Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สภาวะการพิจารณาธรรมขณะจิตเข้าสมาธิ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ธรรมโม
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 21 ก.พ. 2007
ตอบ: 14

ตอบตอบเมื่อ: 21 ก.พ.2007, 7:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เวลาทำสมาธิ ถ้าลองนำธรรมมาพิจารณา ดู จิตจะเข้าสมาธิ (ไม่รู้ว่าคนอื่นพิจารณาธรรมแล้วจิตเข้าสมาธิหรือเปล่า) เมื่อพิจารณาถึงธรรมในสมาธิแล้ว ความรู้ความเข้าใจในสภาวะธรรมต่างๆจะเข้าใจได้ละเอียดขึ้น ทีนี้มาพิจารณา สภาวะธรรมที่ว่า

ธรรมทั้งปวง เกิดเพราะเหตุ และจะสงบระงับไป เพราะเหตุดับก่อน พระศาสดาทรงสั่งสอน ให้ปฏิบัติเพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรม เป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์

ที่ว่า ธรรมทั้งปวง เกิดเพราะเหตุ ลองเอาธรรมคือ โทสะมาพิจารณา
โทสะเกิดได้ เพราะ จิตไปติดในความคิด บุคคลธรรมดา เมื่อจิตไม่ได้เป็นปัจจุบันขณะ ย่อมติดในความคิด เมื่อความคิดนั้นเป็น เป็นไปในทางที่ไม่พอใจ โทสะย่อมเกิด

และจะสงบระงับไป เพราะเหตุดับก่อน เมื่อเหตุ คือ การที่จิตไม่ไปยึดในความคิดแล้ว โทสะย่อมดับลง เหตุ คือ อุปาทานในธรรมมารมณ์นั้น ดับลง

พระศาสดาทรงสั่งสอน ให้ปฏิบัติเพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรม เป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์

ธรรม เป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์ ก็เช่นราคะ โทสะ โมหะ
เหตุแห่งธรรม เป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์ ก็คือ การที่จิตไปยึดไปถือ ทั้ง ผู้รู้คือใจ และผู้ถูกรู้คือความคิด

จิตไปยึดในผู้รู้ สภาวะธรรมย่อมไม่ก้าวหน้า ปัญญาที่เหนว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดาย่อมไม่เกิด เพราะจิตไม่เห็นในความเกิด ดับ ของผู้ถูกรู้ คือ ธรรมที่มากระทบ ทางอายตนะ ว่า มีความเกิด มีความดับเป็นธรรมดา เช่นเสียงเกิดที่หู ดับที่หู เพราะ จิตไปยึดในใจ

จิตไปยึดในผู้ถูกรู้ สภาวะธรรมก็ย่อมไม่ก้าวหน้า และจะไม่เหนความเกิดดับ ขผงผู้ถูกรู้ เช่น จิตไปยึดในเสียง ถ้าเสียงนั้น เป็นเสียงที่ไม่พอใจย่อมเกิดความโทสะเป็นอกุศลอีก

การปฏิบัติเพื่อให้จิตไม่ติดในผู้รู้และผู้ถูกรู้ คือเมื่อมีสิ่งที่มากระทบ เราทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นปัจจุบันขณะ โดยให้เห็นความเกิด ดับของสิ่งที่มากระทบด้วย ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จิตจะเข้าถึงมรรค จะไม่ไปยึดมั่นในผู้รู้ผู้ถูกรู้ อีก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 04 มี.ค.2007, 5:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อืมม์ ที่ทำอยู่ คือวิปัสนาหรือกรรมฐานครับ
 
เพื่อนร่วมธรรม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 มี.ค.2007, 10:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

....

พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม จนเป็นวสี

รับรู้และเท่าทันสิ่งที่มากระทบทั้งภายนอก และภายใน

เฝ้าดูการเกิดดับได้ จึงไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ จึงปล่อยวางได้

จึงเรียกว่า มีสติ หากมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมได้ตลอดเวลา

นั่นคือสามารถพิจารณา รับรู้ และเท่าทัน ได้ตลอดเวลา

จึงเกิดปัญญา จึงตัดกิเลสทั้งปวง
จึงรู้แจ้ง สรรพสิ่งใดๆล้วนเกิดขึ้น ทรงอยู่ สลายไป เปลี่ยนแปลงไป
จึงเห็นสภาวะแห่งธรรม จึงไม่ยึดติดใดๆ
จึงเกิดความสงบภายใน และปกติสุขภายนอก
เป็นเช่นนี้เอง

ขออนุโมทนาสาธุ....
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง