Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ถามเรื่อง การปฏิบัติที่อิงพระไตรปิฎก ครับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 6:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ

การรู้ด้วยปัญญาของผู้บำเพ็ญไตรสิกขา และการเจริญสติปัฎฐานภาวนาที่ถูกต้อนั้น ต้องละสัตตูปลัทธิ คือ ความยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้ ถอนอัตตสัญญา คือ ความสำคัญว่าเป็นอัตตาได้ และละกิเลส ตัณหา มานะ ทิฎฐิ ได้ด้วย จึงจะเป็นการเจริญกรรมฐานที่ถูกต้อง เป็นการบำเพ็ญไตรสิกขาใน พระพุทธศาสนา

ขอถามว่า
บำเพ็ญไตรสิกขา หมายถึงอย่างไร บำเพ็ญอย่างไร เจริญอย่างไร..?


รู้ชัดกายที่สถิตอยู่โดยอาการที่ว่าเดิน ว่ากำลังเดิน รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการที่ยืนว่ากำลังยืน รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการนั่ง ว่ากำลังนั่ง รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการนอนว่ากำลังนอน ด้วยปัจจัยอะไร เป็นต้น ต้องรอบรู้ทั้งหมด ต้องทำปริญญา ต้องวิเคราะห์วิจัยทั้งหมด สรุป จำง่ายๆ 3 คำที่กล่าวไปแล้วคือ อิริยาบถ วาโยธาตุ และจิต

ขอถามว่า
ต้องทำปริญญา หมายถึงอย่างไร ทำอย่างไร...?
ที่ว่าวิเคราะห์วิจัยทั้งหมด คืออะไร หมายถึงอย่างไร..?

อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างที่บุคคลทั้งหลายรู้กันอยู่แล้ว ..... ถ้าไม่มีการทำปริญญาเพื่อพิจารณาจนรอบรู้ทั่วอย่างที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในอิริยาบถบรรพแล้ว ก็ไม่จัดว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานตามพระธรรมคำสอนของพระองค์ ไม่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ไม่เรียกว่าเป็นการเจริญไตรสิกขา ในพระศาสนานี้ เพราะอิริยาบถเป็นรูป จึงเป็นทุกขสัจ กิจของทุกขสัจ คือ ปริญญากิจ เมื่อปฏิบัติผิดเพราะไม่ได้ทำปริญญากิจ ผลก็คือไม่สามารถแทงตลอดอริยสัจได้

ขอถามว่า
ทำปริญญาเพื่อพิจารณาจนรอบรู้ หมายถึง...อย่างไร..?
กิจของทุกขสัจ คือ ปริญญากิจ.... ไม่ได้ทำปริญญากิจ ผลก็คือไม่สามารถแทงตลอดอริยสัจได้.... ปริญญากิจทำอย่างไร...?

และขอถามว่า...

1. โยนิโสมนสิการ ให้แยบคายตามไตรสิกขา...หมายถึงทำอย่างไร...?
2. อิริยาบถบรรพ กับ สัมปชัญญบรรพ เน้นไปที่วิปัสสนาอย่างเดียว...... อิริยาบถบรรพ และสัมปชัญญบรรพ กำหนดอย่างไร พิจารณาอย่างไร เจริญอย่างไร.... ?
3. จิตตชวาโยธาตุ หมายถึงอะไร..?
4. ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ หมายถึงอะไร..?
5. ปัญญานิทเทส และมัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธิ จะหาอ่านศึกษาได้ที่ไหนครับ..?
 
ภูเขาไฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 10:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำสอน ที่พระอริยะทั้งหลายนำมาสอน ไม่ได้อ้างอิงค่ะ แต่เอามาปฏิบัติตามเลย

สำหรับความหมายต่างๆ ที่ท่านถามนะ เรากะตอบไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจภาษาบาลี(ไม่รู้ว่าแปลว่าไร ช่วยแปลเป้นไทยหน่อยกะดีอาจจะ ตอบได้)

สัตตูปลัทธิ แปลว่าไร
ไตรสิกขา แปลว่าไร
ปริญญา แปลว่าไร
โยนิโสมนสิการ แปลว่าไร
อิริยาบถบรรพ แปลว่าไร
จิตตชวาโยธาตุ แปลว่าไร
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ แปลว่าไร
ปัญญานิทเทส แปลว่าไร
มัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธิ แปลว่าไร

อายหน้าแดง ตกวิชาภาษาบาลีอยู่ด้วย
สาธุ ชี้แนะหน่อยจ้า
 
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 4:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การรู้ด้วยปัญญาของผู้บำเพ็ญไตรสิกขา และการเจริญสติปัฎฐานภาวนาที่ถูกต้อนั้น ต้องละสัตตูปลัทธิ คือ ความยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้ ถอนอัตตสัญญา คือ ความสำคัญว่าเป็นอัตตาได้ และละกิเลส ตัณหา มานะ ทิฎฐิ ได้ด้วย จึงจะเป็นการเจริญกรรมฐานที่ถูกต้อง เป็นการบำเพ็ญไตรสิกขาใน พระพุทธศาสนา

รู้ชัดกายที่สถิตอยู่โดยอาการที่ว่าเดิน ว่ากำลังเดิน รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการที่ยืนว่ากำลังยืน รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการนั่ง ว่ากำลังนั่ง รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการนอนว่ากำลังนอน ด้วยปัจจัยอะไร เป็นต้น ต้องรอบรู้ทั้งหมด ต้องทำปริญญา ต้องวิเคราะห์วิจัยทั้งหมด สรุป จำง่ายๆ 3 คำที่กล่าวไปแล้วคือ อิริยาบถ วาโยธาตุ และจิต

อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างที่บุคคลทั้งหลายรู้กันอยู่แล้ว ..... ถ้าไม่มีการทำปริญญาเพื่อพิจารณาจนรอบรู้ทั่วอย่างที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในอิริยาบถบรรพแล้ว ก็ไม่จัดว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานตามพระธรรมคำสอนของพระองค์ ไม่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ไม่เรียกว่าเป็นการเจริญไตรสิกขา ในพระศาสนานี้ เพราะอิริยาบถเป็นรูป จึงเป็นทุกขสัจ กิจของทุกขสัจ คือ ปริญญากิจ เมื่อปฏิบัติผิดเพราะไม่ได้ทำปริญญากิจ ผลก็คือไม่สามารถแทงตลอดอริยสัจได้

ไม่ทราบว่าท่านอิงมาจากพระไตรปิฏกหมวดไหนเพราะไม่เคยอ่านเจอ อ่านแต่มหาสติปัฏฐานสูตรช่วยอนุเคราะห์ให้ด้วย
 
ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 มี.ค.2006, 7:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมอ่าน มาจากหนังสือ ชื่อ " วิปัสสนาสมัยพุทธกาล กับ วิปัสสนายุคปัจจุบัน " โดย พันเอก ธงชัย แสงรัตน์ ศิษย์ ท่านพระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก ครับ
 
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 มี.ค.2006, 11:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับ ผู้เขียนคงเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมะจากพระไตรปิฏกมามากแล้วเรียบเรียงเป็นความเห็นของตนเอง แต่ก้ไม่ใช่เป็นการยกข้อความในพระไตรปิฏกทั้งหมดมาแสดง เป็นเพียงการสรุปเพื่อให้กระชับและเข้าใจง่าย
ลองศึกษาเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกสักหน่อยก็จะดีไม่น้อย
ไตรสิกขา ไตรคือสาม สิกขาคือศึกษา แปลว่าศึกษาสามอย่าง ถ้าให้สันนิฐานผู้เขียนน่าจะหมายถึง อิริยาบถ วาโยธาตุ และจิต
สติปัฏฐาน 4 นั้น เป็นการพิจารณาให้รู้ชัดในสภาพธรรม ทั้งหลาย คือ กาย เวทนา จิต และธรรม คือทั้งรูปธรรมและนามธรรม จึงจะสมบูรณ์รอบรู้ทั่ว ตามในพระไตรปิฏกที่พระองค์ทรงแสดงไว้ ไม่ได้มีแต่อิริยาบทบรรพอย่างเดียวแต่คือทั้งหมด
พิจารณากาย คือ รูป ที่เป็นมหาภูตรูป4และรูปที่อาศัยมหาภูตรูปทั้งหมดรวมเรียกว่ารูป มี 28 รูป และมหาภูตรูป4ก็คือธาตุ ดิน นำ ลม และไฟ
ส่วน เวทนา จิต ธรรม เป็น นามธรรม คือเป็นการพิจารณา นามธรรม หรือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใน ขันธ์ 4 ก็ได้
ทั้งหมดเป็นการย่อความหมาย ธรรมที่พระองค์แสดงมีมากถึง 84000 พระธรรมขันธ์ ผู้ศึกษาควรอ่านจากพระไตรปิฏกด้วยเพื่อให้ได้เนื้อความที่สมบูรณ์ ทั้งอรรถะแลพยัญชนะ ที่ทรงแสดงไว้มากมายก็เพราะเหตุที่ไม่ต้องการให้ผู้ศึกษาเข้าใจผิดในเนื้อความจึงได้แสดงไว้ในพระไตรปิฏก อย่างละเอียด การเรียนหรือฟังธรรมะแล้วรู้จักเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกด้วยก็จะทำให้เข้าใจได้มากยิ่งๆขึ้น
 
ภูเขาไฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 มี.ค.2006, 12:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ อนุโมทนา
 
000
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 มี.ค.2006, 4:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บำเพ็ญไตรสิกขา...
มัคคมีองค์ ๘ นี้สงเคราะห์ลงเป็นสิกขา ๓ คือ สีล สมาธิ ปัญญา
๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือเห็นรูปนามโดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๒. สัมมาสังกัปปะ คิดชอบ คือ คิดให้พ้นทุกข์ เพราะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๓. สัมมาวาจา พูดชอบ คือ พูดโดยมีสติ ไม่เผลอพูดชั่ว เพราะการพูดชั่ว จะไม่พ้นทุกข์
๔. สัมมากัมมันตะ ทำชอบ คือ ทำด้วยความมีสติ ไม่เผลอทำชั่ว เพราะ การทำชั่วจะไม่พ้นทุกข์
๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ คือ มีความเป็นอยู่โดยชอบ โดยมีสติไม่เผลอ ให้ดำรงชีพอยู่โดยความชั่ว เพราะมีความเป็นอยู่ชั่ว จะไม่พ้นทุกข์
๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือ พยายามไม่นึกถึงความชั่ว พยายามไม่ทำ ความชั่ว พยายามทำชอบ พยายามทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะพยายามเช่นนี้ จึงจะพ้นทุกข์
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ระลึกถึงเฉพาะรูปนามที่มีความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ระลึกเช่นนี้ โลภ โกรธ หลง จึงจะไม่เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าโลภ โกรธ หลง ยังเกิดมีอยู่ ก็จะไม่พ้นทุกข์
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นโดยชอบ คือ ให้แน่วแน่ในสติปัฏฐาน ในอันที่จะ พ้นทุกข์ ดังนี้จะเห็นได้ว่า มัคคมีองค์ ๘ นี้ย่อมเกี่ยวเนื่องกัน ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน อย่างพรักพร้อม จึงจะสำเร็จกิจให้พ้นทุกข์ได้ ความเกี่ยวเนื่องกันนั้น เป็นดังนี้ คือ

เมื่อมีปัญญาเห็นชอบแล้ว ก็ย่อมจะ คิดชอบ
เมื่อคิดชอบ ก็ย่อมจะ พูดชอบ
เมื่อพูดชอบ ก็ย่อมจะ ทำชอบ
เมื่อทำชอบ ก็ย่อมจะ มีความเป็นอยู่ชอบ
เมื่อมีความเป็นอยู่ชอบ ก็ย่อมจะ มีความเพียรชอบ
เมื่อมีความเพียรชอบ ก็ย่อมจะ มีความระลึกชอบ
เมื่อมีความระลึกชอบ ก็ย่อมจะ ตั้งใจมั่นโดยชอบ
ที่มีความ ตั้งใจมั่นชอบ ก็เพราะมี ความระลึกชอบ
ที่มีความ ระลึกชอบ ก็เพราะมี ความเพียรชอบ
ที่มีความ เพียรชอบ ก็เพราะมี ความเป็นอยู่ชอบ
ที่มีความ เป็นอยู่ชอบ ก็เพราะมี ทำชอบ
ที่ ทำชอบ ก็เพราะมี พูดชอบ
ที่ พูดชอบ ก็เพราะมี คิดชอบ
ที่ คิดชอบ ก็เพราะมี ความเห็นชอบ
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การที่มีความตั้งใจมั่นโดยชอบ ระลึกชอบ เพียรชอบ มีความเป็นอยู่ชอบ ทำชอบ พูดชอบ และคิดชอบ เหล่านี้ ก็เพราะมีความเห็น ชอบ คือ สัมมาทิฏฐิ เป็นรากฐาน

..................................................................

รู้ชัดกายที่สถิตอยู่โดยอาการที่ว่าเดิน
ต้องทำปริญญา หมายถึงอย่างไร ทำอย่างไร...?
ที่ว่าวิเคราะห์วิจัยทั้งหมด คืออะไร หมายถึงอย่างไร..?

ปริญญากิจ ๓ ประการ
๑. ญาตปริญฺญา รู้ซึ่งรูปนาม คือ นามรูปปริจเฉทญาณ, ปัจจยปริคคหญาณ และสัมมสนญาณ
๒. ตีรณปริญฺญา รู้ไตรลักษณ์ หมายถึง อุทยัพพยญาณ ญาณเดียวเท่านั้น
๓. ปหานปริญฺญา รู้ละกิเลส นับตั้งแต่ ภังคญาณถึงมัคคญาณ
..................................................................

อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
ปริญญาเพื่อพิจารณาจนรอบรู้ หมายถึง...อย่างไร..?
กิจของทุกขสัจ คือ ปริญญากิจ....

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
คำว่า อยเมว เป็นคำกำหนดแน่ชัดเพื่อปฏิเสธมรรคอื่น คำว่า อริโย ความว่า มรรคชื่อว่า อริยะ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย อันมรรคนั้นๆ พึงฆ่า ( กิเลส ) และเพราะทำความเป็นพระอริยะ ทรงแสดงกัมมัฏฐานว่าด้วยสัจจะ ๔ ด้วยคำว่ารู้ในทุกข์ เป็นต้น ในสัจจะ ๔ นั้น ๒ สัจจะต้น ( ทุกข สมุทัย ) เป็นวัฏฏสัจจะ ๒ สัจจะหลัง ( นิโรธ มรรค ) เป็นวิวัฏฏสัจจะ ในวัฏฏสัจจะ และวิวัฏฏสัจจะเหล่านั้น ความตั้งมั่นแห่งกัมมัฏฐานของภิกษุ ย่อมมีในวัฏฏสัจจะไม่มีในวิวัฏฏสัจจะ ก็พระโยคาวจรกำหนดสัจจะ ๒ เบื้องต้น ในสำนักอาจารย์โดยย่อ อย่างนี้ว่า ปัญจขันธ์เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นสมุทัย และพิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า ปัญจขันธ์เป็นไฉน คือรูปขันธ์ดังนี้แล้ว ทบทวน ชื่อว่า
ทำกรรมในสัจจะ ๒ เหล่านั้น ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้ พระโยคาวจร ย่อมทำกรรม ด้วยการฟังอย่างเดียว อย่างนี้ว่านิโรธสัจ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มรรคสัจ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ พระโยคาวจรนั้น เมื่อทำอยู่อย่างนี้ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ ด้วยปฏิเวธญาณอันเดียว ย่อมตรัสรู้ด้วย อภิสมยญาณ อันเดียว คือแทงตลอดทุกขสัจจะด้วยปฏิเวธ คือปริญญากิจ แทงตลอดสมุทัยด้วยปหานกิจ แทงตลอดนิโรธสัจจะ ด้วยสัจฉิกิริยากิจ แทงตลอดมรรคสัจจะ ด้วยภาวนากิจ ย่อมตรัสรู้ทุกขสัจจะ ด้วยอภิสมยญาณ คือปริญญากิจ ตรัสรู้สมุทัยสัจจะ ด้วยปหานกิจ ตรัสรู้นิโรธสัจจะ ด้วยสัจฉิกิริยากิจ ตรัสรู้มรรคสัจจะ ด้วยภาวนากิจ ในเบื้องต้น พระโยคาวจรนั้น มีปฏิเวธญาณในสัจจะ ๒ เบื้องต้น ด้วยการกำหนด การสอบถาม การฟัง การทรงจำและการพิจารณา ส่วนในสัจจะ ๒เบื้องปลาย พระโยคาวจรมีปฏิเวธญาณ ด้วยอำนาจการฟังอย่างเดียว ในภายหลัง จึงมีปฏิเวธญาณในสัจจะ ๓ โดยกิจมีปฏิเวธญาณในนิโรธสัจโดยอารมณ์ ส่วนปัจจเวกขณญาณมีแก่พระโยคาวจรผู้บรรลุสัจจะแล้ว และพระโยคาวจรนี้เป็นผู้เริ่มบำเพ็ญเพียร เพราะฉะนั้นจึงไม่ตรัสปัจจเวกขณญาณนั้นไว้ในที่นี้ อนึ่ง เมื่อภิกษุนี้กำหนดรู้ในเบื้องต้น ความคำนึง รวบรวมใจ ใส่ใจ และพิจารณาว่า เรากำหนดรู้ทุกข์ เราละสมุทัย เราทำให้แจ้งนิโรธ เราเจริญมรรค ดังนี้ ยังไม่มี
จะมีได้ตั้งแต่การกำหนดไป ส่วนในเวลาภายหลัง ทุกข์ก็เป็นอันชื่อว่ากำหนดรู้แล้ว สมุทัยก็เป็นอันละเสียแล้วนิโรธเป็นอันทำให้แจ้งแล้ว มรรคก็เป็นอันทำให้เจริญแล้ว

...................................................................

1. โยนิโสมนสิการ ให้แยบคายตามไตรสิกขา...หมายถึงทำอย่างไร...?

โดยหลักแล้วโยนิโสมนสิการก็คือหลักการสำคัญของการเจริญวิปัสสนา คือการมีสติเฝ้าสังเกตสภาวะที่ปรากฏตามความเป็นจริงในขณะที่เป็นปัจจุบันนั้นของรูปนาม หรือร่างกายและจิตใจ (โดยเน้นที่ร่างกายและจิตใจของตนเองเป็นหลัก) เพื่อให้เห็นความเป็นไปของรูปนาม หรือร่างกายและจิตใจ โดยเป้าหมายขั้นสูงสุดก็เพื่อให้เห็น หรือให้รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของรูปนาม หรือร่างกายและจิตใจ คือความที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนไปตลอดเวลา ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของใคร ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ถ้าขืนไปยึดก็มีแต่ทุกข์ที่จะตามมา ฯลฯเมื่อเห็นความเป็นจริงมากขึ้น และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่ก็จะลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ จนถึงขั้นทำลายกิเลสได้ในที่สุด
............................................................

2. อิริยาบถบรรพ กับ สัมปชัญญบรรพ เน้นไปที่วิปัสสนาอย่างเดียว...... อิริยาบถบรรพ และสัมปชัญญบรรพ กำหนดอย่างไร พิจารณาอย่างไร เจริญอย่างไร.... ?

บรรพที่ ๒ อิริยาบถ ๔ ได้แก่ เดิน ยืน นั่ง นอน ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า อิริยาบถใหญ่

บรรพที่ ๓ สัมปชัญญะ ๗ ได้แก่
(๑) ก้าวไปข้างหน้า และถอยไปข้างหลัง
(๒) แลไปข้างหน้า เหลียวไปข้างซ้าย เหลียวไปข้างขวา
(๓) คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก
(๔) กิริยาที่นุ่งผ้า ห่มผ้า และใช้เครื่องใช้สอยอื่น ๆ
(๕) การเคี้ยว การกิน การดื่ม
(๖) การถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ
(๗) อาการเดิน ยืน นั่ง นอน จะหลับ เวลาที่ตื่นขึ้น การพูด การนั่ง สัมปชัญญะ ๗ นี้ บางทีก็เรียกว่า อิริยาบถย่อย

บรรพที่ ๒ อิริยาบถ ๔
บรรพที่ ๓ สัมปชัญญะ ๗ และบรรพที่ ๕ ธาตุทั้ง ๔ รวม ๓ บรรพนี้ ใช้ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาแต่อย่างเดียว จะเพ่งให้เกิด ฌานจิตไม่ได้

..........................................................................

3.จิตตชวาโยธาตุ หมายถึงอะไร..?

อำนาจจิตที่ไม่มีตัวตน วาโยธาตุอันเกิดแต่จิต ที่ซ่านไปทั่วสกลกาย ยังให้เคลื่อนไหว

.............................................................................

4. ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ หมายถึงอะไร..?

ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ ปัญญาเจตสิกที่รู้รูปนามว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนแก่กล้า เป็นวิมังสิทธิบาท เป็นปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละ เป็นสัมมาทิฏฐิ ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาภาวนา ย่อมทำลายโมหะเสียได้ ปัญญาอย่างนี้ แหละที่เรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มีความสามารถทำให้เกิดมัคคญาณได้ การที่ ปัญญาจะเป็นถึงธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ได้นั้น ก็ด้วยมีปัจจัยธรรม คือสิ่งที่อุปการะ เกื้อกูล ๗ ประการ

.................................................................................

5. ปัญญานิทเทส และมัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธิ จะหาอ่านศึกษาได้ที่ไหนครับ..?

คัมภีร์ วิสุทธิมรรค

มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิแห่งความรู้เห็นว่าเป็นทางที่ ถูกต้องหรือมิใช่ ได้แก่ ปัญญา สาธุ
.........................................................................................
 
vipassana.tv
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2006, 6:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมก็ไม่รู้คำบาลี เกิดมาก็ไม่ได้ไปเรียนแปลจิงจัง
พระไตรปิฏกก็มีแต่ก็ยาวมาก ไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันกับชีวิตปัจจุบัน
หนังสือธรรมมะ ก็มีมากมายหลายหลายแนวความคิด ถึงจะอิงพระศาสนาเดียวกัน
ผมเห็นแค่ว่า สิ่งๆต่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเราขณะนี้ สักวันมันก็ต้องถูกย้ายออกไป จะหาสิ่งดีแค่ไหนมาแทนที่ มันก็ต้องถูกย้ายออกไปอีกจนได้ สักเหตุผลหนึ่งๆเสมอ
ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นของชั่วคราว[/b]
 
บาลีรากหญ้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2006, 9:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศัพท์ยากจัง ไม่ค่อยรู้เรื่องอะ ถ้งงั้นช่างเถิด ตามหาพุทโธเราให้เจอดีกว่า

ขอรบกวนถามเจ้าของกระทู้ว่าท่านพระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก ใช่ท่านที่แต่งเรื่อง เหตุเกิดเมื่อรศ ๑ หรือเปล่า
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง