Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ช่วยด้วย อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
น้ำตา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2006, 1:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็รู้ดี ว่าชีวิตนี้มีแต่ทุกข์ เกิดมาตัวคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว จะคิดจะหวังอะไรมากมายไปทำไม แค่ทำชีวิตให้เรียบง่ายและเป็นคนดีก็พอ แต่ตอนนี้ท้อมากมายเหลือเกิน เจ็บช้ำกับชีวิต กับปัญหาที่คนใก้ลตัวสร้างขื้น เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ เพราะคนทำไม่ยอมแก้ จืงต้องทนและอยู่กับปัญหานั้น ด้วยการให้อภัย แต่เหมือนรู้สืกค่อยๆ ตายลงไป พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ไม่มีใจ ไม่มีแรง เหมือนต้นไม้โดดเดี่ยวต้นหนึ่ง ไม่ต้องการอะไรจากเจ้าของมากนัก แค่น้ำธรรมดาเท่านั้น ชีวิตที่แห้งเหี่ยวอับเฉา ใก้ลตายเต็มที อาจดีขี้นบ้าง ถ้าหากจะบอกว่า ง่ายนิดเดียวก็ปล่อยวาง และจากไปเท่านั้นเอง ก็จบทุกอย่าง แต่ในความรู้สืก และความผูกพัน มันไม่ง่ายอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นคงต้องบอกว่า เป็นเวร เป็นกรรม แล้วจะอยู่ได้อย่างไร กับชีวิตที่ยังคงต้องอยู่ และอยู่อย่างคนเต็มคน
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2006, 3:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณว่าจบ แต่ในอารมณ์ ความรู้สึก คุณยังไม่ได้ทำ คนเราเมื่อปัญญายังไม่สามารถพิจารณาดับถึงเหตุแห่งทุกข์ได้ ก็โทษกรรมโทษเวรอยู่ร่ำไป หากยังต้องอยู่และอยู่อย่างเต็มคน ควรปฏิบัติอย่างไร ปัญหาที่คุณกล่าวมาเป็นปัญหาเบื้องต้นที่ในความรู้สึกของคุณเพียงแค่รู้ว่าหากไม่มีความผาสุขแล้วคงไม่มีประโยชน์อะไรแก่ชีวิต เกิดมาตัวคนเดียว เกิดมาได้อย่างไร ว่าตัวคนเดียวแล้วความทุกข์ที่เข้ามาปะเดปะดังมาจากไหน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เนื่องกันกับชีวิตเรา เป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้ทั้งสิ้น รู้ว่าน้ำธรรมดาอาจทำให้ชุ่มชื่นขึ้นบ้าง ก็ต้องหมั่นรดน้ำบ่อยๆ พื้นดินที่แตกระแหง ต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวเฉารอวันตาย จะได้ฟื้นคืนยืนลำต้นเขียวโดดเด่นเป็นสง่า แตกกิ่งก้านผลิดอกออกใบออกผลเป็นที่อาศัยแห่งชีวิตของชีวิตน้อยใหญ่ต่อไป

ธรรมชาติของต้นไม้ไม่เคยหลบแดด หลบฝน ยังคงยืนผงาดท้าลม ท้าแดด ท้าฝน หากแต่เจริญเติบโตหยั่งรากยืนต้นอยู่ด้วยความแข็งแกร่ง มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ลองฝึกอย่างต้นไม้ดูบ้างจะเป็นไร ดูซิว่า....ในความโดดเดี่ยว ดูเหมือนตอไม้ที่ตายแล้ว แต่ภายในกลับซึมซับธาตุธรรมชาติไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์


ธรรมะสวัสดี

มณี ปัทมะ ตารา
ผีเสื้อ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง