ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ผู้เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 12:38 am |
  |
ตอบสั้นๆ ก่อนว่า ทิฏฐิ + อาสวะ |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 3:18 am |
  |
ตามตำราท่านกล่าวไว้ว่า
๑. โสดาปัตติมรรค เมื่อเกิดขึ้นจะปหาณกิเลสเบื้องต่ำให้หมดลงไปคือ
อกุศลมูล ที่ถูกทำลาย มี ๕ ดวง คือ โลภะมูลจิตที่เป็นทิฏฐิคตสัมปยุต ๔ ดวง และ โมหะมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉา ๑ ดวง
อาสวะ ที่ถูกทำลาย คือ ทิฏฐาสวะ
สังโยชน์ ที่ถูกทำลายคือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาท
อยากทราบว่า ทิฏฐาสวะ คืออะไรครับ ขอบพระคุณครับ  |
|
|
|
|
 |
1
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 8:56 am |
  |
อาสวะ แปลว่า สิ่งที่ไหลออกมา หมายถึงน้ำที่คั้นจากผลไม้ หรือน้ำที่สกัดจากดอกไม้แล้วหมักให้เป็นของมึนเมา ด้วยเหตุนี้ความหมายของอาสวะจึงขยายออกไปหมายถึงหมักดองก็ได้
พุทธศาสนาได้นำคำว่า อาสวะ มาใช้เปรียบเทียบกับการหมักหมมของกิเลสที่ซ่อนเร้น อยู่ในสันดานของมนุษย์ผู้มัวเมาในกิเลสนั้น
และยังเปรียบเทียบต่อไปอีกว่า อาสวะ จะไหลไปกล่อมจิตใจให้ลุ่มหลง
สิ่งที่พระพุทธศาสนาจัดเป็น อาสวะ มี ๔ ประการ คือ
๑. กามาสวะ จมอยู่ในความติดใจแสวงหากามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และการสัมผัสถูกต้อง องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในโลภมูลจิต ๘
๒. ภวาสวะ จมอยู่ในความชอบใจยินดีในอัตภาพของตน ตลอดจนชอบใจ อยากได้ในรูปภพ อรูปภพ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
๓. ทิฏฐาสวะ จมอยู่ในความเห็นผิดจากความเป็นจริงแห่งสภาวธรรมหรือผิด ทำนองคลองธรรม จึงมีความติดใจในความเห็นผิดนั้น องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔
๔. อวิชชาสวะ จมอยู่ในความไม่รู้เหตุผลตามความเป็นจริง จึงได้ โลภ โกรธ หลง
อาสวะ เป็นคำที่ใช้อธิบายธรรมชาติอย่างหนึ่งของกิเลส ที่ทำให้มนุษย์มัวเมาลุ่มหลงเหมือนกับคนเมา เพราะดื่มน้ำเมาที่คั้นจากผลไม้เข้าไปนั่นเอง
คนทั่วไปจึงมักแปล อาสวะ ง่ายๆ ว่า กิเลส นั่นเอง อาสวะทำให้มนุษย์ไม่สามารถหลีกพ้นความเกิดดับตามธรรมดาของโลกได้
ฉะนั้นหากต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจึงควรขจัดอาสวะให้หมดสิ้นไป เหมือนกับผู้ที่ไม่ดื่มน้ำเมา ย่อมมีสติและสามารถพัฒนาสติให้เห็นความเป็นจริงของโลกได้
ผู้ที่สามารถขจัดอาสวะให้หมดสิ้นไปจากตัวได้ก็คือ พระอรหันต์นั่นเอง
กามาสโว อนาคามิมคฺเคน ปหียตี ภวาสโว อรหตฺตมคฺเคน ทิฏฺฐาสโว โสตาปตฺติมคฺเคน อวิชฺชาสโว
อรหตฺตมคฺเคน ฯ
อนาคามิมัคค ประหาร กามาสวะ
อรหัตตมัคค ประหาร ภวาสวะ
โสดาปัตติมัคค ประหาร ทิฏฐาสวะ
อรหัตตมัคค ประหาร อวิชชาสวะ |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 9:05 am |
  |
กิเลสนี่แหละ เมื่อเกิดบ่อย ๆ ก็เคยชิน เลยสะสมจมดองอยู่ในจิตตสันดาน ครั้นจิตประสบกับอารมณ์ใด ด้วยความเคยชินของกิเลสที่หมักหมมจมดองอยู่ ก็ขึ้น มาปรุงแต่งจิตให้น้อมไปตามกิเลสนั้น ๆ อาการที่หมักหมมจมดองอยู่เช่นนี้ จึงเรียก ว่า อาสวะ เมื่อยังมีอาสวะอยู่ตราบใด ตราบนั้นก็ยังต้องวนเวียนอยู่ใน สังสารวัฏฏ
อาสวะมี ๔ ประการ คือ
๑. กามาสวะ จมอยู่ในความติดใจแสวงหากามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และการสัมผัสถูกต้อง องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในโลภมูลจิต ๘
๒. ภวาสวะ จมอยู่ในความชอบใจยินดีในอัตภาพของตน ตลอดจนชอบใจ อยากได้ในรูปภพ อรูปภพ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
๓. ทิฏฐาสวะ จมอยู่ในความเห็นผิดจากความเป็นจริงแห่งสภาวธรรมหรือผิด ทำนองคลองธรรม จึงมีความติดใจในความเห็นผิดนั้น องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔
๔. อวิชชาสวะ จมอยู่ในความไม่รู้เหตุผลตามความเป็นจริง จึงได้ โลภ โกรธ หลง องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิก ที่ในอกุสลจิต ๑๒
รวมอาสวะมี ๔ แต่วัตถุธรรมหรือองค์ธรรมมีเพียง ๓ เท่านั้นคือ โลภเจตสิก ทิฏฐิเจตสิก และ
คู่มือการศึกษา สมุจจยสังคหวิภาค
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๗ |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 9:12 am |
  |
ขอบพระคุณทุกท่านครับ
ขออภัยคุณ 1 ก่อนผมส่งบทความไม่ได้เปิดเข้ามาดูหน้าแรกก่อน |
|
|
|
|
 |
เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 2:40 pm |
  |
แล้วทิฏฐาสวะ ที่ถูกทำลายนั้น ทำลายความเห็นในลักษณะใดบ้าง |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 3:38 pm |
  |
ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา |
|
|
|
|
 |
เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 3:59 pm |
  |
หมายถึงทำลายความเห็นว่าขันธ์ห้า มีตัวตน เที่ยง สุข ถูกทำลายไปสามลักษณะนี้หรือ
หรือมีอย่างอื่นอีกหนือไม่? |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2006, 4:36 pm |
  |
ทิฏฐิวิสุทธิ
ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นวิสุทธิมัคคลำดับที่ ๓ ถ้ากล่าวโดยโสฬสญาณแล้ว ทิฏฐิ วิสุทธิ ก็ได้แก่ ญาณต้น ที่มีชื่อว่า นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นญาณที่ ๑ ในจำนวนญาณทั้งหมดซึ่งมี ๑๖ ญาณ มีคาถาที่ ๒๑ แสดงว่า
๒๑. ปญฺญาย ภาวนาโยคํ กุรุมาโน ตทุตฺตริ
สมฺมเทว นามรูปํ ปริคฺคหํ ลกฺขณาทิโต
สงฺขารมตฺตโต ทิสฺวา ฐิโต ทิฏฺฐิวิสุทฺธิยํ ฯ
ประกอบความพากเพียร ในการเจริญปัญญาให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น (ยิ่งไปกว่า สีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ) กำหนดจนเห็นขึ้นมาเองแห่งลักษณะเป็นต้น ของรูปนามทั้งสองโดยชอบ คือเห็นสักแต่ว่าเป็นสังขารธรรมดังนี้ ได้ชื่อว่าตั้งอยู่แล้วในทิฏฐิวิสุทธิ มีความหมายว่า
๑. พระโยคีที่เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนถึง สีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิแล้ว ต่อจากนั้น ก็เป็นกำลังที่จะให้ถึง ทิฏฐิวิสุทธิ ความบริสุทธิแห่งทิฏฐิ ซึ่งเป็นลำดับที่ ๓ แห่งวิสุทธิมัคค และเป็นกำลังที่จะส่งให้ถึง นามรูปปริจเฉทญาณ คือ เห็นแจ้งในรูปและนาม ซึ่งเป็นญาณที่ ๑ แห่ง โสฬสญาณ
๒. ที่ว่าเห็นแจ้งในรูปและนามนั้น มีบาลีว่า ลกฺขณ รส ปจฺจุปฏฺฐาน ปทฏฺฐาน วเสน นามรูปปริคฺคโห ทิฏฺฐิวิสุทฺธินาม การกำหนดรู้รูปนามด้วยสามารถ แห่งลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐาน นั้นชื่อว่า ทิฏฐิวิสุทธิ คือจะต้องเห็นแจ้งในลักขณาทิจตุกะแห่งรูปนาม จึงจะได้ชื่อว่า เห็นแจ้งในรูปนาม
ลักขณาทิจตุกะ ของรูป (ตามนัยแห่งปฏิจจสมุปปาท)
(๑) รุปฺปนลกฺขณํ มีการสลาย แปรปรวน เป็นลักษณะ
(๒) วิกิรณรสํ มีการแยกออกจากกันได้ (กับจิต) เป็นกิจ
(๓) อพฺยากตปจฺจุปฏฺฐานํ มีความเป็นอพยากตธรรม เป็นอาการปรากฏ
(๔) วิญฺญาณปทฏฺฐานํ มีวิญญาณ เป็นเหตุใกล้
ลักขณาทิจตุกะของนามจิต (ตามนัยแห่งปฏิจจสมุปปาท)
(๑) วิชฺชานนลกฺขณํ มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ
(๒) ปุพฺพงฺคมรสํ เป็นประธานแก่เจตสิกและรูป เป็นกิจ
(๓) ปฏิสนฺธิปจฺจุปฏฺฐานํ มีการสืบต่อระหว่างภพเก่ากับภพใหม่ เป็นอาการปรากฏ
(๔) สงฺขารปทฏฺฐานํ มีสังขาร ๓ เป็นเหตุใกล้
(วา) วตฺถารมฺมณํ ปทฏฺฐานํ หรือ มีวัตถุกับอารมณ์ เป็นเหตุใกล้
ลักขณาทิจตุกะของนามเจตสิก (ตามนัยแห่งปฏิจจสมุปปาท)
(๑) นมนลกฺขณํ มีการน้อมไปสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ
(๒) สมฺปโยครสํ มีการประกอบกับจิต และประกอบกันเองโดยอาการ เอกุปฺปาท เป็นต้น เป็นกิจ
(๓) อวินิพฺโภคปจฺจุปฏฺฐานํ มีการไม่แยกออกจากจิต เป็นอาการปรากฏ
(๔) วิญฺญาณปทฏฺฐานํ มีวิญญาณ เป็นเหตุใกล้
๓. ที่ว่ากำหนดรู้รูปนามด้วยสามารถแห่งลักขณาทิจตุกะนั้น แม้จะรู้ไม่ครบหมดทั้ง ๔ ประการก็ตาม เพียงแต่รู้อย่างใดใน ๔ ประการนั้นสักอย่างเดียว ก็ได้ชื่อว่า รู้แล้ว แต่ว่าในลักขณาทิจตุกะนี้ ปัจจุปัฏฐาน คือ อาการปรากฏ หรือผลปรากฏ เป็นการที่สำคัญกว่าเพื่อน จึงเป็นประการที่ควรจักต้องรู้โดยแท้
๔. ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจไว้อย่างแน่นอนว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนา นั้นต้องมี ปรมัตถอารมณ์ เป็นกัมมัฏฐาน จะมีอารมณ์เป็นบัญญัติหรือเอาบัญญัติมาเป็นอารมณ์ในการเจริญวิปัสสนา หาได้ไม่ ปรมัตถอารมณ์ ที่จะต้องพิจารณาให้เห็นแจ้งเป็นประเดิมเริ่มแรกก็คือ รูปนาม การที่จะให้เห็นแจ้งใน รูปนาม ก็ต้องดำเนินการตามนัยแห่ง สติปัฏฐาน วิธีเดียว จะดำเนินการอย่างอื่นใดให้ปรากฏรูปนาม ตามสภาพแห่งความเป็นจริงนั้น หาได้ไม่
คู่มือการศึกษา กัมมัฏฐานสังคหวิภาค
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๙ |
|
|
|
|
 |
เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2006, 6:35 am |
  |
อาสวะ 4 ข้างล่างที่ยกมาดังข้างล่าง จะขอถามต่อคำถามอยู่ข้างล่าง
อาสวะมี ๔ ประการ คือ
๑. กามาสวะ จมอยู่ในความติดใจแสวงหากามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และการสัมผัสถูกต้อง องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในโลภมูลจิต ๘
๒. ภวาสวะ จมอยู่ในความชอบใจยินดีในอัตภาพของตน ตลอดจนชอบใจ อยากได้ในรูปภพ อรูปภพ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิกที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
๓. ทิฏฐาสวะ จมอยู่ในความเห็นผิดจากความเป็นจริงแห่งสภาวธรรมหรือผิด ทำนองคลองธรรม จึงมีความติดใจในความเห็นผิดนั้น องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔
๔. อวิชชาสวะ จมอยู่ในความไม่รู้เหตุผลตามความเป็นจริง จึงได้ โลภ โกรธ หลง องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิก ที่ในอกุสลจิต ๑๒
รวมอาสวะมี ๔ แต่วัตถุธรรมหรือองค์ธรรมมีเพียง ๓ เท่านั้นคือ โลภเจตสิก ทิฏฐิเจตสิก และ
คู่มือการศึกษา สมุจจยสังคหวิภาค
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๗
คำถาม ถามว่า เมื่อพระโสดาบันละ ทิฏฐาสวะ ได้แล้ว
อาสวะที่มีเหลืออีก 3 นั้น
พระสกทาคามี ละอาสวะชนิดใด (ที่เหลืออยู่3)
พระอนาคามีละอาสวะชนิดใด (ที่เหลืออยู่2)
พระอรหันต์ ละอาสวะชนิดใด (ที่เหลืออยู่ 1) |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2006, 8:22 am |
  |
สกทาคามิมรรค เมื่อเกิดขึ้นทำให้กิเลสที่ยังเหลืออยู่เบาบางลง แต่ยังไม่หมดลงไปได้
อนาคามิมรรค อาสวะ ที่ถูกทำลาย คือ กามาสวะ
อรหัตตมรรค อาสวะ ที่ถูกทำลาย คือ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ |
|
|
|
|
 |
เยี่ยมชม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2006, 2:19 pm |
  |
ขอกลับไปตั้งต้นอีก
ทิฏฐาสวะ ที่ว่าอาสวะคือความเห็น ความเห็นกี่อย่างที่เป็นทิฏฐาสวะที่พระโสดาบันสามารถละได้ และมีอะไรบ้าง |
|
|
|
|
 |
พริ้ว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2006, 2:19 pm |
  |
ขอตอบว่ามี 16 อย่าง แต่ไม่ตอบว่ามีอะไรบ้าง |
|
|
|
|
 |
ยุทธ์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2006, 8:54 am |
  |
[๗๑๑] ทิฏฐาสวะ เป็นไฉน?
ความเห็นว่า โลกเที่ยงก็ดี ว่าโลกไม่เที่ยงก็ดี ว่าโลกมีที่สุดก็ดี ว่าโลกไม่มีที่สุดก็ดี
ว่าชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้นก็ดี ว่าชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่นก็ดี ว่าสัตว์ยังเป็นอยู่เบื้องหน้า
แต่มรณะก็ดี ว่าสัตว์ไม่เป็นอยู่เบื้องหน้าแต่มรณะก็ดี ว่าสัตว์ยังเป็นอยู่ก็มีไม่เป็นอยู่ก็มี
เบื้องหน้าแต่มรณะก็ดี ว่าสัตว์ยังเป็นอยู่ก็ไม่ใช่ไม่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่เบื้องหน้าแต่มรณะก็ดี ทิฏฐิ
ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ
ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด
ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะ
เช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า ทิฏฐาสวะ.
มิจฉาทิฏฐิ แม้ทั้งหมด จัดเป็นทิฏฐาสวะ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑
ธรรมสังคณีปกรณ์ |
|
|
|
|
 |
|