Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การทำสมาธิชั้นสูงของศาสนาพราหมณ์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วิการ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 2:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากทราบว่าการทำสมาธิชั้นสูงของศาสนาพราหมณ์ ผสมการฝึกโยคะนี่เป็นธรรมที่เหมือนกับศาสนาพุทธหรือไม่

อยากทราบวิธีปฏิบัติของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูว่าทำให้เกิดปัญญาเหมือนศาสนาพุทธหรือไม่ หรือต่างกันอย่างไร
 
นนท์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 2:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมถะ คือ การทำให้จิตสงบระงับจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองเร่าร้อนทั้งหลาย จนจิตใจไม่มีอาการดิ้นรน ไม่กระสับกระส่ายตลอดเวลาที่กิเลสเหล่านั้นสงบระงับอยู่ อุบายหรือวิธีการนั้นก็ได้แก่ การเจริญกัมมัฏฐาน การเพ่งกัมมัฏฐาน คือ หน่วงเอากัมมัฏฐานมาเป็นอารมณ์สำหรับเพ่ง

วิปัสสนากัมมัฏฐาน แปลว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางใจที่จะให้เห็นแจ้ง ซึ่งมีความหมายว่า ให้เห็นแจ้ง รูปนาม ให้เห็นแจ้ง ไตรลักษณ์ ให้เห็นแจ้ง อริยสัจจ ให้เห็นแจ้ง มัคค ผล นิพพาน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าต่างกับ สมถกัมมัฏฐาน เพราะสมถกัมมัฏฐานเป็นเพียงอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางใจ ที่จะให้เกิดความสงบ แต่อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ถึงกับให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ดังที่กล่าวนี้ด้วย บ้างก็กล่าวสั้น ๆ ว่า

สมถะเป็นอุบายสงบใจ วิปัสสนาเป็นอุบายเรืองปัญญา

..............

การเจริญสติปัฏฐานจึงต้องกระทำไปด้วยความมีสติสัมปชัญญะ คือให้ พินิจด้วยปัญญา เพื่อให้เกิดปัญญาภิญโญยิ่ง ๆ ขึ้นไป อันว่าความพินิจที่ประกอบด้วยปัญญานี้ ถ้ามีแก่ผู้ใดแล้ว นับว่าผู้นั้นอยู่ใกล้ พระนิพพาน ดังปรากฏใน ธรรมบท ว่า

นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส
ความพินิจย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้

นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน
ปัญญาเล่า ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ

ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญา จ
ความพินิจและปัญญามีในผู้ใด

ส เว นิพฺพานํ สนฺติเก
ผู้นั้นแหละอยู่ในที่ใกล้พระนิพพาน

...

การเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็คือการปฏิบัติวิปัสนากัมฐาน
ซึ่งมีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
...
 
สงสัย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 6:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำไมปัจจุบันยังมีผู้ปฏิบัติมาสอนว่า ศาสนาพราหมณ์ก็ปฏิบัติให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง ทำไมคนจึงเชื่อเช่นนั้น เขาเข้าใจพุทธศาสนาแท้จริงหรือเข้าใจผิดพลาดไป
 
ขามั่วในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 มิ.ย.2006, 10:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมาธิ เหมือนกันหมด แต่ชาวพุทธ อิงใน สัมมาสมาธิ ถึง ฌาณ4 ไม่มีกล่าว ถึงอรูปฌาณ เพราะ รูปฌาณ ก็เพียงพอแล้ว พิจารณาได้ง่ายแล้ว

ฌาณ 8 นั้น มีมานานมาแล้ว และมีเปิดสอนกันมา แต่ไม่มีการขับกิเลส จึงทำให้ พระพุทธเพียร อีก 6ปี เพื่อ ตรัสรู้ และว่าถึงไตรลักษณ์ ซึ่งมี มรรค มีองค์ 8 เป็นทางเดิน

ปล. ถ้าเป็นปัญญา ก็ เป็นวสี ในการทำให้เกิดความสงบ ทั้งกาย ทั้งจิต ก็ไม่ผิดซะทีเดียว สงบมากทีเดียว ถ้าทำได้คล่องก็รู้ขั้นตอน และเหตุ ถ้าจะกล่าวก็เหมือนผู้พอใจในแกนไม่แสวงหาแก่นตื่นเต้น
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2006, 3:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราบสวัสดี คุณวิการและครูบาอาจารย์ทุกท่านด้วยความเคารพ

การทำสมาธิชั้นสูงของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ได้มีการสื่อความหมายมาในลักษณะขององค์เทพ พุทธเรียก "จิต" พราหมณ์ฮินดูเรียก "จักร" ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า" พระศิวะมีรูป 8 รูป ที่เรารู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส รูปหนึ่ง คือ ธาตุแรกที่พระพรหมา ผู้สร้างโลก (น้ำ) รูปหนึ่ง คือ สิ่งที่นำเครื่องสังเวย (เนยใส เป็นต้น) ที่ผู้ทำพิธีใส่เข้าไปในไฟพิธีไปให้เทพ (ไฟ) รูปหนึ่ง คือ พราหมณ์ผู้ประกอบยัญพิธี รูปสองรูป คือ ผู้กำหนดกาลเวลา (พระจันทร์และพระอาทิตย์) รูปหนึ่ง คือ สิ่งที่แทรกซึมอยู่ทั่วจักรวาลและเป็นสิ่งที่ทำให้การได้ยินเสียงเกิดขึ้นได้ (อากาศ) รูปหนึ่ง คือ สิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าเป็นเชื้อพื้นฐานสำหรับทุกสิ่งเดิม (ดิน) และรูปหนึ่ง คือ สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายใช้หายใจ (ลม) "

ดังที่กล่าวถึงพระศิวะในข้างต้น หากปฏิบัติกายและจิตจนธาตุในสัมพันธ์กับธาตุนอกของโลกได้อย่างกลมกลืน นั่นคือความหมายของพระศิวะ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในพุทธศาสนากล่าวไว้ในวิธีการเจริญกายคตาสติ วิธีเจริญจตุธาตุววัฏฐานกรรมฐาน วิธีเจริญอรูปกรรมฐาน กสิณ 10 และวิธีเจริญอสุภ หากคุณปฏิบัติจนสามารถแยกธาตุได้โดยละเอียดแล้ว คุณ คือ พระศิวะ การฝึกปฏิบัติทางสายฮินดูเรียก การฝึกเดินปราณผ่านจักร หรือ สุริยปราณ ปฐวีปราณ อากาศปราณ นั่นเอง

ทีนี้โยคะนี่ เปรียบเสมือนอุบายเพื่อการฝึกเจริญสติในการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบท แต่ยังเป็นรูปแบบ ท่าทาง เน้นการทำงานของระบบประสาทผ่อนคลาย (Parasympathetic) ทำให้เกิดปิติสุขที่เป็นผลมาจากความสงบ สบาย ผ่อนคลาย มีผลให้สภาวะภายในสมดุล สมบูรณ์ทั้งกายและใจ ในการฝึกโยคะจึงต้องใช้ปัญญาควบคู่ไปพร้อมกับการฝึกพิจารณา อาการตึง อาการคลายของอวัยวะส่วนต่างๆ ตามรู้เท่าทันความไม่สมดุลของร่างกาย รู้ว่าลมหายใจมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บางครั้งติดขัด หอบ เหนื่อย กระชั้นหรือเนิบนาบ เรียนรู้วิธีดูแลไม่ให้เกิดขึ้น และเมื่อเกิดเราจะรับได้และผ่อนคลายในที่สุด หากเรียนรู้ที่จะยอมรับกฎของธรรมชาติ โยคะจะสอนให้เห็นสภาพธรรมชาติได้อย่างรอบด้านและลึกซึ้ง สอนวิธีอยู่กับความทุกข์โดยไม่ทุกข์ ไม่หนีและมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สิ่งนี้เองคือคุณค่าสูงสุดที่จะได้รับจากการฝึกโยคะซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

ทีนี้การฝึกปฏิบัติในสายพราหมณ์ฮินดูนี่จากพื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องฝึกปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้าตามลำดับต่อไปอีกก็คือ "ตันตระ" ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติเข้าสู่การรวมศูนย์ ก้าวล่วงพ้นจากรักของมนุษย์ ก้าวล่วงพ้นจากทวิลักษณ์ เป็นเรื่องของการฝึกปฏิบัติล้วนๆจนเข้าสู่สภาวะที่สุดแห่งบริสุทธิ์ของความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความกรุณา นั่นเอง

ศานติ

มหะศักติ กาลิ
มณี ปัทมะ ตารา
ผีเสื้อ

http://www.omaarti.com/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
วิการ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2006, 2:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทีนี้การฝึกปฏิบัติในสายพราหมณ์ฮินดูนี่จากพื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องฝึกปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้าตามลำดับต่อไปอีกก็คือ "ตันตระ" ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติเข้าสู่การรวมศูนย์ ก้าวล่วงพ้นจากรักของมนุษย์ ก้าวล่วงพ้นจากทวิลักษณ์ เป็นเรื่องของการฝึกปฏิบัติล้วนๆจนเข้าสู่สภาวะที่สุดแห่งบริสุทธิ์ของความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความกรุณา นั่นเอง

ศานติ








ข้างบนที่กล่าวนี้หมายถึงอะไรครับ
 
นนท์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2006, 3:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต เกิดกับจิตทุกประเภท มีทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิไม่ทำให้เกิดปัญญา การศึกษาพระธรรมย่อมทำให้เกิดปัญญา เข้าใจความจริงไม่หลงผิดในสิ่งต่างๆ
 
นนท์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2006, 4:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุหลายประการ เช่น
การฟัง การพิจารณา การอบรมภาวนา เป็นต้น
 
วิการ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2006, 5:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คืออยากได้ความกระจ่างของคุณปุ๋ย ที่ว่าก้าวพ้นจาก ทวิลักษณ์ คืออะไรนะครับ
 
สุนทรีย์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2006, 9:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

น่าสงสารคนที่มีความเชื่อผิดๆ
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2006, 2:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทวิลักษณ์ - ลักษณะของธาตุคู่


เพียงซึ่งล่องลอยรูปไร้....................สดาศิวะ

หยดหนึ่งอมฤตพุทธะ....................ศักติ

มหะทวิลักษณ์...............................ดำรงซึ่ง นิรรูป

พูทธิ- ตัตตวะ................................ฉลาดแต่ง จักรวาล





ศิวะนาฏราช.................................ย่างเยื้อง กรีดกราย

บาทไขว้ดำเนินย้าย......................หมายรู้

เหยียบหนอปฐพีตามดู..................สมาธิ เคลื่อนไหว

นาฏยัมรำร่ายไซร้........................นิรมิตได้ หลายคน





นารายัณดำรงซึ่งไซร้....................มายา

แพรวพร่างทรงจักรา....................พรั่งพร้อม

สี่กรวิษณุนารา.............................กวนน้ำ กลางเกษียร

อมฤตหนึ่งบัวบานไซร้..................แซ่ซ้อง สรรเสริญ



สดาศิวะ - พระผู้เป็นใหญ่แห่งศิวะเทพ

ศักติ - ในร่างกายทั้งหมด

ทวิลักษณ์ - ลักษณะของธาตุคู่

นิรรูป - ไม่มีลักษณะที่สัมผัสได้

พูทธิ-ตัตตวะ - สภาวะแห่งปัญญาที่ฉลาดในการสร้างสรรค์


บทที่หนึ่งกล่าวถึงการฝึกจิต จักร ปราณ ตันตระ จนอยู่ในสภาวะไม่ปรากฏรูปร่าง เป็นเพียงพลังแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งเมื่อทั้งสองฝ่ายฝึกจนจิตละเอียดมากและได้สมดุลกัน คลื่นทางจิตวิญญาณก็จะผสมผสานเป็นจิตวิญญาณหนึ่งเดียวกัน ปัญญาที่ได้จากสภาวะธรรมนี้ ก่อให้เกิดปัญญาในการสร้างสรรค์ในการทำงานหรือแม้แต่การดำรงชีวิตที่สมบูรณ์

มหะศักติ กาลิ


ศึกษาได้ตามลิ้งค์ข้างล่างค่ะ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1856

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1857

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1858
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
นนท์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2006, 11:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อายหน้าแดง ความคิดเห็นของผมหายไป 1 ความคิดเห็น ใครทราบบ้างช่วยตอบทีเพราะเหตุไร
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง