Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากรู้ว่า ปาฏิหาริย์ มีจริงป่าวค่ะ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 12:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต้องขอโทษกับทุกคนก่อน ไม่ได้หลบหลู่ แต่เป็นผู้อยากรู้

พึ่งจะเข้ามาอ่านที่เว็บนี้ครั้งแรก และมีเรื่องที่อยากได้ความเห็นจากคนหลายคนที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมไม่ทราบว่า การที่คนเราไหว้พระและขอพรเรื่อยๆๆ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ขอไปแล้วจะบังเกิดผลหรือเปล่าแต่ก็ขอพรตลอด เพราะตัวเองเชื่อว่าสักวันหนึ่งต้องมีปาฏิหาริย์เกิดจริง ไม่ทราบจะมีปาฏิหาริย์เกิดจริงหรือเปล่าค่ะ
 
จิศาณา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 2:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ไม่ทราบนะคะว่า ปาฏิหารย์มีจริงหรือไม่ รู้แต่ว่า เมื่อผลบุญส่งเมื่อไหร่ มาถึงเมื่อใด คุณก็จะได้มาโดยไม่คาดฝัน (สิ่งที่คุณเรียกว่า ปาฏิหารย์) เพราะบุญกุศล (กรรมดี) ความไม่ดีความชั่ว (กรรมชั่ว) ที่คุณได้ทำไปแล้วจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผลของกรรมใด้บันทึกไว้แล้วโดยอัตโนมัติ ซึ่งคุณไม่มีทางหลีกหนีได้เลย (จริงๆ) คุณจะต้องชดใช้ในสิ่งที่คุณทำไป ไม่ชาติใดๆชาติหนึ่งก็ตาม

และกับกรรมดี ที่คุณสะสมทำมา จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คุณก็จะได้รับผลนั้นๆ เมื่อผลของกรรมดี มาตามส่งผล คุณก็จะได้อะไรๆ มาโดยไม่น่าเชื่อ หรือ รอปลอดภัย มีคนช่วยเหลือโดยน่าแปลกใจ (ก็ขึ้นอยู่กะการกระทำ) เช่นคุณไม่ได้ตั้งใจจะทำบุญ แต่นึก ศัทธาอยากทำเดี๋ยวนั้นทันทีทันใด ผลบุญอันนี้จะมาอย่างไม่คาดฝันค่ะ ที่เรียกว่า ปาฏิหารย์นะเอง อายหน้าแดง

เชื่อผลของ ทาน ศีล ภาวนา เถอะค่ะ ถ้าคุณทำจริงๆ สิ่งที่ได้มาแน่ๆ คือ ความสงบ ความสบายใจ ซึ่งเป็นที่มาแห่งสุขค่ะ

เจริญในธรรม
จิศาณา สาธุ
 
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 4:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม

จากบทความ"ชีวิตในหม้อดินลงยันต์" จากคอลัมน์ ทางพระเข้าข่ม (เสาร์สวัสดี วันที่ 17 สิงหาคม 2545)

โดย คุณ กระบี่ไม้ไผ่ สาธุ



===========================================



พระธรรมปิฎก (ประยุต ปยุตโต) ไขประทีปธรรมไว้ว่า หลักฐานในพระคำภีร์ เช่น
พระไตรปิฎก ฯลฯ ยืนยันว่า อิทธิปาฏิหาริย์มีจริง แต่พุทธศาสนาได้วางหลักการไว้ปิดกั้น
พวกที่อยากพิสูจน์ว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่
หลักการนั้นคือ "พระพุทธศาสนา ประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์ ท่ามกลางการมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น"

มนุษย์ประกาศอิสรภาพให้แก่ตนเองได้ เพราะมนุษย์ทุกผู้ทุกนามสามารถเข้าถึง
จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาได้ โดยไม่ต้องอาศัยหรือข้องแวะสิ่งเหนือสามัญวิสัย
เหล่านั้นแม้แต่นิด และสิ่งเหล่านั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ไม่กระทบอะไรกับหลักการสำคัญ
ของพระพุทธศาสนา

พุทธศาสนาไม่สนใจว่า ผีสางนางไม้ อิทธิปาฏิหาริย์มีอยู่หรือไม่ สนแต่ว่ามนุษย์ควรมีท่าที
หรือควรปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร

พระพุทธองค์ทรงจำแนกปาฏิหาริย์ว่า มีอยู่ 3 อย่าง คือ
1.การแสดงฤทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ(อิทธิปาฏิหารย์)
2.การทายใจคนอื่นได้ (อาเทศนาปาฏิหารย์)
3.สามารถสอนให้เห็นจริง เมื่อนำสิ่งที่สอนไปปฏิบัติก็เกิดผลขึ้นจริง (อนุศาสนีย์ปาฏิหารย์)

2 อย่างแรกนั้นถึงทำได้ก็จะมีคนทุ่มเถียงกันเพราะบางคนเชื่อบางคนไม่เชื่อบ้าง
จึงไม่ทรงสรรเสริญ......แต่สรรเสริญประการสุดท้าย

หลักของพุทธในเรื่องเหนือสามัญทั้งหลายคือ มนุษย์ต้องอยู่กับมนุษย์ ไม่ไปพึ่งอำนาจ
ภายนอกที่มองไม่เห็น ไม่เซ่นสรวง หวังผลจากปาฏิหาริย์ของผู้อื่นหรืออำนาจอื่นเพราะ
ถ้าพึ่งสิ่งภายนอก เราก็จะไม่เป็นตัวของตัวเอง...... มีแต่ต้องพึ่งตนเอง ทำตนให้เป็นที่พึ่งได้
สามารถพึ่งตนเองได้ ฝึกหัดตนให้มีความรู้ความสามารถ ชำนิชำนาญในการแก้ไขปัญหา
ตามวิถีทางแห่งเหตุผลให้สำเร็จโดยชอบธรรม

นี่จึงเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง นี่จึงเป็นหนทางการประกาศอิสรภาพของตนเองอย่างแท้
จริง!
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 4:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตรงประเด็น พิมพ์ว่า:


พระพุทธองค์ทรงจำแนกปาฏิหาริย์ว่า มีอยู่ 3 อย่าง คือ
1.การแสดงฤทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ(อิทธิปาฏิหารย์)
2.การทายใจคนอื่นได้ (อาเทศนาปาฏิหารย์)
3.สามารถสอนให้เห็นจริง เมื่อนำสิ่งที่สอนไปปฏิบัติก็เกิดผลขึ้นจริง (อนุศาสนีย์ปาฏิหารย์)

2 อย่างแรกนั้นถึงทำได้ก็จะมีคนทุ่มเถียงกันเพราะบางคนเชื่อบางคนไม่เชื่อบ้าง
จึงไม่ทรงสรรเสริญ......แต่สรรเสริญประการสุดท้าย




ยิ้ม เพื่อนๆครับ เรื่องปาฏิหารย์3อย่างนี้.... มีนัยยะคล้ายคลึงกับ อภิญญา6ประการในหลายแง่มุม

อภิญญา6ประการมีดังนี้คือ
อภิญญา ความรู้ยิ่ง,ความรู้เจาะตรงยวดยิ่ง, ความรู้ชั้นสูง มี ๖ อย่างคือ
๑. อิทธิวิธิแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๒. ทิพพโสต หูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ ตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป,
๕ อย่างแรกเป็นโลกียอภิญญาข้อสุดท้ายเป็นโลกุตตร อภิญญา

อภิญญาข้อ1 2 4 5 ก็คล้ายๆกับอิทธิปาฏิหารย์....
อภิญญาข้อ3 ก็คือ อาเทศนาปาฏิหารย์....
อภิญญาข้อ6 ก็เปรียบได้กับ อนุศาสนีย์ปาฏิหารย์.....ซึ่งข้อสุดท้ายนี้ พระพุทธองค์สรรเสริญเพราะเป็นทางดับทุกข์โดยตรง

ลองย้อนกลับไปอ่านใน บทความท่านพระธรรมปิฎก (ประยุต ปยุตโต)ข้างบน.... ท่านพูดไว้ชัดเจนว่า
"พระพุทธศาสนา ประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์ ท่ามกลางการมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น" ....
"หลักของพุทธในเรื่องเหนือสามัญทั้งหลายคือ มนุษย์ต้องอยู่กับมนุษย์ ไม่ไปพึ่งอำนาจภายนอกที่มองไม่เห็น ".....
"นี่จึงเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง นี่จึงเป็นหนทางการประกาศอิสรภาพของตนเองอย่างแท้จริง! ".

พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ อนุศาสนีย์ปาฏิหารย์ ซึ่งก็เปรียบได้กับอภิญญาข้อสุดท้าย(อาสวักขยญาณ)ซึ่งเป็นโลกุตรอภิญญากล่าวคือทำให้อยู่"เหนือโลก"

หรือแบบที่ หลวงปู่ชา สาธุ ท่านกล่าวว่า
"....สำหรับผู้มีปัญญาแล้วเขาแสวงหาทางพ้นทุกข์ แสวงหาทางปฏิบัติที่ทำให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง ซึ่งหาได้แล้วเกิดมีธรรมะในใจแล้ว ก็จะสงบระงับ สอนตัวเองได้ทุกเวลา ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป ..."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 5:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้อยากรู้ พิมพ์ว่า:


การที่คนเราไหว้พระและขอพรเรื่อยๆๆ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ขอไปแล้วจะบังเกิดผลหรือเปล่าแต่ก็ขอพรตลอด เพราะตัวเองเชื่อว่าสักวันหนึ่งต้องมีปาฏิหาริย์เกิดจริง ไม่ทราบจะมีปาฏิหาริย์เกิดจริงหรือเปล่าค่ะ



ขำ อืมม...... กลับเข้าสู่คำถามของท่าน จขกท.ดีกว่าน่ะครับ....ตอบเท่าที่พอจะเข้าใจ

การที่เรา-ท่านทำดีแล้วอธิษฐานขอพรนั้น....... มันจะสำเร็จหรือเปล่า มันขึ้นกับหลายประการ..... ต้องตอบแบบหลายแง่มุม(วิภัชชพยากรณ์) เช่น

1.ความดีที่เราทำนั้น มันเป็นกุศลกรรมขนาดไหน..... บุญหนักที่จะให้ผลเร็วในชีวิตนี้ ก็เช่น การเจริญสมาธิจนสำเร็จณาน หรือ ได้มีโอกาสทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ..... ซึ่งบอกได้เลยว่ายากที่จะมีโอกาสได้ทำเช่นนั้น

2.กรรมเก่าที่เป็นบาปที่จะตามมาให้ผลนั้น มันรุนแรงขนาดไหน

ถ้ากรรมดีที่ทำในภพชาติปัจจุบัน มันใหญ่และให้ผลก่อน...... คำอธิษฐานนั้นก็จะสำเร็จ

ถ้ากรรมชั่วเก่าที่ตามมา มันใหญ่และให้ผลก่อน...... คำอธิษฐานนั้นก็คงจะไม่สำเร็จ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2006, 5:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณทุกคนเลยนะค่ะ ที่ให้ความรู้ค่ะ และได้สอนธรรมในใจ สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง