Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทำจัยไม่ได้ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
บี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 มิ.ย.2006, 5:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนนี้อกหักค่ะ แต่เรื่องไม่อยู่แค่นั้นแฟนเราไปจีบคนในทำงานเดียวกัน เราก็อยู่ที่ทำงานเดียวกันทั้ง 3 คน เรารู้ทุกอย่างที่เขาทำแต่เราไม่พูด ไม่ยุ่ง แล้วก็ไม่อยากใส่ใจพวกเขาอีกแล้วเราเสียใจมาก แต่ตอนนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นผู้หญิงใหม่ของแฟนเราเขาชอบมองเรา มองแบบเอาเป็นเอาตาย เหมือนเครื่องคอมสแกนหาไวรัส เราไม่รู้ว่าแฟนเราเขาเอาเรื่องของเราไปเล่าให้ผู้หญิงคนนั้นฟังรึเปล่า แต่แฟนเราเขาก็มาง้อเรานะแต่เราไม่เชื่อว่าเขาจะเลิกกันจริง ๆ เราจะทำยังงัยดีเพราะผู้หญิงคนนั้นบางครั้งเราต้องประสานงานกับเขาด้วย เราไม่ได้คิดมากเรื่องที่เขามองเรานะเพราะเพื่อนเราคนอื่น ๆ เขาก็เห็น
 
นนท์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 มิ.ย.2006, 6:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับการดำเนินของมนุษย์ที่ได้กล่าวว่า แต่ละคนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทุกคนเป็นไปตามกรรม ในข้อนี้ ก็เป็นการสอนชี้ให้เห็นเกิดความจริง เพื่อไม่ให้ประมาท ให้ละความประมาท ให้เร่งประกอบความดีงาม ประกอบกุศลกรรม เพื่อจะเป็นแนวทางนำบุคคลสู่ความดีงาม ความถูกต้องงดงามในชีวิต หากคิดแต่เพียงว่าเกิดมาดีแล้ว หรือไม่ดีเลย ก็จะไม่ทราบจะสร้างคุณงามความดีไปทำไม การสร้างความดีงามนั้นเพื่อความสุขใจ ความอิ่มเอิบใจ และเป็นการสร้างความมีคุณค่าให้แก่ตนเอง ผู้ที่ได้รับผลการกระทำความดีงามนั้น ผู้กระทำย่อมได้รับผลก่อนผู้อื่นเสมอ และผู้ใกล้ชิดก็จะได้รับผลแห่งการกระทำนั้นเป็นอันดับต่อมา เพราะผู้ให้ ผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติชอบเป็นที่รักใคร่และเป็นที่เคารพนับถือเสมอ การไม่ปฏิบัติให้อยู่ในความดีงาม หรือสิ่งที่ถูกต้องจะเป็นผลให้ผู้ปฏิบัติเร่าร้อนใจ นั่งนอนไม่เป็นสุข ผู้ใกล้ชิดก็เดือดร้อนไปด้วย ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงสิ่งที่เห็นได้ในปัจจุบัน และผู้ที่ได้ปฏิบัติ จักพึงเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตนเอง ทั้งปัจจุบันและอนาคต

ในการปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ ให้ถูกต้องสมบูรณ์มีสุขภาพกายดี แม้จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสภาพธรรมชาติ และมีความแตกต่างกัน ในแต่ละบุคคล แต่สุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะต้องประคับประคองรักษาไว้ เพราะ “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” การประคับประคองดูแลรักษาจิต จึงนับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เปรียบรถยนต์ กายคือ ตัวถังรถ ส่วนจิตคือเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เสียรถก็ไปไหนไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น การประคับประคองดูแลรักษาจิต สำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ควรได้เทิดทูนพระคุณของพระพุทธเจ้า ไว้เหนือเศียรเกล้าตลอดเวลา และตระหนักในพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระกรุณาธิคุณ
 
มือที่สามในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 มิ.ย.2006, 9:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าคนนั้นใช่ก็ ใช่ จะเจ้าชู้ หรือ จะรวยจน อาไรก็ไม่สำคัญ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่
แต่ถ้าของนั้นเป็นของเรา ก็อยู่กับเรา ของไหนไม่ใช่ของเรา
ถึงรักษาประคองก็ไม่อยู่ เขาไม่จากเรา ก็เราจากเขา

ปล. พอใจที่มีความสุขกับ ตัวสงบให้ได้ เมตตาต้องมี โล้เลไม่ได้ จะช่วยเหลือตัวไม่ได้ โดน
 
วรากร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 มิ.ย.2006, 11:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แฟน หลายคนคิดว่าคนที่เป็นแฟนแล้ว เขาก็คือคนของเรา เขาจะไม่ไปไหน เพราะเรารักเขา เขาก็รักเรา แต่มันเป็นการสร้างภาพเพื่อปกป้องตัวเอง

จงจำไว้ว่า ไม่มีใครเป็นของใครได้ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่เป็นของเราเลย การจะหวังให้ใครมาเป็นของเรานั้นก็คงต้องบอกว่า ฝันไปหรือเปล่า

การที่เราจะรักใครสักคนก็ไม่ได้หมายความเรา เขาจะต้องรักเราซื่อสัตย์ต่อเรา ใจคนมันเหมื่อนน้ำกลิ่งบนใบบอนเปลี่ยนได้เสมอ รวมทั้งใจเรา

ความทุกข์ก็ดีความสุขก็ดี เกิดจากความหวังหรือความต้องการทั้งสิ้น เมื่อสมหวังก็มีความสุข เมื่อไม่สมหวังก็มีความทุกข์ โดยหารู้ไม่ว่า เราเองเป็นคนสร้างมันขี้นมา

คนทุกคนต้องการความสุข ไม่ต้องการความทุกข์ แต่ด้วยกฏของธรรมชาติ มีสุขย่อมมีทุกข์ เป็นของคู่กัน

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอีกอย่างว่า ยังมีความสุขที่แท้จริงในธรรมชาติ นั้นก็คือนิพพาน หรือหนทางแห่การหลุดพ้น ดับทุกข์ นั้นก็คือ ทางสายกลาง

ทางสายกลางก็คือทางที่จิตไม่สร้างความหวัง ไม่สร้างความต้องการให้เกิดขึ้นอีก เหมือนดับเหตุ แล้วจะมีผลได้อย่างไร เป็นทางที่มนุษย์ทุกคนสามารถไปได้ด้วยตัวของเขา

แล้วทำอย่างไรละถึงจะพบทางสายกลาง อันนี้ท่านก็ต้องศึกษาธรรมะให้เข้าใจถูกต้องก่อน นั้นก็คือสัมมาทิฐิ เป็นเหมือนเข็มทิศนำทาง จากนั้นท่านก็ต้องหาแผนที่ นั้นก็คือตำราที่ถูกต้อง

เมื่อท่านได้สองสิ่งนี้แล้วก็ขาดเพียงอย่างเดียวก็คือการก้าวเดินไปให้ถึงจุดหมาย หากท่านรู้ทางไปแต่ไม่ก้าวเดินก็ไม่ต่างอะไรจากคนไม่รู้

ธรรมะเป็นของที่มีอยู่ในตัวเราไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาจากที่ไหน
 
กระติก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 มิ.ย.2006, 11:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เวลาคิดอะไรไม่ออก หรือทุกข์ใจ
สุดท้ายก็จะมาลงตัวอยู่ที่ว่า

ชีวิตเราเป็นยังไง หน้าที่เรามีอะไรต้องทำ
ก็ทำหน้าที่เราไป เอาแค่ดูแลรักษาจิตใจเราให้ดีที่สุดก็พอ
"อะไร" และ "ทำไม" คำถามพวกนี้เลิกถามตัวเองอ่ะ

สิ่งภายนอกและคนอื่นๆก็วางทิ้งไว้ที่ไหนสักที่หนึ่งที่ไม่ใช่ในใจเราก่อนฮะ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง