|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กะป๊าบ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 มิ.ย.2006, 10:33 pm |
  |
สวัสดีค่ะ
ดิฉันเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ถึงจะยังไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างละเอียดลึกซึ้งมากนัก แต่ดิฉันก็มีความศรัทธาสูงส่งต่อพุทธศาสนาค่ะ
อย่างไรก็ดี ดิฉันมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งซึ่งติดใจมานานแล้ว คือเรื่องกฎแห่งกรรมค่ะ สิ่งที่ดิฉันข้องใจก็คือ การที่เราต้องชดใช้กรรมโดยที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้รับบทเรียนว่าเราได้สร้างบาปกรรมอะไรไว้บ้างในชาติก่อนๆ แล้วการชดใช้กรรมของเราจะมีประโยชน์อะไร และยุติธรรมแล้วหรือไม่ ในเมื่อมันไม่สามารถยกระดับจิตใจของเราได้อย่างถาวร ก็เหมือนคนโดนทำโทษโดยไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรไปทุกภพทุกชาติ  |
|
|
|
|
 |
......
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 มิ.ย.2006, 11:02 pm |
  |
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
28 มิ.ย.2006, 2:57 am |
  |
กราบสวัสดี คุณกะป๊าบ
เรื่องชีวิตและกรรม มีความสลับซับซ้อนมากดังพรรณนามา คนที่มองชีวิตและกรรมในสายสั้น จึงไม่อาจเข้าใจชีวิตและกรรมอย่างแจ่มแจ้งโดยตลอดได้ แม้ผู้ได้ญาณระลึกชาติหนหลังได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) และได้ญาณรู้อนาคต (อนาคตตังสญาณ) แต่ได้ระยะสั้นเพียงชาติ ๒ ชาติ ก็ยังหลงเข้าใจผิดได้ เพราะเห็นผู้ประกอบกรรมชั่วในปัจจุบันบางคนตายแล้วไปบังเกิดในสวรรค์ เห็นผู้ทำกรรมดีบางคนตายแล้วเกิดในนรก เขาไม่มีญาณที่ไกลกว่านั้น จึงไม่อาจเห็นกรรมและชีวิตตลอดสายได้ ส่วนผู้มีญาณทั้งในอดีตและอนาคตไม่มีที่สิ้นสุดเช่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถเห็นกรรมและชีวิตได้ตลอดสาย ทรงสามารถชี้ได้ว่า ผลอย่างนี้ๆ มาจากกรรมอย่างใด
มีตัวอย่างแห่งกรรมมากมายที่ปรากฎในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า บุคคลนั้นๆ ได้ประสบผลดีผลชั่วอย่างนั้นๆ อันแสดงถึงผลกรรมที่สามารถให้ผลข้ามภพข้ามชาติ จะขอนำบางเรื่องมาประกอบพิจารณาในที่นี้
ผลแห่งกรรมที่ปรากฎในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา....อ่านต่อตามลิ้งค์ค่ะ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4540 |
|
|
|
   |
 |
1
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 มิ.ย.2006, 8:27 am |
  |
กฏแห่งกรรมเป็นเรื่อง อจินไตย คือเรื่องที่ไม่ควรนำมาคิด อาจทำให้เสียสติได้
พระพุทธเจ้าของเรานั้นรู้เรื่องกฏแห่งกรรมดีที่สุด แต่ท่านก็ไม่ได้สอนให้เชื่อหรือยึดติด
เพียงแต่บอกว่า...เพราะสิ่งนี้มี....สิ่งนี้จึงมี....สิ่งใดเกิดแต่เหตุ...ตถาคตทรงแสดงการดับเหตุนั้น
เพราะเหตุในอดีต....จึงเกิดผลในปัจจุบัน
เพราะเหตุแห่งปัจจุบัน....จึงเกิดผลในอนาคต
เราไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิต....ยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเราทำอะไรไว้....ยิ่งต้องไม่ประมาท
กรรมในอดีตเป็นแค่ขุดทางเดินให้เราเดินในชาตินี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องก้มหน้ารับกรรมตามนั้น โดยเราไม่รู้ว่าเราทำอะไรลงไป เราควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ก็จะส่งผลในอนาคตที่ดี อย่างน้อยถ้าเปรียบกรรมชั่วเป็นเกลือ การทำกรรมดีก็เหมือนเติมน้ำลงไปเจือจางรสเค็มของเกลือ กรรมหนักในอดีตก็อาจจะตามเราไม่ทัน เหมือนเราสับเท้าวิ่งหนีหมาไล่เนื้อที่คอยตามกัดเรา การวิ่งหนีได้เร็วและอาจหลุดเข้านิพพานไปเลย คือการเจริญสติปัฏฐานสี่ หรือวิปัสสนานั่นเองครับ
 |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 มิ.ย.2006, 9:25 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
แล้วการชดใช้กรรมของเราจะมีประโยชน์อะไร และยุติธรรมแล้วหรือไม่ ในเมื่อมันไม่สามารถยกระดับจิตใจของเราได้อย่างถาวร
|
กรรม แปลว่า เจตนาหรือจงใจกระทำ มีทั้งการกระความดีและความชั่ว
วิบาก คือผลของกรรม มีทั้งผลที่ดี และที่ไม่ดี
ชีวิตที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้คือผลของการกระทำในอดีตที่ผ่านมาแต่ใช่ว่าที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นผลจากอดีตทั้งหมดผลกรรมในปัจจุบันก็มีส่วนร่วมด้วย
หลักคำสอนเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็นกฏธรรมชาติ ว่าด้วยเหตุและผลของการกระทำ กฏแห่งกรรมดำเนินไปอย่างอิสระด้วยตัวของมันเองและไม่เกี่ยวกับแนวคิดการรับรางวัลหรือถูกลงโทษ เป็นกฏที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์ดั่งคำสอนที่ว่าไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
การยกระดับจิตใจอย่างถาวรเราต้องเริ่มกระทำกรรมที่ป็นปัจจุบัน เช่นการศึกษาพระธรรม การปฏิบัติธรรม เป็นต้น ใช่ว่าจะรอเมื่อเวลากรรมดีจะมาส่งผลแล้วระดับจิตใจของเราจะดีขึ้นเอง |
|
|
|
|
 |
pnc
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 มิ.ย.2006, 11:37 am |
  |
เราต้องชดใช้กรรมครับแม้จะไม่รุ้ว่าเคยทำอะไรผิดมาก่อนในแต่ละชาติ ผมต้องขอบอกว่า การชดใช้กรรมแต่ละชาติของเรามันต้องเป็นไปจนกว่า เราจะทำกรรมดีบารมีสิบทัศน์ จนเต็มถึงระดับขั้นต่ำคืออรหันตืธรรมดาในอนาคตอีกหลายชาติครับ แล้วอย่างนี้ ถ้าเรารุ้ เราจะไม่ยอมสร้างกรรมดีไหม่ไหม่ในแต่ละชาติให้เป็นนิสัยไว้เหรอครับ การที่เราไม่รุ้ว่าเคยทำผิดอะไรมานั้นในชาติก่อน ดีแล้วครับ เราจะได้มีกำลังใจสร้างกรรมดีให้มากมากต่อไป เพื่อชาติหน้า อย่างไม่ประมาท เพราะบางคนรุ้เรื่องชาติก่อน ถึงกับท้อแท้มากกว่าเดิมก็มีครับ........การรุ้เรื่องชาติก่อนนั้น จำเป็นที่สุดสำหรับคนที่มีบารมีดีเต็มทำวิปัสสนาเพื่อตัดอวิชชาสามภพครับ สำหรับเรา ชาตินี้ ดียังไม่เต็ม ยังไม่จำเป็นต้องรุ้เองก็ได้ครับ หรือสนใจเกินไป รุ้แค่ว่า หน้าที่ชาตินี้ของชาวพุทธคือต้องทำดีบารมีให้สม่ำเสมอและฉลาดในคุณธรรมเพื่อสังคม ก็พอแล้วครับ |
|
|
|
|
 |
อ๊อด
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 มิ.ย.2006, 12:26 pm |
  |
สวัสดีครับ คุณกะป๊าบ,
เป็นคำถามที่ผมเคยคิดมาก่อนครับ แล้วผมก็ได้ข้อสรุปดังนี้
- คุณลองคิดดูนะว่าหากเราทุกคนรู้ว่า เราเคยเป็นใคร ทำอะไรไว้บ้าง จะวุ่นวายมากมายขนาดไหนครับ ต่างคนต่างอ้างสิทธ์ ที่เคยได้ เคยเป็น เคยทำ
- ลองคิดดูนะครับ ในชาติปัจจุบันนี้ จะมีซักกี่ครั้งที่เราเจ็บแล้วจำ
- เมื่อพบว่าพระพุทธศาสนา นี่แหละสุดยอดครับ สอนให้เราอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น อดีตผ่านมาแล้ว อย่ารำพึงถึง ไม่มีประโยชน์ อนาคตยังมาไม่ถึง จะออกหัวก้อยเกินคาดเดา เมื่อทำปัจจุบันไว้ดีซะอย่างแล้ว อดีต กับ อนาคตดีแน่
- สุดท้าย มันคือ อจินไตย ตามที่คุณ 1 บอกครับ เกินปัญญาของมนุษย์ ครับ
ถ้าอยากรู้จริงๆ ต้องฝึกครับ แต่ก็ได้รู้ย้อนกลับไปไม่เท่าไหร่หรอกครับ |
|
|
|
|
 |
อ่าง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 มิ.ย.2006, 3:05 pm |
  |
ก่อนทำไม่เคยคิด พอรับผิดกลับคิดว่าไม่ยุติธรรม
ไม่อยากชดใช้กรรม อย่าทำความชั่ว
ทำผิดไม่รู้ตัว กลับมัวหาเหตุ
ความยุติธรรมคือกฏแห่งกรรม เดินตามธรรมคือทางหลุดพ้นเจ้าค่ะ
เขาถูกกระทำก็เพราะเรา เขาจึงเหี่ยวเฉาเฝ้าโมโห
พอเราโดนมั่ง...ต้องนั่งพุทโธ โอ้โห...ทำกรรมอะไรไม่ได้จำ
เขาโดนกระทำ เราดันลืม เจ้ากรรมเขาไม่ลืม มาทวงซ้ำ
โอ้ย...มันน่าสงสัยให้ชีช้ำ คราวหลังจะจำ...ทำแต่ความดี |
|
|
|
|
 |
แอม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มิ.ย.2006, 8:25 am |
  |
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ พอเหมาะที่จะติดตัวไปอ่านครับ
ตัดต่อมาพอให้เข้าใจ
ความซับซ้อนของกรรม
ชีวิตในชาตินี้ชาติเดียวย่อมน้อยนัก เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตในอดีตชาติ ซึ่งนับชาติหาถ้วนไม่ ดังนั้น กรรมคือการกระทำ ที่ทำในชีวิตนี้ชาตินี้ชาติเดียวจึงน้อยนัก เมื่อเปรียบเทียบกับกรรมหรือการกระทำที่ทำไว้แล้วในอดีตชาติ อันนับจำนวนชาติไม่ถ้วน
การเขียนหนังสือด้วยปากกาหรือดินสอลงบนกระดาษแผ่นเดียวนั้น เขียนลงครั้งแรกก็ย่อมอ่านออกง่าย อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่ยิ่งเขียนทับเขียนซ้ำลงไปบนกระดาษแผ่นเดียวกันนั้น ตัวหนังสือย่อมจะทับกันยิ่งขึ้นทุกที
การอ่านก็จะยิ่งอ่านยากขึ้นทุกทีจนถึงอ่านไม่ออกเลย ไม่เห็นเลยว่าเป็นตัวหนังสือ จะเห็นแต่รอยหมึกหรือรอยดินสอทับกันไปทับกันมาเป็นสีสันเท่านั้น ให้เพียงรู้เท่านั้นว่าได้มีการเขียนอะไรลงบนกระดาษแผ่นนั้น หาอ่านรู้เรื่องไม่และหาอาจรู้ได้ไม่ ว่าเขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลังนี้
ฉันใด การทำกรรมหรือการทำดีทำชั่วก็ฉันนั้น ต่างได้ทำกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทับถมกันมายิ่งกว่าตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก หารู้ไม่ว่าได้เขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง ทำกรรมแบบใดไว้ก็ไม่รู้ ไม่เห็น แยกไม่ออกว่าทำกรรมใดก่อนทำกรรมใดหลัง
ทำดีอะไรไว้บ้าง ทำไม่ดีอะไรไว้บ้าง มากน้อยหนักเบากว่ากันอย่างไร มาถึงชาตินี้ไม่รู้ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นความซับซ้อนของกรรมที่แยกไม่ออก เช่นเดียวกับความซับซ้อนของตัวหนังสือที่เขียนทับกันไปทับกันมา
ความซับซ้อนของกรรมแตกต่างกับความซับซ้อนของตัวหนังสือ ตรงที่ตัวหนังสือเขียนทับกันมาก ๆ ย่อมไม่มีทางรู้ว่าเขียนเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีอย่างไร แต่กรรมนั้น แม้ทำซับซ้อนมากเพียงไร ก็มีทางรู้ว่าทำกรรมดีไว้มากน้อยเพียงไร หรือกรรมไม่ดีไว้มากน้อยเพียงไร โดยมีผลที่ปรากฏขึ้นของกรรมนั้นเองเป็นเครื่องช่วยแสดงให้เห็น
ชื่อหนังสือ ชีวิตนี้สำคัญนัก
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 |
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |