Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
................ โทษแห่งสุรา .......
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
aa
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 เม.ย.2006, 2:30 pm
โทษแห่งสุรา
.......ยังมีเรื่องราวของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเคยมีชีวิตที่บริสุทธิ์สะอาด เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
ความสามารถ และมีฤทธิ์เดชเป็นที่เลื่องลือ แต่ฤทธิ์ของท่านที่ว่าแน่ ยังต้องพ่ายแพ้แก่สุราเมรัย
ที่สามารถออกฤทธิ์ทำลายคุณงามความดีทุกประการจนหมดสิ้น
พระสาคตะ
........ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ครั้นออก
พรรษาพระพุทธองค์ได้เสด็จไปสู่เจติยชนบท จนกระทั่งมาถึงบ้านภัททวติกคาม เมื่อคนเลี้ยงสัตว์
ต่างๆ ตลอดจนชาวนา และคนเดินทาง ได้แลเห็นพระองค์ ต่างพากันกราบทูลว่า
" ข้าแต่พระองค์ ขอได้โปรดอย่าเสด็จไปสู่ท่าอัมพะเลย เพราะมีพญานาคตนหนึ่งซึ่งมีพิษร้ายแรง
อาศัยอยู่ใกล้อาศรมชฎิล หากพระองค์เสด็จไป พญานาคนั้นก็จะทำอันตรายแก่พระองค์ "
พระองค์ทรงทำเป็นไม่ได้ยิน แม้คนเหล่านั้นจะทูลห้ามถึง ๓ ครั้ง พระองค์ก็ทรงนิ่งเฉย เสด็จ
เข้าไปประทับอยู่ที่ภัททวติกคาม
คราวนั้น พระสาคตะผู้สำเร็จโลกิยฌาน ได้ไปยังอาศรมชฎิลที่พญานาคนั้นอาศัยอยู่ ท่านเข้าไป
ยังโรงบูชาไฟแล้ว ปูหญ้าลงรองนั่งท่าสมาธิคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง
เมื่อพญานาคมองเห็นพระสาคตะ ก็รู้สึกขุ่นเคือง ได้พ่นพิษเข้าใส่ พระสาคตะจึงบันดาลพิษ
โต้ตอบกำจัดพิษพญานาคนั้น พญานาคพ่นไฟสู้อีก พระสาคตะจึงเข้าเตโชสมบัติบันดาลไฟโต้ตอบ
จนพญานาคยอมแพ้ จากนั้นท่านได้สั่งสอนให้พญานาคตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ แล้วท่านจึงกลับ
มาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ภัททวติกคาม
.......เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ภัททวติกคาม ตามสมควรแก่พระประสงค์แล้ว จึงเสด็จ
กลับสู่เมืองโกสัมพี เมื่อชาวเมืองโกสัมพี มารับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทราบว่าพระสาคตะ
มีชัยชนะแก่พญานาค จึงพากันเข้าไปถามพระสามคตะว่า " สิ่งใดที่เป็นของหายาก เป็นของชอบใจ
ของพระคุณเจ้า พวกเราจะจัดถวาย "
ครั้งนั้น ยังมีภิกษุผู้มีความริษยาในพระสาคตะ ได้แกล้งตอบไปว่า " สุราใสสีแดงเหมือนสีเท้า
ของนกพิราบ เป็นของหายาก และเป็นของชอบใจของพระคุณเจ้า ท่านทั้งหลายจงจัดเตรียมสุรา
นั้นไว้ถวายจึงจะดี "
คนเหล่านั้นพากันกระทำตามคำแนะนำ โดยเวลาที่พระสาคตะไปบิณฑบาต ต่างก็ขอให้ท่าน
ดื่มสุรา พระสาคตะได้ดื่มสุราทุกๆ เรือนไป จนในที่สุด ท่านได้ล้มลงที่ประตูเมืองด้วยความมึนเมา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จออกจากเมือง พร้อมด้วยภิกษุเป็นจำนวนมาก ได้ทอดพระเนตรเห็น
พระสาคตะล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมือง จึงตรัสสั่งให้ภิกษุทั้งหลายช่วยกันพยุงพระสาคตะไป แล้วจัด
ให้นอนหันศีรษะมาทางพระองค์ แต่พระสาคตะกลับพลิกตัว นอนเอาเท้าทั้งสองหันมาทาง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ลำดับนั้น พระพุทธองค์รับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า
" ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตมิใช่หรือ "
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลว่า " เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ สาคตะมีความเคารพยำเกรงในตถาคตอยู่หรือ "
" ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาคตะได้ต่อสู้กับนาคภัททวติกคามใช่หรือไม่ "
" ใช่ พระพุทธเจ้าข้า "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้แม้แต่งูน้ำ สาคตะจะสามารถทำการต่อสู้ได้หรือไม่ "
" ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้ว ถึงวิสัญญีภาพนั้นควรดื่มหรือไม่ "
" ไม่ควรดื่ม พระพุทธเจ้าข้า "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทำของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ไฉนสาคตะจึงดื่มน้ำที่ทำให้ผู้ดื่มมึนเมา การกระทำของสาคตะนั้น มิได้เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว "
.........ฤทธิ์ของสุราจึงไม่เพียงแต่ทำให้ พระสาคตเถรสิ้นฤทธิ์ แต่ยังทำให้ความประพฤติอันดีงาม
กลับเสื่อมทรามสิ้นสง่าราศี จากผู้เป็นที่เคารพศรัทธา กลับกลายเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์
แม้จิตใจที่อาจหาญของท่าน ยังเสื่อมสิ้นกำลัง ทั้งที่สภาพใจของท่านแต่เดิมนั้น เป็นใจที่ตั้งมั่น
ทนทานต่อการทำลายไม่ว่าจากภัยใดๆ แต่แล้วกลับเปลี่ยนสภาพไปอย่างง่ายดาย เพราะการดื่มสุรา
แล้วใจของมนุษย์ทั้งหลาย ที่ยังคงหวั่นไหวไปตามกระแสแห่งทุกข์ภัยในชีวิต หากไม่ระวัง
รักษา ปล่อยให้สุรามาบั่นทอนทำลาย คุณภาพใจจะมัวเมาตกต่ำไปสักเพียงใด
ใจที่เสื่อมคุณภาพเช่นนี้ จะพาชีวิตไปสู่ที่ใด
การดื่มสุราเมรัย จึงเป็นวิถีที่นำชีวิตไปสู่ความหายนะโดยแท้
.......ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเสี้ยวธุลีของทุกข์ภัยอันใหญ่หลวงที่เกิดจากการล่วงละเมิดศีล ทุกข์ภัยนั้น
เป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน สัพพลหุสสูตร ว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาต อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ผลกรรมแห่งปาณาติบาตอย่างเบา
ที่สุดย่อมทำให้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีอายุน้อย "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อทินนาทาน อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ผลกรรมแห่งอทินนาทานอย่าง
เบาที่สุด ย่อมยังความพินาศแห่งโภคะให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาเมสุมิจฉาจาร อันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ผลกรรมแห่งกาเมสุมิจฉาจาร
อย่างเบาที่สุด ย่อมยังศัตรูคู่เวรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มุสาวาท อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อม
ยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ผลกรรมแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุด
ย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำอันไม่เป็นจริง ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปิสุณาวาจา อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ผลกรรมแห่งปิสุณาวาทอย่าง
เบาที่สุด ย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผรุสวาจา ที่บุคคลเสพแล้ว เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมยัง
สัตว์ให้เป็นไปในนรก ในเปรตวิสัย ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ผลกรรมแห่งผรุสวาจาอย่างเบาที่สุด
ย่อมยังเสียงที่ไม่น่าพอใจให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมผัปปลาปะ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ผลกรรมแห่งสัมผัปปาละปะ
อย่างเบาที่สุด ย่อมยังคำไม่ควรเชื่อถือ ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ "
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การดื่มน้ำเมา คือ สุราเมรัย อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำ
ให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในเปรตวิสัย และสัตว์ดิรัจฉาน ผลกรรมแห่งการดื่มสุรา
และเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ "
.......จากพระสูตรนี้ จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ผิดศีล ๕ ย่อมมีโทษหนักและเบาตามลำดับ คือทำให้เกิด
เป็นสัตว์นรก เปรต และสัตว์ดิรัจฉาน
โดยที่โทษอย่างเบาที่สุดของการฆ่าสัตว์ คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้มีอายุสั้น ต้องพบ
กับโรคภัย ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
โทษอย่างเบาที่สุดของการลักขโมย คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ยากจนขัดสน หากเคย
ทำทานมามาก เกิดมามั่งมีเงินทอง แต่ในที่สุดทรัพย์เหล่านั้น ก็จะต้องพินาศไปด้วยภัยต่างๆ ไม่ว่า
จะเป็นภัยจากน้ำ จากไฟ จากโจรผู้ร้าย หรือ คนคดโกง
โทษอย่างเบาที่สุดของการประพฤติผิดในกาม คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้มีศัตรูคู่เวรมาก
ยากจะหาความสงบสุขในชีวิต
โทษอย่างเบาที่สุดของการพูดโกหก คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องไม่จริง
บางคนถูกใส่ร้ายป้ายสีจนเสียผู้เสียคน บางคนก็อาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย
โทษอย่างเบาที่สุดของการพูดส่อเสียด คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่มักจะมีเรื่องแตกร้าว
กับมิตรสหาย ต้องทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นอยู่เสมอ
โทษอย่างเบาที่สุดของการพูดคำหยาบ คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่มักจะได้ยินเสียง
อันไม่น่าพอใจ ไม่น่าฟัง แม้ต่อมาตนเองจะเป็นคนอ่อนน้อม ไม่ด่าว่าใคร แต่ด้วยผลกรรมนั้นทำ
ให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็จะได้ยินแต่เสียงด่าทอ ทะเลาะวิวาทให้ร้อนหูอยู่เสมอ
โทษอย่างเบาที่สุดของการพูดเพ้อเจ้อ คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่ไม่มีใครเชื่อถือ ทำ
อะไรก็มักจะไม่ประสพความสำเร็จ
โทษอย่างเบาที่สุดของการดื่มสุราเมรัย คือ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจเลื่อนลอย
ขาดสติ หรือเป็นบ้า เพราะได้สั่งสมความประมาทขาดสิต ให้แก่ตนเองด้วยการดื่มน้ำเมาเสมอมา
เพียงโทษอย่างเบาที่สุด ยังทำให้ชีวิตที่เป็นมนุษย์ตกต่ำลำบากถึงเพียงนี้ จึงสุดที่จะคิด
คำนวณได้ว่า โทษหนักในนรก เปรต สัตว์ดิรัจฉานนั้นจะเป็นชีวิตที่ทุกข์ทรมานมากเพียงใด
จากหนังสือ.....
ศีล....เป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม
พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป.ธ. ๙
ที่มา คุณ foox จาก พันทิพดอดคอม
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th