ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ดด
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ค.2006, 6:34 pm |
  |
ชีวิตนี้น้อยนัก
ประณีต ก้องสมุทร
เมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ท้องฟ้าที่กระจ่างกลับมืดครึ้ม เขาใหญ่ดูดำทมึน ลมพัดกระโชกแรง
จนหญ้าเอนลู่ราบลงดิน ไม้ใหญ่เล่าก็โอนเอน ใบของมันสะบัดพริ้ว และร่วงพรูปลิวไปตามลม ฝูงนกบินอย่าง
รวดเร็วกลับรวงรัง มดดำคาบไข่เดินตามกันเป็นทิวแถวหลบเข้าไปอยู่ในโพรงไม้ และแล้วฝนก็พรำลงมา
และหนาเม็ดเข้าทุกทีจนตกหนัก ไม่ช้าน้ำก็เจิ่งนองจนท่วมท้น ล้นบ่าจากยอดเขาลงสู่ลำห้วยเบื้องล่าง สาย
น้ำเชี่ยวกรากปะทะโขดหินน้อยใหญ่ ลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ คดเคี้ยวผ่านซอกเขาลับหายไป
เมื่อฝนหยุด ลมสงบ ความมืดก็หายไป ฟ้ากลับสดใสจนมองเห็นเขาใหญ่ถนัดตา ต้นไม้ใบหญ้า
ดูเขียวสด สะอาด ฝูงนกบินออกจากรวงรัง ส่งเสียงร้องร่าเริง
ฝนตกแล้วก็หยุด
หยุดแล้วก็ตก
ฟ้ามืดแล้วกลับสว่าง
สว่างแล้วกลับมืด
ชีวิตสัตว์ก็เช่นกัน เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอีก หมุนเวียนเป็นวัฏฏะอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
เป็นเช่นนี้มานานเท่าไรก็เหลือจะนับ และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดก็ไม่อาจคะเนได้
สายน้ำจากที่สูงไหลไปแล้วไม่ไหลกลับฉันใด ชีวิตของสัตว์ที่ล่วงไปแล้วก็ไม่ย้อนกลับมาอีกฉันนั้น
กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตสัตว์ให้ใกล้ต่อความตายเข้าไปทุกเวลานาที
ชีวิตนี้ไม่น่ารื่นรมย์เลย
แต่คนเขลากลับเห็นว่างามวิจิตร พากันยินดีร่าเริงติดข้องอยู่เหมือนนกติดอยู่ในตาข่าย ใจของ
คนเขลาถูกความมืด คืออวิชาหุ้มห่อไว้ จึงไม่รู้ว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ ไม่น่ารื่นรมย์ ถูกไฟ คือราคะ ความกำหนัด
ยินดี โทสะความโกรธ ความประทุษร้าย โมหะ ความหลงไม่รู้ความจริงเผาไหม้อยู่เป็นนิจ
ไยจึงไม่แสวงหาดวงประทีปมาดับความมืดกันเสียเล่า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ได้จุดประทีปให้สว่างไสวดับความมืดเสียได้แล้ว ชีวิตของท่านดับสนิทแล้ว
ไม่ย้อนกลับมาเกิดอีก วัฏฏะของท่านหยุดหมุนแล้ว
เมื่อไรวัฏฏะของเราจึงจะหยุดหมุนอย่างท่าน
ชีวิตนี้น้อยนัก สั้นนัก บางคนก็ตายเสียแต่ในครรภ์ บางคนออกมาจากครรภ์ก็ตาย บางคนอยู่ ๑
เดือนก็ตาย บางคนปีเดียวก็ตาย บางคนมีชีวิตไปจนหนุ่มสาวแล้วก็ตาย บางคนอยู่ไปจนแก่เฒ่าแล้วก็ตาย
ที่อายุยืนอย่างมากก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี หรือจะเกิน ๑๐๐ ปีขึ้นไปก็ไม่มาก แล้วก็ตายเพราะชรา ทุกชีวิตล้วนมี
ความตายเป็นเบื้องหน้า
สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้ว ที่จะไม่ตายไม่มี
ผลไม้ที่สุกงอมแล้ว ย่อมร่วงหล่นไปตามธรรมดาฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วย่อมตายไปเป็น
ธรรมดาฉันนั้น
ชีวิตนอกจากจะน้อยตามธรรมดาของตนอย่างนี้แล้ว ยังน้อยด้วยขณะ คือตั้งอยู่ได้เพียงชั่วขณะ
จิตเกิดขึ้นแล้วดับไปครั้งหนึ่งเท่านั้น
จิตนั้นเกิดดับรวดเร็วนัก เพียงลัดนิ้วมือครั้งเดียว จิตเกิดดับถึงโกฏิแสนขณะ
เมื่อจิตดับชีวิตก็ดับไปขณะหนึ่ง แต่เพราะจิตดับแล้วยังเกิดใหม่สืบต่ออยู่ทุกขณะ ชีวิตของสัตว์
ทั้งหลายจึงยืนยาวสืบต่อกันมา ชาติแล้วชาติเล่า เปลี่ยนจากสัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์ชนิดนั้น เปลี่ยนจากสัตว์ชนิด
นั้นเป็นสัตว์ชนิดโน้น จากสัตว์ชนิดโน้นกลับมาเป็นสัตว์ชนิดนี้ จากสัตว์ชนิดนี้กลับเป็นสัตว์ชนิดนั้น หมุนเวียน
เปลี่ยนกันไปอยู่อย่างนี้จนกว่าเมื่อไรจะได้พบดวงประทีป คือปัญญาที่ขจัดความมืด คืออวิชชาที่ห่อหุ้มจิตใจ
เสียได้ เมื่อนั้นจิตจะดับแล้วไม่เกิดอีกต่อไป ชีวิตก็ดับไปพร้อมกับจิตด้วยเป็นการสิ้นสุดชีวิตกันอย่างแท้จริง
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีเครื่องต้านทาน คือใครๆ ไม่อาจป้องกันให้พ้นจากความตายได้
ทุกชีวิตล้วนตกอยู่ในอำนาจของความตาย มีความตายเป็นเบื้องหน้า เมื่อความตายครอบงำแล้วต้องไปอยู่
ปรโลก บิดามารดาก็ไม่อาจป้องกันบุตรไว้ได้ ญาติสนิทมิตรรักก็ไม่อาจป้องกันได้
ชีวิตของสัตว์ไม่มีนิมิตรเครื่องหมายให้รู้ว่า เวลาไหนจะถึงกาลแตกดับ อาจจะตายในนาทีนี้
ชั่วโมงนี้ วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ปีหน้า หรือเมื่อใดก็ได้ จะตายในบ้าน นอกบ้าน หรือที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้
จะถูกงูกัดตาย ถูกฆ่าตาย ฆ่าตัวเองตาย เป็นโรคตาย ฯลฯ จะตายดีตายร้ายประการใด หามีใครทราบไม่
ที่มา ธรรมจักร |
|
|
|
|
 |
ทิพ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 9:12 am |
  |
โมทนาบุญนี้ คะ สาธุ สาธุ
เกิดชาติ ใด ใด ขอเข้าถึง พระธรรม |
|
|
|
|
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ค.2006, 1:41 pm |
  |
อนุโมทนาบุญค่ะ...คุณ ดด
ขออนุญาตแบ่งปันนะคะ
 |
|
|
|
   |
 |
Koo!er
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 20 มิ.ย. 2006
ตอบ: 1
ที่อยู่ (จังหวัด): 52 ม5 จ.พิษณุโลก 65000
|
ตอบเมื่อ:
22 มิ.ย.2006, 9:54 pm |
  |
[color=blue]ทำให้รุ้แจ้งในชีวิตขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
มันหนีไม่พ้นจิง ๆ เรื่องแบบนี้
ทำได้อย่างเดียวคือสร้างกรรมดีให้มากที่สุด
ขอบคุณอีกครั้ง
กุ๊ก พรพรรณ [/color]
:b1: :b4: :b8: |
|
_________________ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ , เอาตัวรอดเป็นยอดดี , คนเราจิตใจไม่เท่ากัน |
|
    |
 |
|