ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
วิการ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 มิ.ย.2006, 2:10 pm |
  |
อยากทราบว่าการทำสมาธิชั้นสูงของศาสนาพราหมณ์ ผสมการฝึกโยคะนี่เป็นธรรมที่เหมือนกับศาสนาพุทธหรือไม่
อยากทราบวิธีปฏิบัติของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูว่าทำให้เกิดปัญญาเหมือนศาสนาพุทธหรือไม่ หรือต่างกันอย่างไร |
|
|
|
|
 |
นนท์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 มิ.ย.2006, 2:56 pm |
  |
สมถะ คือ การทำให้จิตสงบระงับจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองเร่าร้อนทั้งหลาย จนจิตใจไม่มีอาการดิ้นรน ไม่กระสับกระส่ายตลอดเวลาที่กิเลสเหล่านั้นสงบระงับอยู่ อุบายหรือวิธีการนั้นก็ได้แก่ การเจริญกัมมัฏฐาน การเพ่งกัมมัฏฐาน คือ หน่วงเอากัมมัฏฐานมาเป็นอารมณ์สำหรับเพ่ง
วิปัสสนากัมมัฏฐาน แปลว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางใจที่จะให้เห็นแจ้ง ซึ่งมีความหมายว่า ให้เห็นแจ้ง รูปนาม ให้เห็นแจ้ง ไตรลักษณ์ ให้เห็นแจ้ง อริยสัจจ ให้เห็นแจ้ง มัคค ผล นิพพาน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าต่างกับ สมถกัมมัฏฐาน เพราะสมถกัมมัฏฐานเป็นเพียงอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางใจ ที่จะให้เกิดความสงบ แต่อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ถึงกับให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ดังที่กล่าวนี้ด้วย บ้างก็กล่าวสั้น ๆ ว่า
สมถะเป็นอุบายสงบใจ วิปัสสนาเป็นอุบายเรืองปัญญา
..............
การเจริญสติปัฏฐานจึงต้องกระทำไปด้วยความมีสติสัมปชัญญะ คือให้ พินิจด้วยปัญญา เพื่อให้เกิดปัญญาภิญโญยิ่ง ๆ ขึ้นไป อันว่าความพินิจที่ประกอบด้วยปัญญานี้ ถ้ามีแก่ผู้ใดแล้ว นับว่าผู้นั้นอยู่ใกล้ พระนิพพาน ดังปรากฏใน ธรรมบท ว่า
นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส
ความพินิจย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้
นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน
ปัญญาเล่า ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ
ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญา จ
ความพินิจและปัญญามีในผู้ใด
ส เว นิพฺพานํ สนฺติเก
ผู้นั้นแหละอยู่ในที่ใกล้พระนิพพาน
...
การเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็คือการปฏิบัติวิปัสนากัมฐาน
ซึ่งมีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
... |
|
|
|
|
 |
สงสัย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 มิ.ย.2006, 6:27 pm |
  |
ทำไมปัจจุบันยังมีผู้ปฏิบัติมาสอนว่า ศาสนาพราหมณ์ก็ปฏิบัติให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง ทำไมคนจึงเชื่อเช่นนั้น เขาเข้าใจพุทธศาสนาแท้จริงหรือเข้าใจผิดพลาดไป |
|
|
|
|
 |
ขามั่วในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 มิ.ย.2006, 10:17 pm |
  |
สมาธิ เหมือนกันหมด แต่ชาวพุทธ อิงใน สัมมาสมาธิ ถึง ฌาณ4 ไม่มีกล่าว ถึงอรูปฌาณ เพราะ รูปฌาณ ก็เพียงพอแล้ว พิจารณาได้ง่ายแล้ว
ฌาณ 8 นั้น มีมานานมาแล้ว และมีเปิดสอนกันมา แต่ไม่มีการขับกิเลส จึงทำให้ พระพุทธเพียร อีก 6ปี เพื่อ ตรัสรู้ และว่าถึงไตรลักษณ์ ซึ่งมี มรรค มีองค์ 8 เป็นทางเดิน
ปล. ถ้าเป็นปัญญา ก็ เป็นวสี ในการทำให้เกิดความสงบ ทั้งกาย ทั้งจิต ก็ไม่ผิดซะทีเดียว สงบมากทีเดียว ถ้าทำได้คล่องก็รู้ขั้นตอน และเหตุ ถ้าจะกล่าวก็เหมือนผู้พอใจในแกนไม่แสวงหาแก่น |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2006, 3:48 am |
  |
กราบสวัสดี คุณวิการและครูบาอาจารย์ทุกท่านด้วยความเคารพ
การทำสมาธิชั้นสูงของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ได้มีการสื่อความหมายมาในลักษณะขององค์เทพ พุทธเรียก "จิต" พราหมณ์ฮินดูเรียก "จักร" ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า" พระศิวะมีรูป 8 รูป ที่เรารู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส รูปหนึ่ง คือ ธาตุแรกที่พระพรหมา ผู้สร้างโลก (น้ำ) รูปหนึ่ง คือ สิ่งที่นำเครื่องสังเวย (เนยใส เป็นต้น) ที่ผู้ทำพิธีใส่เข้าไปในไฟพิธีไปให้เทพ (ไฟ) รูปหนึ่ง คือ พราหมณ์ผู้ประกอบยัญพิธี รูปสองรูป คือ ผู้กำหนดกาลเวลา (พระจันทร์และพระอาทิตย์) รูปหนึ่ง คือ สิ่งที่แทรกซึมอยู่ทั่วจักรวาลและเป็นสิ่งที่ทำให้การได้ยินเสียงเกิดขึ้นได้ (อากาศ) รูปหนึ่ง คือ สิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าเป็นเชื้อพื้นฐานสำหรับทุกสิ่งเดิม (ดิน) และรูปหนึ่ง คือ สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายใช้หายใจ (ลม) "
ดังที่กล่าวถึงพระศิวะในข้างต้น หากปฏิบัติกายและจิตจนธาตุในสัมพันธ์กับธาตุนอกของโลกได้อย่างกลมกลืน นั่นคือความหมายของพระศิวะ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในพุทธศาสนากล่าวไว้ในวิธีการเจริญกายคตาสติ วิธีเจริญจตุธาตุววัฏฐานกรรมฐาน วิธีเจริญอรูปกรรมฐาน กสิณ 10 และวิธีเจริญอสุภ หากคุณปฏิบัติจนสามารถแยกธาตุได้โดยละเอียดแล้ว คุณ คือ พระศิวะ การฝึกปฏิบัติทางสายฮินดูเรียก การฝึกเดินปราณผ่านจักร หรือ สุริยปราณ ปฐวีปราณ อากาศปราณ นั่นเอง
ทีนี้โยคะนี่ เปรียบเสมือนอุบายเพื่อการฝึกเจริญสติในการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบท แต่ยังเป็นรูปแบบ ท่าทาง เน้นการทำงานของระบบประสาทผ่อนคลาย (Parasympathetic) ทำให้เกิดปิติสุขที่เป็นผลมาจากความสงบ สบาย ผ่อนคลาย มีผลให้สภาวะภายในสมดุล สมบูรณ์ทั้งกายและใจ ในการฝึกโยคะจึงต้องใช้ปัญญาควบคู่ไปพร้อมกับการฝึกพิจารณา อาการตึง อาการคลายของอวัยวะส่วนต่างๆ ตามรู้เท่าทันความไม่สมดุลของร่างกาย รู้ว่าลมหายใจมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บางครั้งติดขัด หอบ เหนื่อย กระชั้นหรือเนิบนาบ เรียนรู้วิธีดูแลไม่ให้เกิดขึ้น และเมื่อเกิดเราจะรับได้และผ่อนคลายในที่สุด หากเรียนรู้ที่จะยอมรับกฎของธรรมชาติ โยคะจะสอนให้เห็นสภาพธรรมชาติได้อย่างรอบด้านและลึกซึ้ง สอนวิธีอยู่กับความทุกข์โดยไม่ทุกข์ ไม่หนีและมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สิ่งนี้เองคือคุณค่าสูงสุดที่จะได้รับจากการฝึกโยคะซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ทีนี้การฝึกปฏิบัติในสายพราหมณ์ฮินดูนี่จากพื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องฝึกปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้าตามลำดับต่อไปอีกก็คือ "ตันตระ" ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติเข้าสู่การรวมศูนย์ ก้าวล่วงพ้นจากรักของมนุษย์ ก้าวล่วงพ้นจากทวิลักษณ์ เป็นเรื่องของการฝึกปฏิบัติล้วนๆจนเข้าสู่สภาวะที่สุดแห่งบริสุทธิ์ของความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความกรุณา นั่นเอง
ศานติ
มหะศักติ กาลิ
มณี ปัทมะ ตารา
http://www.omaarti.com/ |
|
|
|
   |
 |
วิการ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2006, 2:13 pm |
  |
ทีนี้การฝึกปฏิบัติในสายพราหมณ์ฮินดูนี่จากพื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องฝึกปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้าตามลำดับต่อไปอีกก็คือ "ตันตระ" ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติเข้าสู่การรวมศูนย์ ก้าวล่วงพ้นจากรักของมนุษย์ ก้าวล่วงพ้นจากทวิลักษณ์ เป็นเรื่องของการฝึกปฏิบัติล้วนๆจนเข้าสู่สภาวะที่สุดแห่งบริสุทธิ์ของความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความกรุณา นั่นเอง
ศานติ
ข้างบนที่กล่าวนี้หมายถึงอะไรครับ |
|
|
|
|
 |
นนท์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2006, 3:49 pm |
  |
สมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต เกิดกับจิตทุกประเภท มีทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิไม่ทำให้เกิดปัญญา การศึกษาพระธรรมย่อมทำให้เกิดปัญญา เข้าใจความจริงไม่หลงผิดในสิ่งต่างๆ |
|
|
|
|
 |
นนท์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2006, 4:04 pm |
  |
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุหลายประการ เช่น
การฟัง การพิจารณา การอบรมภาวนา เป็นต้น |
|
|
|
|
 |
วิการ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2006, 5:03 pm |
  |
คืออยากได้ความกระจ่างของคุณปุ๋ย ที่ว่าก้าวพ้นจาก ทวิลักษณ์ คืออะไรนะครับ |
|
|
|
|
 |
สุนทรีย์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
07 มิ.ย.2006, 9:12 pm |
  |
น่าสงสารคนที่มีความเชื่อผิดๆ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
08 มิ.ย.2006, 2:34 am |
  |
ทวิลักษณ์ - ลักษณะของธาตุคู่
เพียงซึ่งล่องลอยรูปไร้....................สดาศิวะ
หยดหนึ่งอมฤตพุทธะ....................ศักติ
มหะทวิลักษณ์...............................ดำรงซึ่ง นิรรูป
พูทธิ- ตัตตวะ................................ฉลาดแต่ง จักรวาล
ศิวะนาฏราช.................................ย่างเยื้อง กรีดกราย
บาทไขว้ดำเนินย้าย......................หมายรู้
เหยียบหนอปฐพีตามดู..................สมาธิ เคลื่อนไหว
นาฏยัมรำร่ายไซร้........................นิรมิตได้ หลายคน
นารายัณดำรงซึ่งไซร้....................มายา
แพรวพร่างทรงจักรา....................พรั่งพร้อม
สี่กรวิษณุนารา.............................กวนน้ำ กลางเกษียร
อมฤตหนึ่งบัวบานไซร้..................แซ่ซ้อง สรรเสริญ
สดาศิวะ - พระผู้เป็นใหญ่แห่งศิวะเทพ
ศักติ - ในร่างกายทั้งหมด
ทวิลักษณ์ - ลักษณะของธาตุคู่
นิรรูป - ไม่มีลักษณะที่สัมผัสได้
พูทธิ-ตัตตวะ - สภาวะแห่งปัญญาที่ฉลาดในการสร้างสรรค์
บทที่หนึ่งกล่าวถึงการฝึกจิต จักร ปราณ ตันตระ จนอยู่ในสภาวะไม่ปรากฏรูปร่าง เป็นเพียงพลังแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งเมื่อทั้งสองฝ่ายฝึกจนจิตละเอียดมากและได้สมดุลกัน คลื่นทางจิตวิญญาณก็จะผสมผสานเป็นจิตวิญญาณหนึ่งเดียวกัน ปัญญาที่ได้จากสภาวะธรรมนี้ ก่อให้เกิดปัญญาในการสร้างสรรค์ในการทำงานหรือแม้แต่การดำรงชีวิตที่สมบูรณ์
มหะศักติ กาลิ
ศึกษาได้ตามลิ้งค์ข้างล่างค่ะ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1856
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1857
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1858 |
|
|
|
   |
 |
นนท์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 มิ.ย.2006, 11:06 am |
  |
ความคิดเห็นของผมหายไป 1 ความคิดเห็น ใครทราบบ้างช่วยตอบทีเพราะเหตุไร |
|
|
|
|
 |
|