Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สูงสุดสู่สามัญ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เทพ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ธ.ค.2006, 6:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สูงสุดสู่สามัญ

วันนี้ผมมีเรื่องเล่าให้ทุกท่านฟัง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง (อ่าน)

ผมได้มีโอกาสได้พบพระรูปหนึ่ง ท่านช่างดูเป็นพระธรรมดา ๆ รูปหนึ่งจริง ๆ แต่เวลาได้สนทนาธรรมกับท่านแล้ว รู้สึกว่าท่านช่างมีความรอบรู้ในธรรมอย่างยิ่งยวด มีความเข้าใจแตกฉานลึกซึ้ง และนอกจากนั้นท่านยังสามารถพูดถึงธรรมที่ผมยังติดขัดอยู่จนทำให้ผมได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง หายสงสัยและมั่นใจในการปฏิบัตินั้นต่อไป ขณะที่ท่านสนทนาธรรมอยู่กะผมนั้น พลังงานที่เรียบ เบา สบาย สุภาพ จากท่านก็จะแผ่กระจายออกมาเป็นระยะ ๆ น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ดวงจิตของท่านนั้นใสประดุจหนึ่งแก้วที่เจียระไนแล้ว สวยงามมีประกาย สดใสมาก ชะรอยท่านผู้นี้คงมิใช่พระธรรมดาซะแล้วในใจผมคิด แต่ท่านช่างดูเป็นธรรมชาติเสียจริง ๆ ไม่มีแม้จริต มารยา วางตัวปกติ ท่านบอกว่า บางทีท่านก็ดุนะ แต่ใจท่านไม่มีอะไร มีแต่เมตตา ที่ดุด่าก็เพราะเห็นว่ามัวผิดทาง เสียเวลา ท่านพูดเร็วเป็นปกติ ไม่ได้พูดเนิบนาบเหมือนอย่างที่ผมเคยคาดหมาย ผมเรียนถามท่านว่า ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานในตัวของท่าน เวลาที่ท่านกล่าวธรรมนั้น เวลานั้นท่านมีปีติเกิดขึ้นใช่มั๊ย ท่านตอบผม พอให้เข้าใจได้ว่า ท่านไม่ได้สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกะตัวท่านในเวลานั้น ท่านตัดความคิดปรุงแต่ง สัญญาใดที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่ได้นำมาใช้งาน สัญญานั้นจะดับไปเอง แต่เท่าที่ท่านพูดก็เหมือนกับว่าท่านยอมรับอยู่ในที (ปกติของผู้ประพฤติธรรม เวลาแสดงธรรมอันละเอียดลึกซึ้งแล้ว ธรรมปิติจะเกิดเสมอ เพราะขณะที่กล่าวถึงธรรมนั้น ผู้กล่าวย่อมน้อมจิตไปตามกระแสธรรมนั้น และกำหนดสติรู้เท่าทันความคิดปรุงแต่ง โสมนัสเวทนาจึงเกิดขึ้นเป็นปกติ)

ต่อไปนี้ผมจะเล่าในสิ่งที่ท่านสอนผมนะครับ ขอออกตัวไว้ก่อน ผมขออธิบายย่อ ๆ เพราะว่า ผมเองก็จำได้ไม่หมด ขี้ลืม

ท่านอธิบายเรื่องขันธ์ 5 ท่านบอกว่า ต้องให้เห็นกระบวนการที่จิตปรุงแต่ง เห็นอาการของจิตให้ชัดเจน แยกให้ออก ว่าอะไรคือ รูป อะไรคือเวทนา สัญญา สังขาร ท่านเมตตายกตัวอย่างการเกิดขึ้นของขันธ์ 5 ให้ผมฟังว่า วิญญาณนั้นเกิดก่อน แล้วรับรู้การปรุงแต่งคือสังขาร จากนั้นสัญญาก็เกิด แล้วเวทนาก็เกิดขึ้น เกิดความพอใจ ไม่พอใจ สุข ทุกข์ ผมรู้สึกฉงนใจ จึงเรียนถามท่านว่า วิญญาณเกิดแล้วไปรับรู้เวทนาก่อนได้หรือไม่ ท่านก็ตอบว่า สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด ตัวใดตัวหนึ่งในขันธ์ 5 ก่อนก็ได้ แต่ที่สำคัญคือต้องมีสติเสมอ สติเป็นผู้ดู แต่ไม่ลงไปร่วมกะขันธ์ 5 นั้น ให้เป็นผู้ดู และให้ระวังด้วย ระวังมันมักจะไปร่วมแสดงกะขันธ์ 5 ด้วย บางทีการพิจารณาธรรมนั้น ๆ กลับไม่ใช่ปัญญาธรรม แต่เป็นกิเลสธรรม เนื่องจากไม่มีสติเป็นผู้ดู แต่กลับลงไปคลุกเคล้ากะขันธ์ 5 ซะเอง ตัวนี้สำคัญ ต้องระวัง กิเลสนั้นมันฉลาดมาก แต่ถ้าเรามีสติ มีสติแล้วก็ต้องระวังอีก ต้องมีสติ สติในสติ รู้ในรู้

ผมถามท่านว่า มีผู้กล่าวว่าการที่เราลงไปย้อนดูความเกิดขึ้นของจิตของการปรุงแต่งว่าเป็นการคิดนึกเอาน่ะ ท่านจะว่าอย่างไร ท่านบอกว่า ถ้าตราบใดที่เรามีสติ รู้ตัวอยู่ และการพิจารณานั้นทำให้เกิดความเข้าใจในธรรมมากขึ้น อันเป็นเหตุให้ตนเองละความเห็นผิดลงได้ นั้นไม่ใช่การคิดนึกปรุงแต่งที่เป็นอกุศล แต่เป็น “ปัญญาธรรม” ต่างหาก ที่สำคัญคือต้องมีสติรู้เป็นผู้ดูจริง ๆ เท่านั้น ต้องแยกให้ออก ระหว่างจิตผู้รู้กะอาการที่เกิด แต่ถ้าเราไม่มีสติรู้ทันเมื่อเวลาเราพิจารณา ไปร่วมกะการคิดนั้น ๆ ไม่เป็นผู้รู้ดูคิดนั้น เป็น “กิเลสธรรม” เมื่อพิจารณาจนเข้าใจแล้วเกิดธรรมปิติ ก็ต้องมีสติรู้ในธรรมปิติที่เกิด ต้องเห็นว่านั้นก็คืออาการของจิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือสรุปว่า ต้องมีสติรู้ เป็นผู้ดู อย่าเข้าไปร่วมเป็นอันขาด ให้เห็นตรงนี้ เห็นขันธ์ 5 อย่างนี้ให้ชัด คิดนึกด้วยสติรู้ตัวตลอดนี้ไม่ผิด ใช้กิเลสนี้แหละเป็นตัวละกิเลสอีกที อย่างนั้นเราจึงสามารถจะอยู่กะกิเลสได้ แต่ไม่ติด แต่ให้ระวังถูกกิเลสหลอก ทำให้เข้าใจว่าขณะที่คิดนั้นมีสติ ต้องระวัง ต้องแยกให้ออก นี้คือทางลัดตัดตรงที่สุดแล้ว เมื่อเราศึกษาจนเข้าใจสุดรอบ มันจะละกิเลสหมดได้

เวลานี้ผมสังเกตเห็นสัญญาท่านดับบ่อย พอท่านไปทำงานอย่างอื่นของท่านแล้วกลับมาพูดใหม่ ท่านจะถามผมว่าถึงตรงไหนแล้ว ท่านบอกว่า สัญญามันดับ สัญญาใดที่ไม่ได้ถูกใช้ ไม่จำเป็นจะใช้ มันจะดับไปเอง มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ

นั่นแหละครับมันแคะใจผมได้สนิทเลย เพราะผมมักกังวลอยู่ว่า การที่เราคิดย้อนกลับไปหาเหตุผลที่ทำให้เกิดความคิดปรุงแต่งแบบนี้อยู่นั้นมันมีเหตุมาจากอะไร เพราะจิตมันชอบจะย้อนกลับไปดูเหตุบ่อย ๆ เมื่อมันย้อนไปดูแล้ว มันเข้าใจ มันฉลาดมากขึ้นนะ เวลากิเลสเกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่สนมันได้น่ะ แต่พอระลึกถึงคำสอนต่าง ๆ ที่มีกันมา ก็เลยพาให้เกิดอาการเกร็ง กลัวความคิดปรุงแต่ง เรากำลังปรุงแต่งกิเลสรึป่าว แต่พอได้มาฟังพระอาจารย์ทำให้เข้าใจ ตราบใดที่เรามีสติรู้อยู่ เป็นแค่ผู้ดูเสมอ นั้นคือ ปัญญาธรรม

เมื่อปฏิบัติถึงที่สุด เราจะสามารถอยู่กะธรรมชาติอย่างโลก ๆ นี่ได้เป็นปกติ ดูไม่ออกเลย เพราะท่านไม่ถือตัวอะไรอีกเลย เป็นธรรมชาติเดิมที่ท่านเคยเป็นมา (นี่ละน้า พระอรหันต์ท่านละความถือตัวได้แล้วนี่นา อื่น ๆ ยังละไม่ได้) มีดุมีด่าได้ด้วย เหมือนหลวงตาท่านนึง ก็มันเป็นธรรมดาไปแล้ว มันไม่ติดจะไปกลัว ไปเม้มมันไว้ทำไม ช่วยชาติก็ช่วยเป็นปกติของท่าน แต่ไม่ติดเลย ถามพระอาจารย์ว่า พระอรหันต์นี่ถ้าไม่บวชก็อยู่กะทางโลกได้นะดิ เพราะเป็นธรรมชาติไปแล้ว ท่านก็ว่า อยู่ได้นะ แต่สรุปว่าส่วนมากไม่ค่อยอยู่ เพราะเมตตาคน กลัวพวกไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปทำอะไรท่านนี่ บาปหนักเลยล่ะ แล้วก็ไม่ได้ตายด้านนะ เพียงแต่เห็นคุณเห็นโทษอย่างแจ้งชัดแล้ว เข้าใจกระบวนการของความคิดนึกแล้วจึงไม่ติดในกามคุณทั้งหลาย

มีอีกเรื่องนึงที่ไม่สบายใจ ผมเรียนถามท่านว่า การที่มีผู้รู้ปรมัตถธรรม กล่าวว่า คนนับถือศาสนาอะไรก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ เพราะพุทธะอยู่ที่ใจ ผมเกรงคนที่ไม่รู้ปรมัตถ์ฟังแล้วตีความผิด ๆ ต่อไปอาจ ไม่มีพระพุทธเจ้าปรากฏในหนังสือธรรมอีกต่อไป ท่านเมตตากล่าวว่า ไม่ต้องไปคิดหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้ถูกจัดถูกวางไว้หมดแล้ว ไม่ต้องไปห่วง ประมาณว่าไม่ต้องไปห่วงแทน ให้สนใจดูอาการในจิตในใจของเราดีกว่า ครับ

เวลาท่านทั้งหลายเดินไปตามท้องถนนขอให้ระวังให้ดี บางทีอาจมีพระอรหันต์เดินปะปนอยู่ ท่านอาจมีกิจธุระของท่านบางอย่าง เราดูไม่ออกหรอก ถ้าตาเราไม่ดี หูเราไม่ดี ใจเราไม่ดี เพราะท่านเหล่านี้นั้น “สูงสุดสู่สามัญ” จริง ๆ
 
arwars
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 22 ธ.ค. 2006
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): ranong

ตอบตอบเมื่อ: 29 ธ.ค.2006, 3:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณเทพช่วยเขียนมาเล่าประสบการณ์ปฏิบัติธรรมเป็นวิทยาทานหน่อย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง