระทง 2 ล้านตัว
ทุกเดือนผมต้องเจาะเลือดไก่อายุ 1 วันจากหัวใจทุกเดือนๆละหลายร้อยตัว
ทุกครั้งที่ผมต้องทำผมรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจตลอดเวลา แต่ต้องทำเพราะเป็น
หน้าที่หลังเจาะเลือดไก่แล้วไก่เกือบทั้งหมดจะตาย ผมทำไปก็เสียใจแต่ไม่รู้จะทำ
อย่างไรเราได้เบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นสร้างบาปกรรมไว้ผมทำงานได้ 6 เดือนก็
เปลี่ยนงานใหม่ ดีใจมากเลยทีได้หลุดพ้นจากการสร้างกรรมแตหนีไม่พ้น เมื่อ
วันที่ 12 ธันวาคม 2547 ผมเกือบเอาชีวิตไม่รอดเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบต้อง
เข้าโรงพยาบาลโดยด่วนเนื่องจากแน่นหน้าอกเกือบเสียชีวิตปัจจุบันหลังจากทำ
บัลลูนและมีสปริงอยู่ในเส้นเลือดหัวใจ ทุกวันนี้การหายใจบางครั้งมีอาการเจ็บแปล๊บๆ
ที่หัวใจ เหมือนกับมีเข็มทิ่มที่หัวใจ เหนื่อยง่าย เมื่อเกิดอาการครั้งใดก็นึกถึงกรรมที่
เราได้ก่อไว้กับลูกไก่เมื่อ 25 ปีมาแล้ว หมอโรคหัวใจบอกเจ็บแปล๊บๆไม่เกี่ยวกับหัวใจ
ถึงแม้จะมีความดีอยู่บ้างที่ช่วยชีวิตไก่ส่วนใหญ่แต่ก็มีบาปติดตัว ทุกวันนี้มีโอกาสจะทำ
แต่ความดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอแต่กรรมที่ก่อไว้คงต้องชดใช้ไป กัลยาณมิตรทั้งหลาย

โปรดละเว้นจากการสร้างกรรมเสียเถิด กรรมมีจริง ชาตินี้ได้พบแล้วไม่ต้องรอชาติหน้า

สวัสดี --

ผศ.นายสัตวแพทย์พงศ์ศักดิ์ ศรีธเนศชัย



ที่มา : ประสบการณ์จริง

--------------------------------------------------------------------------------

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=49

ลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์ เพื่อละการจองเวรและสร้างกรรมใหม่




เห็นด้วย กับที่ท่านกล่าวเรื่องกรรมเวรมีจริง ขอทุกท่านจงกลัวที่จะทำบาปเถอะ เพราะกรรมติดจรวจแล้วนะเดี๋ยวนี้ จะบอกให้ อมิตพุทธ สาธุ สู้ สู้
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
 www.Stats.in.th