Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ถามเรื่องภัควัทคีตาครับ ช่วยหน่อยนะครับ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
mekpor
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 09 ม.ค. 2007
ตอบ: 2
ตอบเมื่อ: 09 ม.ค. 2007, 7:22 pm
ถามเรื่องภัควัทคีตาครับ ช่วยหน่อยนะครับ
จากคัมภีร์ภัควัทคีตา มีวิธีเข้าถึงความจริง 3 ทางด้วยกัน คือ ชญาณโยคะ กรรมโยคะ และภักติโยคะ ท่านคิดว่า การเข้าถึงความจริงโดยกรรมโยคะแตกต่างจากการเข้าถึงความจริงแบบอื่นหรือไม่อย่างไร
ขอบพระคุณมากครับ
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 10 ม.ค. 2007, 2:50 am
กราบสวัสดี คุณmekpor
ชฺญานโยคะ หมายถึง วิธีหรือทางปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงด้วยความรู้
กรรมโยคะ หมายถึง วิธีหรือทางปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยการกระทำ
ภักติโยคะ หมายถึง วิธีหรือทางปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงหรือหลุดพ้นด้วยอาศัยความภักดี
ชฺญานโยคะเป็นวิธีแห่งการเข้าถึงความจริงอันติมะด้วยความรู้ ได้แก่การเห็นแจ้งในอาตมัน ซึ่งบุคคลจะไม่สามารถบรรลุถึงได้โดยปราศจากความรู้ แม้แต่ผู้ดำเนินตามภักติโยคะ ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยความรู้ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้ จึงจะสามารถเกิดความเห็นแจ้งขึ้นมาได้ โยคะที่ปราศจากความรู้เป็นสิ่งที่หาประโยชน์แท้จริงไม่ได้ จริงอยู่ผู้บำเพ็ญโยคะอาจสามารถควบคุมตนเองไม่ให้ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆได้ แต่ตราบใดที่ยังไม่อาจขจัดกิเลสตัณหาให้หมดไปอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง ก็ยังหาได้ชื่อว่าเป็นโยคีที่แท้จริงไม่ กิเลสตัณหาจะถูกขจัดให้หมดไปได้ก็ด้วยความรู้แจ้งเท่านั้น ภควัทคีตาได้ให้ความสำคัญแก่ความรู้หรือญาณทัสนะไว้มากเพียงไรนั้น จะเห็นได้จากข้อความดังต่อไปนี้ "แม้ทรชนผู้ชั่วช้าก็สามารถจะข้ามพ้นสงสารสาครได้ โดยอาศัยนาวาคือความรู้เพียงอย่างเดียว ไฟเมื่อก่อให้ลุกได้ดีแล้วย่อมสามารถทำเชื้อเพลิงให้คงเหลือแต่เถ้าธุลีฉันใด ไฟคือความรู้ก็ย่อมประหารกรรมทั้งมวลให้สูญสิ้นไปฉันนั้น กรรมทั้งหลายมีความรู้เป็นที่สุด เมื่อได้บรรลุถึงความรู้แล้ว บุคคลย่อมได้ความสงบในไม่ช้า ไม่มีอะไรอื่นที่จะบริสุทธิ์ยิ่งไปกว่าความรู้" พระเป็นเจ้าทรงถือว่าผู้มีความรู้แจ้งเกี่ยวกับอาตมันเป็นผู้ที่มีเอกภาพกับพระองค์
กรรมโยคะ ไม่มีอะไรขัดแย้งกับชฺญานโยคะ กรรมโยคะจะเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อมีชฺญานโยคะสมบูรณ์แล้วเท่านั้น ไม่มีผู้ใดซึ่งยังดำรงชีพอยู่จะสามารถสลัดกรรมหรือการกระทำเสียได้โดยสิ้นเชิง ส่วนประกอบของประกฤติ 3 อย่าง คือ สัตตวะ รชัส และตมัส ทำให้เกิดมีกิริยาหรือการกระทำ ภควัทคีตาถือว่าเอกภาพ(universe) เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการกระทำ การหยุดนิ่งไม่ใช่อิสรภาพ แต่หมายถึงการแตกดับกิจกรรมทั้งหลายที่มนุษย์กระทำนั้น เป็นสิ่งช่วยให้เอกภาพดำรงอยู่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของทุกๆคนที่จะช่วยให้เอกภาพของเราสามารถดำรงอยู่ได้ต่อไปด้วยการกระทำของแต่ละคน ผู้ที่ไม่ยอมปฏิบัติดังกล่าวนี้และมุ่งแสวงหาความสุขทางเนื้อหนัง ย่อมได้ชื่อว่าประกอบบาปกรรม และดำรงชีวิตอยู่ในความว่างเปล่า "อุดมคติของภควัทคีตาไม่ใช่การปฏิเสธโลก หรือปฏิเสธชีวิตสามัญชนด้วยการออกบวชเป็นฤษีชีไพร ซึ่งเป็นการหนีโลก และไม่ใช่การปฏิเสธการกระทำ แต่เป็นการอยู่ในโลกพร้อมกับการปฏิบัติภาระกิจตามหน้าที่ด้วยความรู้สึกปล่อยวาง หรือไม่มีอุปาทานต่อหน้าที่ที่ตนปฏิบัติ สิ่งที่ภควัทคีตาสอนให้ละนั้น ไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นผลประโยชน์" ตัณหาและอุปาทานที่มีเนื่องกับการทำนั้น ตัณหาหรือความอยากเป็นพันธะที่เป็นพันธนาการมนุษย์ให้ติดข้องอยู่ในโลก เพราะฉะนั้นเขาจึงควรปฏิบัติตนโดยโดยประการที่การกระทำของเขาไม่อาจผูกพันเขาได้ การกระทำที่ได้กล่าวไว้ในภควัทคีตานั้น หมายถึงการกระทำตามหน้าที่ที่ผู้กระทำไม่ได้มุ่งถึงผลที่เกิดขึ้นแก่ตนเอง
ภักดีโยคะ หมายถึงการประกอบการภักดีโดยปราศจากการหวังผลตอบแทน กระทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งต้องกระทำด้วยความรู้ ถ้าปราศจากความรู้เสียแล้ว ก็ไม่อาจเป็นไปได้ ....ในบรรดาผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเป็นเจ้า มีอยู่หลายประเภท ภควัทคีตากล่าวว่า ผู้จงรักภักดีด้วยความรู้ที่เรียกว่า"ชฺญานี" เป็นผู้ภักดีที่ดีที่สุดเพราะผู้ที่เป็นชฺญานีเท่านั้นที่จะทราบชัดว่า พระเป็นเจ้าทรงสิงสถิตย์อยู่ในสรรพสิ่งในเอกภพ เขาย่อมเห็นพระองค์ในสรรพสิ่งและเห็นสรรพสิ่งในพระองค์.....
ตามทรรศนะของภควัทคีตานั้น ความรู้หรือชฺญานะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กรรมและความภักดีเป็นแต่เพียงการแสดงออกของความรู้ ถ้าปราศจากความรู้เสียอย่างเดียว ความหลุดพ้นหรือโมกษะก็ดี การละอุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นในการกระทำกรรมก็ดี การมีความภักดีต่อพระเป็นเจ้าโดยปราศจากการหวังผลใดๆก็ดี ย่อมไม่อาจจะมีขึ้นได้
คัดลอกมาเป็นบางส่วนจาก
ปรัชญาอินเดีย ประวัติและลัทธิ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุนทร ณ รังษี
mekpor
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 09 ม.ค. 2007
ตอบ: 2
ตอบเมื่อ: 10 ม.ค. 2007, 1:13 pm
สุดยอดครับ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th