Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ทราบสาเหตุทำไมถึงชื่อหลวงปู่เทพโลกอุดร
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
พัทธ์ญาณ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 01 มิ.ย.2006, 9:13 am
ทำไมต้องชื่อ " เทพโลกอุดร "
ก่อนจะได้เขียนถึงเรื่องนี้ ผู้เขียนขอออกตัวสักเล็กน้อยว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งหาข้อยุติกันไม่ได้ กล่าวคือยังมีการถกเถียงกันถึงตัวตนอันแท้จริงของศิษย์หลวงปู่ เทพโลกอุดรท่านนี้ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลที่พอจะสรุปร่วมกันได้ก็คือ ทุกฝ่ายต่างลงความเห็นร่วมกันว่าเป็นศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ผู้มีเชื้อสายพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีพระศักดิ์เป็น "กรมพระราชวังบวร" ทรงดำรงตำแหน่ง วังหน้า ในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่สำหรับตัวตนจริงของกรมวังหน้า พระองค์นี้ยังเป็นการถกเถียงกัน ( แล้วก็ ฉอด ฉอด ฉอด ....ขอข้ามเลยนะครับ หุ หุ ) ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จวังหน้าองค์นี้ทรงเป็นที่เกรงขามของบรรดาข้าราชบริพารยิ่งนึกและพระองค์มีลักษณะที่แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปอย่างหนึ่ง คือ พระองค์มีพระชิวหาดำ ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์โปรดการปลูกว่านสุมไพรต่างๆและทรงโปรดการชิมรสว่านต่าง ๆ
ด้วยพระลักษณะเฉพาะตัวนั้น จึงได้มีการขนานพระนามพระองค์ว่า :องค์ลิ้นดำ:
สมเด็จวังหน้าพระองค์นี้ นอกจากจะสนใจในเรื่องการปลูกว่านสมุนไพรต่าง ๆ แล้วพระองค์ยังทรงสนพระทัยในเรื่องวิชา คาถา อาคม ไสยศาสตร์ ( สรุปเลยนะครับ พระองค์ท่านก็ได้เรียนกับครูต่าง ๆ ที่ว่าเก่งก็แล้ว เรียนไปหมด แต่ท่านก็ยังไม่พอใจ เพราะว่ามีแค่ เสกน้ำมนต์ แล้วก็ไล่ผี ท่านเลยได้ตั้งปณิธานว่า )
ครั้นตัดสินพระทัยได้เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงจุดธูป 9 ดอก แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าไม่เจออาจารย์ที่จะสอนวิชาที่พระองค์ท่านต้องการได้จะไม่กลับมาวัง ขอให้เทพยาดาฟ้าดินได้โปรดเห็นพระทัยในความตั้งใจจริง ชี้ทางให้ไปพบกับอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญได้
ครั้นทรงอธิษฐานเสร็จแล้ว สมเด็จวังหน้าพระองค์นี้ ก็ทรงแต่งกายอย่างสามัญชน และได้เสด็จหายไปจากพระราชวัง จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง
(ไม่ปรากฏชื่อและวันเดือนปี ) สมเด็จวังหน้าก็ได้เข้าไปขอน้ำจากชาวบ้านมาดื่มและล้างพระพักตร์ ครั้นพอรู้สึกชุ่มชื่นดีแล้ว ก็ได้ถอยออกมานั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ไหญ่ แห่งหนึ่ง
ครานั้นตะวันเริ่มรอนแล้ว สมเด็จวังหน้าทอดพระเนตรไปข้างหน้าก็พลันเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลดพักอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ซึ่งห่างจากที่พระองค์นั่งพักอยู่ไม่เท่าไร
ครั้นเห็นเช่นนั้นสมเด็จวังหน้า ก็ทรงดำริว่า :ชะรอยเทวดาฟ้าดินคงจะเห็นใจเราแล้ว พระธุดงค์รูปนั้นอาจจะเป็นอาจารย์ที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้:
ครั้นดำริเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงเสด็จเข้าไปใกล้ที่พระธุดงค์รูปนั้น นั่งทำสมาธิอยู่
ไปถึงใกล้ ๆ ก็สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของพระธุดงค์รูปดังกล่าว คือ พระธุดงค์ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าสมเด็จวังหน้าขณะนั้น ดูจากหน้าตาและรูปร่างเห็นว่าท่านยังเยาว์วัย ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ ผิวพรรณผุดผ่องดี อย่างผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แต่ว่าบนศีรษะกลับมีหงอกขาวโพลนเต็ม
สมเด็จวังหน้าทรงเห็นดังนั้น ก็ให้นึกแปลกพระทัยและก็เริ่มศรัทธาในรูปลักษณ์ของพระธุดงค์รูปนั้น พระองค์จึงนั่งลงนมัสการ
ขณะนั้นพระธุดงค์ผุ้มีหน้าตาและร่างกายหนุ่ม แต่มีศีรษะขาวโพลนกำลังนั่งสมาธิ หลับตานิ่ง แต่ว่า ท่านรู้ว่ามีคนมาก้มอยู่เบื้องหน้าจึงได้ถามออกมาว่า " คุณโยมจะไปไหน"
บัดนั้นสมเด็จวังหน้าจึงได้เล่าความเป็นมาของพระองค์ให้พระธุดงค์รูปนั้นทราบอย่างละเอียด แล้วได้บอกถึงวัตถุประสงค์ในการเสด็จออกจากวังครั้งนี้ให้ท่านทราบด้วย
พระธุดงค์นั้นไม่กล่าวกระไร แต่เมื่อสมเด็จวังหน้าได้เรียนถามปัญหาต่าง ๆ ท่านก็ตอบได้ถูกต้องทุกคำถาม และตอบอย่างมีเหตุผล ชัดเจนอย่างผู้รู้จริง ซ้ำยังได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้สมเด็จวังหน้าได้ประจักษ์เช่น ชี้กิ่งไม้กลายเป็นงูเป็นต้น
สมเด็จวังหน้าได้เห็นเช่นนั้น ก็ประจักษ์พระทัยทันทีว่า พระธุดงค์รูปนี้ไม่ใช่ธรรมดา ท่านทรงความรู้เหนือกว่าบรรดาครูต่าง ๆ ที่พระองค์เคยเรียนมาเป็นแน่ จึงก้มกราบแทบเท้าพระธุดงค์แล้วกล่าวขอฝากตัวเป็นศิษย์
พระธุดงค์รูปนั้นก็ไม่ขัดศรัทธา
สมเด็จวังหน้าจึงได้อยู่ศึกษาวิชาความรู้ตามที่พระองค์ต้องการกับพระธุดงค์ผุ้มีความแปลกในตัวนั้นตั้งแต่บัดนั้น
เล่ากันว่าวิชาแรกที่อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นสอนแก่สมเด็จวังหน้า ก็คือวิชานะหน้าทอง
วิชานะหน้าทองนี้ ก็คือการใช้แผ่นทองฝังลงในร่างกายของคน ส่วนใหญ่จะใช้บริเวณหน้าผาก การฝังนั้นก็จะฝั่งด้วยพลังจิต พระธุดงค์ผู้เป็นอาจารย์ก็ได้ถวายการสอนโดยการใช้ทองฝังเข้าไปในร่างกายโดยการใช้พลังจิตและพระอาจารย์รูปนี้ไม่ใช่เพียงแต่สอนให้ลงนะหน้าทองโดยการฝังทองเข้าไปในหน้าผากเท่านั้น ท่านยังปฏิบัติให้เป็นประจักษ์ถึงความสามารถที่พิสดารออกไป เช่น ส่งทองให้หายไปในอากาศ แล้วไปติดอยู่ตามต้นไม้หรือที่ต่าง ๆได้
สมเด็จวังหน้าทรงตั้งพระทัยศึกษาวิชานี้เป็นอย่างดี แต่วิชานี้ก็ไม่ใช่เรียนกันง่าย กว่าจะสำเร็จก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร
อาจารย์พระธุดงค์สอนวิธีต่าง ๆ ให้แล้วก็สั่งสมเด็จวังหน้าตั้งใจฝึกฝน ส่วนตัวท่านถอดกลดท่องธุดงค์ต่อไป แต่ก่อนจากกัน ท่านได้นัดแนะสมเด็จวังหน้า ผู้เป็นศิษย์ไว้ว่าคราวต่อไปจะได้ไปพบกันที่ไหนอีก
ครั้นอาจารย์พระธุดงค์จากไปแล้ว สมเด็จวังหน้าก็ตั้งพระทัยฝึกวิชาลงนะหน้าทองนั้นต่อไป จนชำนาญดีแล้วครั้นเมื่อถึงหมายกำหนดที่อาจารย์พระธุดงค์นัดให้ไปเจอ พระองค์ก็เดินทางไปตามที่นัดหมาย
เล่ากันว่าเรียนการสอนของศิษย์อาจารย์คู่นี้ ค่อนข้างจะแปลกพิสดารไปจาการสอนของครูอาจารย์คนอื่น ๆ คือ จะสอนจะเรียนกันเป็นระยะ ๆ และต่างวิชาต่างสถานที่กันไป บางทีก็ต้องเดินทางไปสอนไปเรียนกันไกล ๆ และส่วนใหญ่จะอยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำ บางคราวถึงกับเดินทางไปสอนไปเรียนกันถึงต่างประเทศ เช่น ประเทศลาว พม่า เป็นต้น
แต่สมเด็จวังหน้าพระองค์นั้น ก็ทรงทรหด ดั้นด้นติดตามไปหาไปพบพระอาจารย์ตามที่นัดหมายได้ทุกครั้ง
เสด็จวังหน้าพระองค์ทรงศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ จากอาจารย์พระธุดงค์รูปนี้อยู่นาน จนชำนาญในหลายแขนงวิชา เพราะว่าพระอาจารย์ธุดงค์รูปนี้ ไม่ใช่เพียงสอนวิชาคาถาอาคมเท่านั้น ท่านยังสอนวิชาอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะวิชาในพระพุทธศาสนา เช่นการนั่งสมาธิทำวิปัสสนากรรมฐาน เพราะท่านพูดกับศิษย์ว่า การนั่งสมาธินั้นจะช่วยให้จำวิชาต่าง ๆได้ดีขึ้น และสามารถนำมาประกอบใช้กับวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ได้ดี
สมเด็จวังหน้าทรงปฏิบัติตามทุกอย่าง
ครั้นศึกษาวิชาคาถาอาคม และการทำสมาธิ ทำกรรมฐานเพียงพอแล้ว วันหนึ่งอาจารย์ธุดงค์ก็ได้บอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า
" ถึงเวลาที่เราควรจากกันแล้ว ตอนนี้วังหน้าก็เรียนวิชาสำเร็จทุกอย่างแล้ว และอาตมาภาพขอยืนยันว่า บัดนี้ถือได้ว่า วังหน้าได้เป็นหนึ่งในแผ่นดินสมความปรารถนาแล้ว (ที่พิมพ์ย่อ ๆ มาไม่รู้ผมได้พิมพ์ไปเปล่า แต่ที่ท่านวังหน้าท่านออกมาหาอาจารย์ที่จะสอนท่านให้เก่งเป็นหนึ่งในแผ่นดินได้นี้คือเป้าหมายของท่านครับ และได้เจอหลวงพ่อเทพโลกอุดรล่ะครับ )
ก่อนจากกันครั้งหนึ่งสมเด็จวังหน้าได้ถามอาจารย์พระธุดงค์ว่า " หลวงพ่อชื่ออะไร "
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถึงแม้จะได้เป็นศิษย์อาจารย์กันมาหลายปีแล้ว สมเด็จวังหน้าไม่เคยได้ทราบชื่อของอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นเลย พระองค์ได้แต่เรียกพระอาจารย์ว่า "หลวงพ่อ ๆ " ส่วนอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นก็เรียกสมเด็จวังหน้าว่า " วังหน้าเฉย ๆ "
เมื่อสมเด็จวังหน้าได้ทรงถามเช่นนั้น อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้น ก็ยังไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนาม ได้แต่อธิบายสมเด็จวังหน้า ให้เห็นถึงความไม่จำเป็นของชื่อเสียงเรียงนาม และยังได้ยบอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า
" วังหน้าจะเรียกหลวงพ่อว่าอย่างไร หลวงพ่อก็ชื่ออย่างนั้นล่ะ "
เมื่อถามถึงอายุ อาจารย์พระธุดงค์ก็ตอบว่า " อายุเท่าไรจำไม่ได้แล้ว เพราะมันนานเหลือเกินแล้ว ปู่ของวังหน้า ถ้ายังมีชีวิตอยู่อายุสักประมาณเท่าไรได้แล้วล่ะ "
สมเด็จวังหน้าตอบว่า " ร้อยกว่าปีแล้ว "
อาจารย์พระธุดงค์ตอบว่า " ถ้าอย่างนั้น วังหน้าก็เอาอายุของปู่สักร้อยพระองค์มาบวกกันก็ยังไม่ได้เท่าอายุของหลวงพ่อ "
ด้วยเหตุนี้ สมเด็จวังหน้าจึงไม่สามารถจะทราบได้ว่าพระอาจารย์ของพระองค์ชื่ออะไร พระองค์จึงทรงดำริจะตั้งชื่อพระอาจารย์ลึกลับมหัศจรรย์รูปนั้นขึ้นมาเอง
พระองค์ทรงใคร่ครวญหาชื่อ เพื่อจะตึ้งให้เหมาะกับพฤติกรรมของพระอาจารย์รูปนี้
ในที่สุดก็ตัดสินพระทัยขออนุญาตเรียกชื่อ พระอาจารย์รูปนั้นว่า "เทพโลกอุดร " เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า พระองค์ไปไหนมาไหนรวดเร็ว ดังปรารถนาเหมือนเทพเจ้า และทรงฤทธิอภิญญาเหนือโลก
อาจารย์พระธุดงค์ก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ๆ
ตั้งแต่บัดนั้นมา พระธุดงค์ ผู้มีความพิสดารในรูปร่างลักษณะรูปนี้จึงได้ชื่ว่า "เทพโลกอุดร "
แต่ในต่อมาไม่ทราบว่าใคร ได้ไปต่อนามให้ท่านว่า " พระครูโลกเทพอุดร " ตามประวัติที่พอสืบหาได้ก็เห็นว่า ท่านมีนามว่า " หลวงปู่โลกเทพอุดร " เท่านั้นไม่มีคำว่า " พระครู " นำหน้า
หลวงปู่เทพโลกอุดร
วัดสันป่ายาหลวง อ.เมือง จ.ลำพูน ท่านเป็นพระกรรมฐานที่เชี่ยวชาญทั้งด้านสมถะและวิปัสสนา ปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์ เดินธุดงค์ไปยังภาคต่างๆของไทย อนุเคราะห์สหธรรมิกด้วยอุบายธรรมต่างๆ และเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนทั่วไป
ชาติกาล เดือน 7 ปีมะโรง พ.ศ.1834
ชาติภูมิ บ้านสันมหาพน อ.เมือง จ.ลำพูน
อุปสมบท เมื่ออายุได้ 25 ปี โดยมีพระครูบาธรรมเสนา เป็นพระอุปัชฌาย์
มรณภาพ พ.ศ.1924
สิริรวมอายุได้ 86 ปี
ธรรมปฏิปทา ของ หลวงปู่เทพโลกอุดร
ย้อนอดีต
ครูบาบุญทา จังทวังโส หรือ หลวงปู่เทพโลกอุดร มีนามเดิมว่า บุญทา บิดามีนามว่า หนานคำฝั้น มารดามีนามว่า คำขยาย
ศึกษามูลกัจจายน์
เมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครูบาบุญทาได้ไปศึกษาเล่าเรียนมูลกัจจายน์ธรรมวินัย กับครูบาญาณวีระ เจ้าอาวาสวัดสันป่ายางหลวง ( อาพัทธาราม ป่าไม้ยาง )
บรรพชา
เมื่อมีบุญกุศลหนุนนำ เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไป ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 12 ขวบ โดยมีครูบาธรรมเสนา วัดอรัญญิการาม เป็นอุปัชฌาย์
อุปสมบท
เมื่ออายุได้ 25 ปี พ.ศ.1859 ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีฉายาว่า จันทวังโส โดยมีครูบาธรรมเสนาเป็นพระอุปัชฌาย์ ครูบาญาณวุฒิและครูบาอินโท สุมังคโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ฝึกฝนสมถะและวิปัสสนา
ครั้งเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ฝึกฝนวิธีการเจริญสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กันไป จากนั้นก็ออกธุดงควัตร ไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น ลำปาง ศรีสัชนาลัย ตาก กำแพงเพชรและที่อื่นๆ นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาคัมภีร์ต่างๆ อันเป็นข้อมูลแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน จนชำนาญแล้วก็ได้เขียนแต่งคัมภีร์ธรรมสำหรับปฏิบัติกรรมฐาน
ศาสนกิจ
นอกจากการกำจัดขัดเกลากิเลสให้ออกไปจากจิตใจ เพื่อบรรลุถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล้ว หลวงปู่เทพโลกอุดร ยังเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ตามป่าแถวเชียงใหม่ ลำพูน ปฏิบัติศาสนกิจและสั่งสอนลูกศิษย์ ให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม มีอนุสติ 10 เป็นต้น
คำขออธิษฐานจากหลวงปู่เทพโลกอุดร
เกิดมาเป็นคนนั้น มีแต่ความทุกข์ และได้เห็นคนได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมาก เกิดมาในภพใดชาติใดก็ขอให้เกิดมาเป็นหมอ เพื่อรักษาคนเอาบุญเอากุศลก่อน ก่อนที่จะได้ไปเกิดเป็นพระภิกษุตามวัฏสงสาร
อิทธิบาท 4
อิทธิบาท คือคุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์ มี 4 คือ
1.ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
2.วิริยะ ความพยายามธรรมในสิ่งนั้น
3.จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
4.วิมังสา ความพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุในสิ่งนั้น
ผู้เจริญอิทธิบาท
ตามข้อความในพุทธประวัติว่า " ผู้เจริญอิทธิบาท 4 ประการ จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นอายุกัป* "
สิ่งที่จะปรากฏขึ้น
แท้จริง ความมีเหตุมีผลความเป็นจริงก็จะปรากฏขึ้นมาในโอกาสข้างหน้าแน่นอน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วที่ว่าเวลาอันเหมาะสมนั้น หมายถึง เมื่อชาวพุทธบริษัทอันมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มีการปฏิบัติดีปฏิบัติตรงตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งมีความเชื่อมั่นต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นแล้ว เวลานั้นแหละหลวงปู่เทพโลกอุดรก็จะปรากฏออกมาให้เราชาวพุทธได้เห็นและสัมผัส ด้วยจักษุทันที แล้วท่านก็จะทราบเองว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นเทวดา พรหม หรือเป็นมนุษย์ที่มีกายเป็นเหมือนกับเรา เพียงแต่ได้เจริญอิทธิบาท 4 ประการตามที่กล่าวแล้ว ขอให้ทุกท่านหมั่นเจริญอิทธิบาท 4 ให้ถึงจุดหมายเถิด
พบได้ที่ใจตนเอง
ผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่เทพโลกอุดร มีความปรารถนาจะได้พบ ก็นมัสการองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่าน อย่าได้ไปไขว่คว้าจากผู้อื่น แต่จงไขว่คว้าเอาที่จิตใจของตนเองจึงจะสมปรารถนา
สมเจตนารมณ์
จากการค้นคว้าเรื่องราวของหลวงปู่ ทำให้แน่ใจว่าการปฏิบัติตามหลวงปู่ ทำให้ศีลบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ จึงจะได้พบเห็นท่าน หากใครมีศรัทธาแท้จริง ก็ต้องปฏิบัติจริงจึงจะสมเจตนารมณ์
วิธีการนั่งกรรมฐาน
วิธีปฏิบัติกรรมฐานนั้น โดยนั่งตัวตรง ดำรงสติให้มั่นคง สตินั้นให้กำหนดอยู่ที่ฐานใดฐานหนึ่ง เช่น ที่ปลายจมูกที่ลมเข้าออกหรือที่หน้าผาก ระหว่างคิ้วก็ได้ คำบริกรรมนั้น ท่านให้เลือกเอาตามสะดวก เช่น พุทโธ ท่านให้ใช้ปลายลิ้นกดเพดานเบาๆ เพื่อให้เสียงว่า พุทโธ เป็นการนึกอยู่แต่ในใจ หรือจะใช้กำหนดลมเข้าออกก็ได้ คือให้รู้ว่าเข้า และรู้ว่าออกเท่านั้น ไม่ต้องส่งจิตตามว่าเข้าถึงไหนออกถึงไหน กำหนออยู่แค่เข้าและออกเท่านั้น เมื่อมีสติรู้อยู่ว่า จิตเป็นหนึ่งเดียว คือเป็นเอกัคคาตาแล้ว หรือ เข้าสู่อุเบกขาว่างวางเฉยไม่มีอารมณ์กิเลสวิ่งเข้าวิ่งออกแล้ว ก็ให้ใช้สติมองดูต่อไป เมื่อเห็นว่างจริงแล้วอธิษฐานจิตถึงหลวงปู่เทพฯ ก็ได้ถ้าวาระจิตได้จังหวะพอดี ก็จะเห็นได้ แต่การปฏิบัติจริงต้องใช้เวลาพากเพียรพยายามมากพอสมควร แท้จริง ความมุ่งหมายของการทำสมาธินั้น ก็เพื่อทำจิตใจเป็นอิสระมีความว่างเป็นกลางอยู่ให้ได้เท่านั้น ท่านไม่ให้อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากเห็นส่งนั้นสิ่งนี้ เช่น เห็นนิมิตต่างๆ เพราะความอยากจะไม่ทำให้เราสมความปรารถนา ต้องใช้จิตเป็นกลาง ว่างไม่เห็นอะไรเลย จึงจะเป็นการทำสมาธิที่ถูกต้อง ส่วนปัญญานั้น ก็จะเกิดขึ้นมาเอง เป็นตัวปัญญาที่ได้จากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานโดยตรงไม่ต้องไปหาจากสิ่งภายนอกมาใส่เข้าไปแทน ดังนั้น การทำวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดปัญญาขึ้นนั้น ก็จะเป็นการดีสำหรับผู้ปฏิบัติที่ชี้แนะให้สร้างนิมิต หรืออุปทานขึ้นมาเป็นเครื่องล่อ ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติตรงท่านจึงบอกว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นมาเอง
ปฏิบัติอย่าให้ขาดตอน
แนวการปฏิบัติของหลวงปู่เทพฯ ท่านมุ่งหมายอย่างนี้ อาศัยศีลบริสุทธิ์เป็นเบื้องต้น แล้วทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วก่อน การอธิษฐานที่จะเห็นหลวงปู่ฯ หรือจะเห็นนิมิตอย่างอื่นก็ตาม เป็นเรื่องตามมาภายหลังข้อสำคัญต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันไป
จิตไม่บริสุทธิ์
ถ้าจิตยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ว่างวางเป็นกลางจริงๆแล้ว ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะอธิษฐาน และจะไม่ประสบผลสำเร็จ
ฝึกให้ชำนาญก่อน
ท่านที่มีตบะมั่นคงได้นั้น ต้องฝึกฝนให้คล่องแคล่วชำนาญในกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่น กสิณ อนุสติ เป็นต้น จึงจะอธิษฐานให้นิมิตเกิดขึ้นได้ตามต้องการ ฉะนั้น การปฏิบัติกรรมฐานจึงต้องค่อยๆทำไปอย่างใจเย็น ที่ละขั้นตอน เพื่อชำระจิตให้สะอาด สว่าง และสงบ
ตามรอยบาทพระศาสดา
หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านได้เร่งบำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเคร่งครัด
กลับสู่มาตุภูมิ
เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ 80 ปี หลังจากที่ได้ธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ แล้ววัยชราก็เข้ามาเยือนจึงได้กลับไปยังวัดสันป่ายางหลวง เมืองลำพูนตามเดิม
คงเหลืออยู่แต่คุณธรรม
ในช่วงนั้น ก็มีสามเณรน้อยอายุ 7 ขวบ ได้เข้ามาปรนนิบัติหลวงปู่ ท่านก็ได้พร่ำสอนธรรมะ โดยให้หมั่นเจริญภาวนามองเห็นภัยในวัฏสงสาร และเมื่อ พ.ศ. 1920 ระหว่างที่หลวงปู่เทพโลกอุดรมีอายุได้ 86 ปี ก็ได้ละอัตภาพวางภาระไว้คงเหลือแต่คุณธรรมเท่านั้น
คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน หลวงปู่เทพโลกอุดร
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
ผู้เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 01 มิ.ย.2006, 1:02 pm
แล้วหลวงปู่โลกอุดรที่สันนิฐานว่ามาจากอินเดียเพื่อปกป้อง ดูแลพุทธศาสนาให้มีอายุครบ ห้าพันปีล่ะค่ะ มีประวัติหรือเปล่า
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th