Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 นิพานมีกาลเวลาหรือไม่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 มิ.ย.2006, 7:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นิพพานมีกาลหรือไม่ เพราะเหตุไร?
 
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 มิ.ย.2006, 8:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นิพพานไม่มีกาล เพราะนิพพานเป็นธรรมที่เที่ยง (คือ พ้นจากกาลทั้ง ๓) ไม่มีการเกิด การดับ มั่นคง ยั่งยืน มีสภาพที่ทนอยู่ หรือดำรงคงอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่านั้นตลอดไป
 
ธรรมมะคือความจริงเสมอ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มิ.ย.2006, 11:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามความเข้าใจแล้ว เวลาเป็นเพียงสมมุติเท่านั้นเองไม่เคยเชื่อว่าเวลามีอยู่จริงแม้แต่ในทางโลก หากปฏิทินบังเอิญหายไปไม่มีเหลือสักฉบับ นาฬิกาทุกเรือนหรือสิ่งบอกเวลาทุกชนิดหยุดพร้อมกันจนเนิ่นนาน ถึงเวลานั้นคนทั้งโลกก็จะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วไม่มีมิติของเวลาอยู่เลย แต่สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเวลากันมาตลอดนั้นก็เป็นเพียงความเสื่อมเท่านั้น เราเปรียบเทียบความเสื่อมของการหมุนของโลกที่สักวันมันก็ต้องหยุดหมุนหรือไม่ก็โลกนี้พังพินาศไปก่อน แม้นกระทั่งการเสื่อมของการโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยมีทางจะอยู่ต่อเนื่องตลอดกาลได้ แต่วิทยาศาสตร์เองแม้นกระทั่งไอสไตร์ก็ยังหลงว่ามีเวลาที่มีมิติเป็นอัตตาสามารถไปเยือนได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอยู่นั่นเอง หากมองให้ดีเรื่องของแสงกับเวลาเป็นเพียงเรื่องของสัมพัทธ์ทางความเสื่อมไม่มีความแน่นอนอีกเช่นกัน สามารถทำให้เสื่อมช้าลงเร็วขึ้นเมื่ออิงเปรียบเทียบกับสิ่งต่างต่างได้ ดังเช่นการเดินทางด้วยความเร็วแสง ก็เป็นเพียงการทำให้รูปเสื่อมช้าลงเมื่อเปรียบเทียบกับโลกที่หมุนรอบตัวเองที่ยังมีอัตราเท่าเดิมโดยมีรูปอื่นอื่นอยู่ภายในสนามโน้มถ่วงยังคงมีความเสื่อมไปตามปกติอยู่นั่นเองไอสไตร์จึงเข้าใจผิดคิดว่าคนเดินทางไปอนาคตได้แท้จริงก็เป็นเพียงร่างกายเสื่อมช้าลงเพียงเท่านั้น แม้นกระทั่งแสงเองก็ยังมีความเสื่อมอยู่ในตัวมันเมื่อถึงจุดนึงมันก็เดินทางต่อไปไม่ไหวกลายเป็นความมืดครอบคลุมอยู่ทั้งจักรวาล
ดังนั้นไม่ต้องไปมองหากาลเวลาในนิพพาน เพราะในโลกความจริงที่เราอยู่ก็ยังไม่มีมีตัวตนของเวลาอยู่จริงเลย มีแต่เพียงความเสื่อมอันอยู่ภายใต้กฏของไตรลักษณ์อยู่เท่านั่นเอง
 
อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2006, 2:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเห็นที่สองนี่แสดงว่าระลึกชาติ กับรู้อนาคต เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ด้วยหรือเปล่า?
 
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2006, 4:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

ความเห็นที่สองนี่แสดงว่าระลึกชาติ กับรู้อนาคต เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ด้วยหรือเปล่า?


ตามความเข้าใจของผมคงไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น

น่าจะหมายถึงถ้าไม่มีคนหรือจิตคือตัวรู้ ธรรมชาติเขาก็จะทำงานของเขาไป ในเมื่อมีคนหรือมีจิตเกิดขึ้นมาทำการสมมุติให้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นต้น
 
แค่ความคิดเห็นนึงเท่านั้น
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2006, 8:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การรู้อนาคตก็ไม่ต่างจากการรู้อดีต เพียงอดีตเป็นร่องรอยของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก่อตัวขึ้นมาให้เป็นภาพให้เห็นแต่สิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่ความจริงเพราะความจริงก็คือมันเสื่อมแล้วก็ดับไปแล้ว เหมือนคนที่ใช้กล้องดูดาวที่ห่างออกไปนับพันล้านปีแสงได้ สิ่งที่เขาเห็นก็เป็นเพียงอดีตเท่านั้นก็คือดาวมันเสื่อมหรืออาจดับหายไปแล้วไม่มีอะไรไปย้อนให้มันกลับคืนได้แต่ภาพหลงเหลือของมันยังคงมีร่องรอยให้เห็น การเห็นอนาคตก็เกิดจากการก่อตัวของเหตที่ทำให้รู้ผลได้จากการมีความรู้เจาะจงในเรื่องแต่ละเหตนั้นนั้น เช่น หมอดูที่มีความรู้เชี่ยวชาญกับตัวเลขดวงดาวกับความสัมพันธ์การเกิดของมนุษย์ หรือแม้นกระทั่งมดที่สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของแรงกดอากาศได้ก็รู้ว่าจะเกิดฝนตก ไม่นับจิตที่มีระดับความสามารถสูงสูงจนเกิดญาณที่ย่อมจับความเปลี่ยนแปลงของเหตหรือธรรมที่เกิดขึ้นที่ละเอียดได้ในระดับที่ใช้จิตสัมผัสโดยตรงย่อมไม่เป็นเรื่องที่จะเกินสามารถที่จะเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอันเป็นผลที่เกิดจากธรรมหรือสภาพจริงที่จับได้ แล้วสื่อให้เป็นรูปในสัญญา หรือ จะเป็นลางสังหรณ์ จนเข้าใจ แต่สุดท้ายก็คือสิ่งนั้นยังไม่ใช่ความจริงเพราะไม่ได้เกิดขึ้นอยู่นั่นเอง ดังนั้น ไม่มีอะไรสวนกระแสกฏแห่งไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ได้ ต่อให้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าอีกพันปีก็ตาม
 
อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2006, 7:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เวลาเป็นเพียงสมมุติที่มีอยู่ในโลกนี้เท่านั้น แล้วสมมุติมีอยู่ในโลกนี้มีอยู่หรือไม่
 
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 มิ.ย.2006, 8:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

แล้วสมมุติมีอยู่ในโลกนี้มีอยู่หรือไม่

สมมุติว่ามีสมมุติ แต่จริง ๆ ไม่มีถ้าเรามองโลกตามความเป็นจริง
 
ออน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มิ.ย.2006, 4:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมไม่มีกาลเรียกว่า อกาลิโก
ผู้ประพฤติปฏิบัติบรรลุได้ทุกกาล ทุกสมัย
 
เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2006, 5:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าสมมุติก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แล้วอะไรที่ไปรู้?
 
จิตรู้คือเห็นธรรม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2006, 9:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อจิต(ไม่ใช่ความคิด)เห็นสมมุติว่าไม่มีจริงแล้ว จิตก็หลุดพ้นคือ ไร้กิเลส แต่ก็เพราะจิตไม่เห็นความเป็นสมมุติอยู่ทุกวันนี้นะสิคนธรรมดาอย่างพวกเราถึงได้มีทั้งโลภ โกรธ หลง แม้นกระทั่งความอยากรู้ว่านิพพานเป็นอย่างไรโดยที่ไม่ได้มุ่งฝึกจิตให้ปฏิบัติธรรมให้บ่อยเท่ากับความอยากรู้ ก็เป็นกิเลสอันแยบยลที่แม้นแต่คนที่สนใจปฏิบัติธรรมหลายคนยังไม่รู้ตัว แนวคำสอนของพระพุทธองค์คือการฝึกฝนจิตเพื่อให้จิตเห็นธรรมแล้วหลุดพ้นด้วยตัวเอง ไม่ได้ให้มุ่งค้นหาความรู้ว่าอะไรในโลกนี้คืออะไร เพราะมันจะเหมือนใบไม้ในป่าที่มีนับไม่ถ้วนพระองค์ไม่เคยสอนให้พยายามไปรู้สิ่งเหล่านั้น แต่สิ่งที่พระองค์พยายามจะสอนคือใบไม้ในกำมือของพระองค์คือแนวทางปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุเท่านั้น หากมัวแต่จะไปเอาความรู้ว่าอะไรคือความจริงทั้งหมดในโลกนี้ ชาตินี้คงไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้วเพราะเรียนรู้เท่าไรก็ไม่หมดหรอก ไม่อยากให้เน้นคุยเกี่ยวนิพพานกัน เพราะนี่เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ว่า คนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติจนบรรลุแต่พยายามที่จะรู้สิ่งที่ไม่ได้เสริมสร้างการปฏิบัติธรรมให้ตนเองเป็นอย่างไร ความสงบไม่ได้แล้วยังเสริมความอยากความสงสัยต่อต่อไปอีกไม่หยุดสิ้น เมื่อปฏิบัติธรรมจนเห็นผลบ้างแล้วจะสังเกตเห็นเองว่าทำไมเราไม่รู้อะไรตั้งหลายอย่างในโลกนี้เช่นคนทั่วไปแต่เราทำไมไม่สงสัยจิตใจก็สงบแถมบางครั้งนึกจะรู้อะไรบางอย่างที่อยู่ในความสามารถของจิตตนก็เข้าใจได้ทันทีไม่ต้องไปเปิดหนังสือหรือถามใครสาธุ
 
ความเห็นเพิ่มอีกนิด
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2006, 10:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สภาพจิตรู้สมมุติเป็นอย่างไร เช่น เห็นเงินเป็นล้านกองอยู่ข้างหน้าโดยคนอื่นไม่เห็นความคิดรู้ว่าเงินเป็นจำนวนมากแต่จิตไม่รู้สึกอยากได้ เห็นผู้หญิงความคิดรู้ว่าสวยมากแต่ไม่รู้สึกตื่นเต้นหรืออยากมอง ได้กลิ่นซากศพของเน่าเหม็นมากมากแต่ไม่รู้สึกรำคาญหรืออึดอัดยังคงรักษาการปฏิบัติกิจกรรมต่อไปได้ นั่งสมาธิจนเห็นแก้วหรือพระพุทธรูปใสสว่างแต่จิตไม่เกาะติดความสุขไม่หยุดเพียงชื่นชมสมมุตินั้นยังคงมีสติพิจารณาธรรมต่อต่อไป สภาพที่จิตเห็นสมมุติมีอยู่อีกมาก ล้วนเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งนั้นไม่ใช่เป็นเพียงความคิด ผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความตั้งใจไม่ลดละความพยายามก็ย่อมบรรลุและรู้สึกได้กันทุกคน และควรจะแยกให้ออกด้วยว่าขณะปฏิบัติธรรมเรากำลังคิดหรือกำลังฝึกฝนจิตเพราะมันเป็นคนละส่วนกัน หลายคนยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าสภาพจิตของตนนั้นมีอยู่หรือจะสามารถรู้สึกได้อย่างไรก็เลยเข้าใจว่าความคิดเป็นจิตไป สาธุ
 
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ค.2006, 8:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ธรรมไม่มีกาลเรียกว่า อกาลิโกผู้ประพฤติปฏิบัติบรรลุได้ทุกกาล ทุกสมัย


มหากัปใด ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้เลย แม้แต่สักพระองค์เดียว มหากัปนี้มี ชื่อเรียกว่า สุญกัป คือเป็นกัปที่สูญจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพพาน มิใช่แต่เท่านั้นในกาล ที่เป็นสูญกัปนี้ ย่อมสูญจากวิสิฏฐิบุคคลอื่นๆ อีกด้วย คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี ย่อมไม่ปรากฏมีในกัปนี้เลย นับว่าเป็นกัปที่สูญจากวิสิฏฐิบุคคลจริงๆ
 
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 22 ส.ค. 2006, 10:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไปอยากรู้อะไรไกลตัวไกลสติปัญญา

มาดูตัวมาดูที่กาย อาการ ๓๒ นี่ดีกว่า เกิดประโยชน์ทั้งในชาตินี้ และชาติหน้า เฮ้อ มนุษย์หนอมนุษย์

หลับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง