Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปัญหา 108 (3) (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 3:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 19

ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นที่รักของผู้อื่น


ตอบ

พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ดังนี้

1. มีใจโอบอ้อมอารี แบ่งปันสิ่งของๆ ตน รู้จักการให้ทาน เอื้อเฟื้อ

2. มีปิยะวาจา พูดจาไพเราะ น่าฟัง ใครฟังแล้วก็สบายใจ มีความสุข เกิดประโยชน์ งดเว้นการพูด 4 อย่างคือ ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดหยาบคาย

3. ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสังคม ไม่ขี้เกียจ เอาใจใส่ในการงาน ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด

4. วางตนเหมาะสม ไม่มีต่อหน้าลับหลัง อยู่กับหมู่คณะก็ทำความรู้สึกเหมือนกับอยู่คนเดียว คือ ไม่ยินดียินร้าย รักษาความเป็นปกติ ไม่ตื่นเต้นดีใจเสียใจจนเกินไป อยู่คนเดียวก็ทำตัวเรียบร้อยเหมือนกับอยู่กับหมู่คณะ ไม่นินทา ไม่ตำหนิติเตียนผู้อื่น

หากสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ อานิสงส์ที่ได้รับในชาติปัจจุบัน คือ จะเป็นที่รักของผู้อื่น อานิสงส์ในชาติหน้า เกิดมาจะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีบริวารที่ซื่อสัตย์ มีเจ้านาย ลูกน้อง และเพื่อนที่ดี

อย่างไรก็ตาม หากในปัจจุบันนี้ เรามีปัญหาขัดแย้งกับใคร ก็ให้แก้ปัญหาโดยการอโหสิกรรม และปฏิบัติด้วยตามหลัก 4 ข้อข้างต้นนี้ เป็นการเพิ่มความดีของเราให้งอกงามยิ่งๆ ขึ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 3:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 20

การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจและแพทย์ จะสามารถนำหลักธรรมพรหมวิหาร 4 ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร


ตอบ

ให้เราพยายามทำใจ ฝึกตนเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีคุณธรรม ไม่ให้อคติ 4 ครอบงำ

ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักชอบ
โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง ไม่รู้
ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว

เมื่อเราสามารถระงับไม่ให้เกิดอคติได้
ทำให้สุขภาพจิตใจดี ใจยุติธรรม คือ เมตตา กรุณาเป็นคุณธรรมของผู้นำ ในอาชีพตำรวจ แพทย์ และทุกอาชีพได้ ให้มีจิตใจ อุดมคติ ของตัวเอง ทำงานเพื่องาน ให้มีความพอใจในการทำงาน ทำดีที่สุด อย่าเห็นแก่ลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อนจะได้ดีกว่าเราก็ให้มีมุทิตาธรรม พลอยยินดีกับเขา อย่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เข้าไปคิดยุ่งใจ เอามุทิตาธรรมมาป้องกันใจเราเอง

ชีวิตของเรา การทำงานของเรา ผิดพลาดก็มี หรือคนอื่นไม่ถูกใจเรา ไม่พอใจเราก็มีเป็นธรรมดา ทำดีขนาดไหนก็ตาม เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ตั้งสติ ตั้งใจให้ดี เอาอุเบกขาธรรมมาป้องกันใจเรา อดทน อดกลั้น ปล่อยวาง วางเฉยไว้ก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่ สิ่งเหล่านี้ก็จะผ่านพ้นไป ไม่นานหรอก ทำดีที่สุด และทำหน้าที่ในวันนี้ให้ดี คนที่ได้รับความสุขจากเราก็มีมากมาย ทำดีได้ดีแน่นอน ทำดีไปเรื่อยๆ ไม่นานนักจะเปิดฟ้า เห็นแสงอาทิตย์ ลมเย็นสบายได้แน่นอน

เมื่อเจออุปสรรคหนักๆ แต่ถ้าเราทำใจอดทน ใช้ความอดทนได้ก็จะเป็นบารมี ถึงแม้ว่าทุกข์ ก็ให้รู้ว่าเป็นการสร้างบารมี อย่าลืมอิ่มน้อยๆ ในใจเรา ให้ผ่านอุปสรรค์ได้ก็เป็นบารมีของเรา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 3:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 21

อยากทราบว่านิพพานใช้กับผู้ที่มีชีวิตอยู่ (จิตหมดกิเลส) ได้หรือไม่


ตอบ

พระนิพพาน หมายถึง ดับความร้อน ไฟโลภะ โทสะ โมหะ ดับได้เมื่อไรเรียกว่านิพพาน

นิพพานมี 2 อย่าง
1. สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ยังมีผลเบญจขันธ์เหลือ
2. อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ

สำหรับพระพุทธเจ้าการตรัสรู้เป็นอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน หลังจากนั้นประกาศพุทธธรรม 45 พรรษา แสดงธรรม 84,000 ธรรมขันธ์ แล้วเสด็จมหาปรินิพพาน เป็น อนุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 3:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 22

ถ้าความรักคือการให้ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงห้ามพระภิกษุแต่งงาน เมื่อความรักทำให้โลกนี้มีความสุข


ตอบ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ที่ใดมีความรักที่นั่นมีโศก ที่ใดมีความรักที่นั่นมีภัย เมื่อไม่มีความรักเสียแล้ว โศก ภัย ย่อมไม่มี” ความรัก ความชัง เป็นของคู่กัน สังเกตดูก็ได้ เมื่อเกิดความรักกับใครคนหนึ่ง เกิดทุกข์ทันทีว่า กลัวเขาไม่รักเรา ถึงแม้ว่าเขารักเราอยู่ แต่กลัวเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ก็เกิดวิตกกังวล กลัวคนรักจะได้รับอันตราย ก็วิตกกังวล

มีใครแย่งของรักเราไป ก็คับแค้นใจ มีใครสักคนทำให้คนรักของเราทุกข์กาย ทุกข์ใจ เราก็อาจจะเกิดอาฆาตพยาบาท ญาติพี่น้องของเรา ของเขา ไม่สนับสนุนความรักของเรา เราก็เป็นทุกข์ การกระทำของคนรักที่ไม่ถูกใจ ไม่ทันใจ เข้าใจผิดกัน ก็เป็นทุกข์ ความแก่ เจ็บ ตาย ของคนรักและญาติพี่น้องของเขา ก็เป็นความเศร้าหมอง ความไม่สบายใจ กลุ้มใจ เครียดของคนรัก คือ ทุกข์ของเรา กลัวในการบำรุง และอำนวยความสะดวกด้วยทรัพย์ กลัวทำให้เขาพอใจไม่ได้ ก็เป็นทุกข์ ฯลฯ

ความรักจึงเปรียบเหมือนกำลังจับหางงูเห่า ไม่นานงูเห่าก็จะกัดเรา เป็นทุกข์ หมายถึงวิตกกังวล คับแค้นใจ โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท

ความรักที่เห็นแก่ตัว ทำให้การแต่งงานในทุกวันนี้ไม่ค่อยยั่งยืน เพราะสามีภรรยาต่างคนต่างต้องการความสุขจากอีกฝ่ายหนึ่ง เส้นทางของความรักเกิดจากกามารมณ์ กามตัณหา ต่างคนต่างมีความพอใจ เนื้อหนังมังสา (รูป) และทรัพย์สินต่างๆ อันเป็นปัจจัยทางโลก ต่างคนต่างมีความหวังว่าจะได้ความสุขจากเขา แต่เมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ไม่มีความสุขอย่างที่คาดหวังไว้ และต่างคนต่างเห็นความเป็นจริงของความเป็นคน เห็นปฏิกูลทั้งกายและจิตใจก็มีมาก เมื่อต่างคนต่างเรียกร้องความสุขจากอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ได้รับความสุขไม่เพียงพอกับความต้องการ บางทีก็ไม่มีความสุขเลย มีแต่ทุกข์ ในที่สุดความรักแตกร้าว ความรักกลายเป็นเรื่องอดีตไป

ความรักแท้ก็มีอยู่ ถูกคอถูกใจ ถูกชะตา รักด้วยความจริงใจ ต่างคนต่างเข้าใจกัน เป็นรักของความสุข คือ ความสุขในการให้ความสุข เข้าใจจุดนี้แล้ว ความรักมันอัตโนมัติ สิ่งใดไม่ถูกใจ ก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างคอยคิดแต่จะให้ ไม่เรียกร้องความสุขจากเขา จึงไม่ผิหวัง มีแต่จะให้ ให้ และให้....

ความจริงของชีวิต ยากที่จะได้คู่ชีวิตที่เข้าใจกัน ฝ่ายหนึ่งดี แต่ฝ่ายหนึ่งไม่เอาไหน การเกิดของสัตว์ หรือมนุษย์ เกิดจากอวิชชา และกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นรากเหล้าของจิตใจแล้ว กระทับกันเป็นเรื่องธรรมดา

แต่งงาน คือ เข้าใจผิดว่าสวยงาม คนที่จะแต่งงานก็ดี ไม่มีโอกาสแต่งงานก็ดี ทุกคนจะฝันหวานสวยงามในชีวิตแต่งงาน ชีวิตจริง เป็นของขม เปรี้ยว เผ็ดร้อน บางคนก็จืด เน่าเหม็นก็มี พระพุทธองค์ทรงตรวจดูชีวิตของมนุษย์แล้ว สรุปว่าไม่มีภรรยา ไม่มีสามี เป็นลาภอันประเสริฐ ทุกข์ของการเป็นโสดก็เป็นทุกข์น้อยกว่าชีวิตคู่ที่ค่อนข้างจะดี หากต้องการความสุขที่แท้จริง ถ้าผู้ชายบวชเป็นพระภิกษุ เป็นทางเลือกหนึ่ง ความรักที่แท้ก็ไม่เอา เอาแต่ความรักที่บริสุทธิ์ การบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนานั้น เป้าหมายอยู่ที่ออกจากวัฎฎสงสาร พัฒนาจิตใจอยู่เหนือความเป็นสัตว์ ความเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คู่ผัวตัวเมียที่ผูกมัดจิตใจอยู่ในวัฏฏสงสาร เป็นความรักที่แคบ ความรักที่จำกัด เป็นเฉพาะตัวต่อตัว ต่างคนต่างมีความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นคู่ของเรา ยังหนีไม่พ้นจากคำว่าความรักอยู่ที่ไหน ความเศร้าโศกอยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าจึงห้ามพระภิกษุมีภรรยา

การให้ของการบวช คือ การสละ สมบัติ ภรรยา ลูก ชีวิตของนักบวชก็เพื่อเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ ความรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น เรียกว่าเมตตากรุณา

ถ้าเป็นผู้หญิงอายุราวแม่ ก็ให้มีความรู้สึกว่าเป็นเหมือนแม่
ถ้าเป็นผู้หญิงอายุราวพี่สาว ก็ให้มีความรู้สึกว่าเป็นเหมือนพี่สาว
ถ้าเป็นผู้หญิงอายุราวน้อง ก็ให้มีความรู้สึกว่าเป็นเหมือนน้อง
ชีวิตภิกษุต้องระงับกามราคะ จึงจะเกิดความรักที่บริสุทธิ์เหมือนกับแม่ พี่ น้อง
เป็นความรักที่มีต่อสรรพสัตว์ ไม่มีประมาณ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 3:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 23

กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า การเป็นฆราวาส ทำงานมีเงินเดือน มีโอกาสทำบุญ บริจาค ยามว่างไปเป็นอาจารย์สอนเด็ก (ไม่รับผลตอบแทน) ไปเยี่ยมเด็กกำพร้าเปรียบเทียบกับพระไม่มีโอกาสทำบุญแบบนี้ อย่างนี้ เป็นฆราวาสไม่ดีกว่าหรือครับ


ตอบ

การให้ทานมี วัตถุทาน และธรรมทาน อานิสงส์ของธรรมทาน มีมากกว่าวัตถุทานหลายเท่า การบวชพระเป็นมหาทาน เพราะได้สละทรัพย์สมบัติ สละลูกเมีย ซึ่งถ้าไม่บวชก็ควรได้ นอกจากนี้การบวชเป็นพระยังได้แสดงธรรมเป็นธรรมทาน ซึ่งถือว่าชนะการให้ทั้งปวง การให้ทานของฆราวาสจึงไม่อาจเทียบเท่าได้

ในแง่ของศีล พระถือศีล 227 ข้อ ฆราวาสถือศีล 5 ข้อ หรืออาจะไม่ครบด้วยซ้ำไป ดังนั้น การทำบุญของนักบวชมีมากจนเปรียบเทียบกับฆราวาสไม่ได้ แต่ต้องเป็นพระที่ดี รักษาศีลของพระภิกษุ

ตามหลักพุทธศาสนา บุญสำเร็จได้ด้วยทาน ศีล ภาวนา โดยถือว่าการปฏิบัติภาวนา สมถวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือ บุญอันสูงสุด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

รักษาศีลหนึ่ง มีอานิสงส์มากกว่าให้ทานเป็นพันเท่า
ภาวนาหนึ่ง มีอานิสงส์มากกว่ารักษาศีลเป็นพันเท่า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 4:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 24

ขอความกรุณาช่วยอธิบายถึง คู่สามีภรรยาที่ขัดแย้งกัน มีปากเสียงกันเกือบทุกวัน ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายก็เป็นคนดี มีการทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ นั่งสมาธิ แก้ไขได้อย่างไร


ตอบ

อาจารย์อบรมข้าราชการตำรวจ ปลัดอำเภอ นายอำเภอมาแล้ว 3,000-4,000 นาย (นับถึงปี 2543) มีเวลาอบรมในวัด 3 วันบ้าง 4 วันบ้าง 5 วันบ้าง แล้วก็มีหนึ่งในจำนวนนี้กลับมาที่วัดแล้วบอกอาจารย์ว่า การปฏิบัติที่นี่ เข้าใจว่า ตำรวจคนนั้นจับหลักที่อาจารย์สอนว่า

เมื่อเกิดความรู้สึกไม่ดี ให้หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ทุกครั้งที่ใจไม่ดี ให้ทำอยู่อย่างนั้น


เข้าใจว่าตำรวจคนนั้นปฏิบัติจริงตามที่อาจารย์สอน ภรรยาพูดอะไร ทำอะไร หยุดพูด หยุดคิด ยิ้มน้อยๆ ในใจ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สบายๆ จนเคยชิน ภรรยาดีใจว่าสามีของตนดีเป็นคนละคนแล้ว

เรื่องสามีภรรยา ถึงแม้ว่ารักกัน ยิ่งรักกันมากยิ่งมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ก็จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจ หึงหวง สารพัดอย่าง สิ่งเหล่านี้เกิดจากอุปาทานยึดมั่นถือมั่น และต่างคนต่างรู้สึกว่า อีกคนควรจะแก้ไขก่อน จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เราไม่กล้าที่จะแก้ไขตัวเองก่อน การใช้ชีวิตคู่ ถ้าเราต้องการความสุขจริงๆ แล้ว บางครั้ง ต้องยอมทำเป็นโง่ ที่สำคัญ คือ ต้องทำจิตใจตัวเองให้ดีก่อน เอาความดีมาสู้ เอาชนะใจตัวเอง ไม่ต้องคิดที่จะเอาชนะเขา พุทธศาสนาสอนให้ละความชั่วของตัวเอง ทำความดีด้วยตัวเอง ทำใจของตัวเองให้บริสุทธิ์ ถ้าเรากล้าที่จะแก้ไขตัวเองก่อน ปฏิบัติก่อน ถ้าทำได้จริง เราก็จะดีเป็นคนละคน และเขาก็จะดีตามไปด้วย ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ใจ เลยต้องพยายามเอาชนะเขา เมื่อเห็นอะไร ได้ยินอะไรไม่ถูกใจ หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สบายๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 4:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 25

กระผมเป็นตำรวจและเป็นพนักงานสอบสวนต้องพบกับประชาชน ซึ่งมีความเดือดร้อนมาบางกรณีทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ไม่ยอมกัน จะเอาชนะกันให้ได้ ผมจะอธิบายหรือไกล่เกลี่ย อย่างไรเขาจึงจะพอใจและมีความรู้สึกว่ามาพบตำรวจแล้วความทุกข์ความเดือดร้อนหายไปครับ ?


ตอบ

เราต้องอดทน มีใจเมตตากรุณา เพราะคู่กรณีมีความขัดแย้งมา เนื่องจากอุปกิเลสในการเอาชนะผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่กันทุกคน โดยเฉพาะผู้มาแจ้งความนั้นยิ่งมีมากกว่าเป็นธรรมดา

ปกติพูดคุยกัน อธิบายตามเหตุผลต่างๆ แล้วค่อยปล่อยวางอุปาทานไว้เป็นส่วนใหญ่ แต่บางคนช่วยอะไรไม่ได้ก็มี ดื้อจริงๆ ต้องทำใจให้ปล่อยวางเป็นอุเบกขา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 4:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 26

จะมีวิธีแก้อย่างไรที่เพื่อนของเราชอบชวนไปเที่ยวกลางคืน ถ้าไม่ไป เขาก็จะโกรธเรา


ตอบ

เราต้องตั้งอยู่ในศีล การเที่ยวกลางคืนเป็นอบายมุข เป็นทางฉิบหาย เราต้องเห็นโทษในอบายมุขนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีใจความว่า “เมื่อเราหาเพื่อนดีไม่ได้ ก็ให้เดินคนเดียวดีกว่า เหมือนนอแรด”

จุดอ่อนของเรา ขี้เกรงใจเกินเหตุ ไม่กล้าปฏิเสธ ในสิ่งที่ควรปฏิเสธ เราต้องหัดกล้าปฏิเสธบ้าง Say No ! คือ เสียความรู้สึกนิดเดียวดีกว่าฉิบหายทุกข์ตลอดชีวิต ให้นึกถึงจิตใจของคนที่รักและหวังดีต่อเรา เช่น พ่อ แม่ สามี ภรรยา เราต้องไม่ทำให้เขาเสียใจ ผิดหวังในตัวเรา

มีข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่านักเรียนอาชีวะยกพวกตีกัน ถึงขั้นฆ่ากัน หัวเรี่ยวหัวแรงที่ชอบตีกัน ทะเลาะกันจริงๆ มีไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา ไม่ชอบทะเลาะกับใคร แต่ห้ามตัวเอง ปฏิเสธไม่ไปกับเขาไม่ได้ กลัวไม่มีเพื่อน กลัวเพื่อนจะรังเกียจ ถ้าออกจากกลุ่มได้ ก็จะเป็นคนดี ถ้าบวชเป็นพระ ก็จะเป็นพระดีได้เลย ไม่คบเพื่อนที่ไม่ดี คบแต่เพื่อนดี เป็นมงคลตลอดชีวิต
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 5:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 27

ที่พระอาจารย์สอนว่า คิดว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขานั้น เป็นการคิดผิด แล้วคิดถูกเป็นอย่างไร


ตอบ

อันนี้เป็นการคิดด้วยอุปาทาน ยึดมั่น ถือมั่น จะเกิดมานะ ถ้าคิดถูกนั้น ต้องรักษาสุขภาพใจดี จิตใจสะอาด แจ่มใส ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทำไปเรื่อยๆ อย่าให้ติดความคิดจับผิดผู้อื่น จะทำให้เกิดความไม่สบายใจ

เมื่อเราเป็นผู้นำ มีหน้าที่ดูแลหมู่คณะ ต้องมีจิตใจดี มีเมตตากรุณา ปราศจากอคติ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ร่วมกันพิจารณาแก้ปัญหา ให้พิจารณาปัญหาทุกอย่างโดยไม่มองเป็นบุคคล ให้มองเป็นธรรม สิ่งไม่ดีก็ให้ร่วมกันแก้ไข สิ่งดีก็ช่วยกันสนับสนุน ไม่ให้เกิดมานะ แบ่งพวก แต่ให้เกิดความสามัคคี ไม่ถือตัวถือตน เช่น เมื่อเราเห็นใครทำไม่ดีไม่งาม เสียหายต่อส่วนรวม รักษาใจตนให้สงบ ใจดี มีเมตตา ยกขึ้นมาพูดในที่ประชุมว่า มีใครทำอย่างนี้ ควรแก้ไข ไม่ควรทำอีกนะ แต่ตามธรรมชาติของจิตใจของเรา ก็จะถามหากันว่า ใคร..ใคร..ใครทำ

ใครทำผิด ไม่สำคัญ เราทุกคนต่างระมัดระวัง ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อไป เพื่อความสงบสุขของหมู่คณะเราเป็นสำคัญ เรื่องไม่ดี ต่างคนต่างช่วยกันแก้ไข เรื่องดี สนับสนุน ตัวบุคคลไม่สำคัญ สำคัญที่การกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างมองเป็นธรรม หมายถึง เมื่อเราประสบอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ เพราะบุคคลต่างๆ ทำให้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ หรือตรงข้ามกันก็ดี (คือมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข)

เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวบุคคลนั้นๆ มองเห็นอารมณ์เป็นอารมณ์ พิจารณาตามหลักกฎแห่งกรรม อริยสัจ 4 หาทางพ้นทุกข์อยู่เรื่อยๆ พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ยินดี ยินร้าย ต่อเหตุการณ์ต่างๆ เป็นโอปนยิโก น้อมมาหาตน ไม่ให้คิดฟุ้งออกไป ปะทะ ต่อสู้เขาด้วยความรักความชัง

ครอบครัวที่เข้าใจกัน สามัคคีกัน รักกัน สมมุติมีลูก 10 คน บางคนอาจจะพิการ บางคนเรียนหนังสือไม่เก่ง มีความสามารถต่างกันไป สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ ไม่สำคัญว่าตัวว่าเก่ง ไม่ดูหมิ่นคนพิการว่าไม่เก่ง ต้องช่วยกัน ให้กำลังใจกัน แบ่งปันกัน มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีทิฎฐิมานะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2006, 5:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 28

ตามที่พระอาจารย์สอนว่าเมื่อรู้อะไรมาให้เชื่อ 50% ไม่เชื่อ 50% นั้น ถ้าเป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนก็ควรเชื่อ 50% หรือเปล่าคะ แล้วเมื่อไรควรเชื่อ 100% คะ


ตอบ

ที่พระอาจารย์สอนว่ารู้อะไรมาก็ตามให้เชื่อ 50 หมายความว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำพูด ฟังแล้วต้องพิจารณาด้วยปัญญาของตน เป็นโยนิโสมนสิการ

ในสมัยพุทธกาล...
พระสารีบุตรเป็นสาวกผู้เป็นเลิศด้านปัญญา เมื่อฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงถามว่า “ท่านเชื่อไหม ?”
พระสารีบุตรตอบว่า “ยังไม่เชื่อ”
คณะสงฆ์จึงเกิดความไม่พอใจ เพราะคิดว่าเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อศาสดา
จึงคิดตำหนีติเตียนท่าน พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ถูกแล้ว พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญา
ใครพูดอย่างไรก็ไม่เชื่อง่าย ท่านต้องพิจารณาด้วยตนเองจึงจะเชื่อ
นี้เป็นปฏิปทาของพระสารีบุตร”

กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 ได้แก่

1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ไว้
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรกะ
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการคิดตรงตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองรูปลักษณ์น่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านนี้เป็นครูของเรา

ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 1:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 29

ถ้าความคิดและความรู้สึกเชื่อไม่ได้แล้ว ถ้าเราต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง อยากทราบว่าเราควรใช้อะไรช่วยในการตัดสินใจ


ตอบ

คำที่ว่า “อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่อความคิด” หมายถึงความรู้สึกที่เกิดจากอารมณ์ กิเลส ตัณหา เป็นอารมณ์ยินดี ยินร้าย

การปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ ใช้ปัญญา หมายถึง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ตั้งสติ ระงับอารมณ์ยินดียินร้าย เมื่อใจสงบ ใจสะอาดแล้ว จึงพิจารณาไตร่ตรอง ตัดสินใจบนพื้นฐานของสติปัญญา

ตัวอย่างเช่น เมื่อสามีเกิดความรู้สึกพอใจในหญิงอื่น คิดผันหวานว่า เมื่อได้อยู่ด้วยกันแล้วก็จะมีความสุขอย่างมาก มากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ เริ่มคิดหาข้อบกพร่องของภรรยา จนคิดจะนอกใจภรรยา พึงรู้ตัวว่ากำลังคิดปรุงแต่ง จงอย่าเชื่อความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะเป็นความรู้สึกที่ประกอบด้วยกิเลส ตัณหา ตรงกันข้าม ให้มีขันติต่ออารมณ์ต่างๆ อดทน อดกลั้น ตั้งมั่นอยู่ในศีล 5 พิจารณาถึงความถูกต้อง จนเกิดหิริโอตัปปะ และไม่คิดที่จะประพฤติผิด นอกใจภรรยา

คนที่ไม่เชื่อความรู้สึกที่เป็นอารมณ์ปรุงแต่งไปตามกิเลส ตัณหา จะเป็นผู้มีศีลมั่นคง สร้างนิสัยที่อ่อนน้อม ถ่อมตน เชื่อมั่นในธรรม ในความดี ความถูกต้อง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 30

ขอถามอาจารย์ว่ามีผู้ป่ายคนหนึ่งรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เขาตั้งใจว่าเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว จะไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศ ตามหน้าที่ของตน แต่เขาได้เสียชีวิตก่อนวิญญาณของเขาจะไปสู่สุคติหรือไม่ เพราะรู้สึกว่าเขามีเรื่องกังวลอยู่หลายประการ ทั้งหน้าที่การงานและเรื่องในสังคม ต้องการอุทิศส่วนกุศลให้จะทำอย่างไร


ตอบ

เมื่อตายแล้ว จิตจะไปสู่สุคติหรือทุคติ อันนี้ก็ไม่แน่ เราก็ไม่รู้ เราก็อย่าเชื่อว่าเขาจะไปไม่ดี ความรู้สึกของเราที่มีต่อเขา หากเขายังไม่ตาย เราก็มีศรัทธา เชื่อมันว่าเขาจะไปปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ให้รักษาความรู้สึกที่ดีนั้นไว้ เมื่อเขาตาย น่าคิดว่าเขาไปแล้ว ตามทางพอดีของเขา ตามกฎแห่งกรรมที่เขาได้ทำไว้

หน้าที่ของเราก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด จนเกิดความสุขใจ พอใจในชีวิตของตน เมื่อใจดี สุขใจ อุทิศส่วนกุศลให้แก่เขา นึกถึงเขา ใบหน้าเขา ว่ากำลังยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข หรือเอ่ยชื่อออกมาก็ได้ ขอให้เขารับอุทิศส่วนกุศลของเรานี้ และจงมีความสุข
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 31

ทานคือการให้แต่เวลาเอาของไปถวายพระเรียกว่า การทำบุญ ทำไมเรียกไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่เป็นการสละสิ่งของเช่นเดียวกัน


ตอบ

บุญ คือ สบายใจ สุขใจ การได้พบ ได้ทำบุญกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำให้เกิดปีติสุข สบายใจ เปรียบเทียบกับการทำทานกับคนยากคนจน ไม่อาจทำให้เกิดปีติสุขได้เท่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้ว่า

การทำทานแก่สัตว์ร้อยครั้งยังได้บุญน้อยกว่าการทานแก่คนหนึ่งครั้ง
การทำทานแก่คนไม่มีศีลร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าการทำทานแก่ผู้มีศีลเพียงครั้งเดียว

อริยเจ้า เรียกว่านาบุญ ถ้าทำบุญกับอริยเจ้าแล้วจะเกิดบุญงอกงาม เปรียบเหมือนปลูกพืชในดินที่สมบูรณ์ พืชก็จะเจริญงอกงาม เราเรียกการให้ทานแก่พระว่า ทำบุญโดยถือหลังว่าผู้รับ คือผู้บริสุทธิ์ มีศีลมากกว่าเรา เมื่อรับแล้วท่านก็อนุโมทนาตอบ และสิ่งของที่ท่านรับไปก็เป็นประโยชน์ เท่ากับว่าเราได้ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

ตามหลักพุทธศาสนา บุญจะสำเร็จได้หลายวิธีด้วยกัน แต่หลักใหญ่ๆ มี 3 อย่าง
คือ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา


การให้ทานจะมีบุญมากน้อย ท่านให้พิจารณา 3 ประการ คือ
- ของที่ให้ หามาด้วยความสุจริตไหม
- เจตนาของผู้ให้ ก่อนให้ ขณะที่ให้ ภายหลังให้
- พิจารณาผู้รับ บริสุทธิ์มากน้อยเพียงไร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 32

กรณีภรรยา 2 คน ภรรยาคนแรกมีลูกด้วยกัน อีกคนยังไม่มีลูก ก็รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่อยู่ด้วยกันมานานแล้ว จะเลิกกับใครคนหนึ่งทำไม่ได้ ควรทำอย่างไร


ตอบ

น่าจะอยู่เหมือนเดิม น่าเห็นใจทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง เราต้องระวังตัว เจียมตัว มีเมตตาธรรม รักษาน้ำใจไว้ก่อน จากนั้นตั้งใจแน่วแน่ว่าอย่าให้ผิดพลาดอีกในชาติหน้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 33

ในบทแผ่เมตตา คำว่า กรรมพันธุ์ พ่อแม่ที่มีลูกแล้วทำผิดศีลข้อสาม ผลของคำว่า กรรมพันธุ์ จะตกไปถึงลูกซึ่งเป็นกรรมพันธุ์โดยสายเลือดของพ่อแม่หรือไม่ ประการใด คือ ลูกจะต้องร่วมรับกรรมอันเกิดจากการกระทำของพ่อแม่ด้วยหรือเปล่าคะ


ตอบ

แน่นอน เมื่อพ่อแม่ผิดศีล สามีภรรยานอกใจกัน ย่อมทำให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น ไม่มีความสุข ทะเลาะกันบ้าง หย่ากันบ้าง กรรมก็จะตกอยู่กับลูกๆ ด้วย ลูกๆ ต้องรับทุกข์ทรมานใจ ทรมานกาย เป็นอย่างมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเรารักลูก เราต้องรักษากาย วาจา ใจ ให้ดี ให้งาม เป็นศีล เป็นประการสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าให้สมบัติหรือการศึกษา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 34

พระโสดาบันมีนิวรณ์หรือไม่คะ


ตอบ

พระโสดาบันก็มีนิวรณ์ครบสมบูรณ์ 5 อย่าง เหมือนพวกเราทำคนนั่นแหละ แต่ไม่หนัก ไม่มาก มีความรู้สึกตัว รู้ผิดถูก ไม่หลง สามารถรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย ตั้งอยู่ในศีล 5 มั่นคง ศรัทธามั่นคงอยู่ในไตรสรณคมน์ ไม่มีความอิจฉา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 35

การปฏิบัติสมาธิจะมีขึ้นต่อเมื่อเกิดความอยาก และการปฏิบัติเพราะความอยาก จัดเป็นกิเลสหรือไม่


ตอบ

ความอยากที่ประกอบด้วยกิเลส เรียกว่า ตัณหา ความอยากที่ประกอบด้วยปัญญา เรียกว่า ฉันทะ การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เรียกว่า ธรรมฉันทะ ที่เราอยากละความชั่ว ทำความดี ชำระจิตให้ขาวรอบ เรียกว่า ธรรมฉันทะ โพชฌงค์ 7 ธรรมะซึ่งเป็นเครื่องตรัสรู้ มีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสธิ สมาธิ อุเบกขา ไม่ได้จัดว่าเป็นสังขารปรุงแต่ง แต่จัดเป็นธรรมะเพื่อละกิเลส
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 36

การเจริญภาวนาให้บรรลุธรรมะขั้นสูง บุคคลควรจะต้องออกจากเรือนใช่หรือไม่ (หมายถึงผู้หญิง)


ตอบ

ถ้ายังไม่พร้อม ก็ยังไม่จำเป็น แต่เราต้องจัดระเบียบในการดำเนินชีวิตให้เรียบว่าย ลดภารกิจที่ไม่จำเป็นลง สำรวมกาย วาจา ด้วยการรักษาศีล 5 พยายามหาโอกาสที่จะพัฒนาจิตใจ เจริญสติปัฎฐาน 4 โอกาสที่มนุษย์จะบรรลุธรรมมีได้ทุกคน เพราะการปฏิบัติธรรม ไม่จำกัด ชาย หญิง ไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา เป็นอกาลิโก แล้วแต่บารมีของเรา

การบรรลุธรรมนั้น เพียงแต่ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะจิต เราจึงต้องตั้งเจตนาเพ่งพิจารณาให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนปล่อยวางในขันธ์ 5

การปฏิบัติในเบื้องต้นของเราในฐานะฆราวาส เน้นที่รักษาศีล 5 และรักษาสุขภาพใจให้ดี ไม่ยินดี ยินร้าย ศีล 5 เป็นศีลของโสดาบัน ศีล 8 เป็นศีลของอนาคามี การที่เรามาปฏิบัติธรรมที่วัด รักษาศีล 8 ก็สามารถบรรลุอนาคามิผลได้

ใครตั้งอยู่ในศีล 5 ได้ดีสมบูรณ์ พร้อมที่จะเป็นโสดาบัน ปรับปรุงทิฎฐิ ละสักกายะทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลพรตปรามาส นางวิสาขาได้เป็นโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เมื่อโตเป็นสาว แต่งงานมีสามี บุตร 12 คน ธิดา 12 คน

ดังนั้น ฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมเป็นโสดาบันได้ หน้าที่ของเรา คือ ปฏิบัติดีที่สุดในสภาพปัจจุบัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 37

ในยุคเศรษฐกิจอย่างนี้ ท่านอาจารย์แนะนำให้ใช้ธรรมะข้อใด


ตอบ

ธรรมเรื่อง “ความสันโดษ” ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ มองดูชีวิต ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ คือปัจจัย 4 ความจริงถึงมีน้อยก็อยู่ได้ เช่น พระที่อยู่ในป่า กินน้อย นอนน้อย ก็มีความสุขได้ ในการทำงานให้ยึดหลักอิทธิบาท 4 และให้ฝึกเจริญเมตตาภาวนา เจริญอานาปานสติ เมื่อมีความรู้สึกสุขใจ มีความพอใจในชีวิต ก็คือว่ามีความสำเร็จในชีวิตแล้ว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.ย. 2006, 2:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม 38

ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ กับการวางตัวเป็นอุเบกขา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร


ตอบ

ต่างกัน ความรู้สึกหรือเวทนา มี 3 อย่าง คือ สุข ทุกข์ และเฉยๆ (ไม่สุขไม่ทุกข์) อุเบกขา หมายถึง จิต รู้ตามความเป็นจริงซึ่งเวทนาทั้ง 3 แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น บางครั้งทุกข์มากกว่าก็วางเฉยได้ บางครั้งสุขมากกว่าก็วางเฉยได้

อุเบกขาจิต ในพรหมวิหาร 4 มีความหมายรวมถึง ความมีเมตตา กรุณา มุทิตา ไว้พร้อมกัน คือ การเข้าใจกฎแห่งกรรม เห็นตามความเป็นจริงแล้วว่าช่วยอะไรไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ก็วางเฉย ไม่ยึดมั่นถือมั่น อุเบกขานั้นเป็นคุณธรรมขั้นสูงสุดของพรหมวิหาร 4 และโพชฌงค์ 7
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง