ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
03 เม.ย.2006, 10:23 am |
  |
วัคซีนธรรม ที่ทุกชีวิตควรนำมาฉีด
เพื่อให้เกิด 'ภูมิคุ้มกันทุกข์' แบบ 'บูรณาการ'
ที่จัดว่าสั้นและครบถ้วนที่สุด จากพระพุทธพจน์ใน'ฐานสูตร'
พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๓๖ หน้า ๑๓๙
ขอยกเอาทั้งคำพระและคำไทยมาเสนอ ดังนี้
ชะรา ธัมโมมหิ เรามีความแก่เป็นธรรมดา
ชระ อะนะตีโต เราจะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
พะยาธิ ธัมโมมหิ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
พะยาธิง อะนะตีโต เราจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
มะระณะ ธัมโมมหิ เรามีความตายเป็นธรรมดา
มะระณัง อะนะตีโต เราจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะมาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว
เราจักต้องเป็นไปต่างๆ
คือจะต้องพลัดพรากจากของรักและของชอบใจ ทั้งหลายทั้งปวงไป
กัมมัสสะโกมหิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน
กัมมะทายาโท เราเป็นผู้รับผลของกรรม
กัมมะโยนิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด
กัมมะพันธุ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กัมมะปะฏิสสะระโณ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ดีหรือชั่วก็ตาม
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ. เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
เพื่อให้การฉีดวัคซีนธรรมบูรณาการ
จึงขอนำเอาพระพุทธพจน์ในไตรลักษณ์ จาก 'อุปปาทสูตร'
ไตร.อ. ๓๔/๕๗๔ มาเสนอต่อ ดังนี้
สัพเพ สังขารา อะนิจจา
สังขารคือร่างกายจิตใจ แลรูปธรรมนามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น
มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป
สัพเพ สังขารา ทุกขา
สังขารคือร่างกายจิตใจ แลรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น
มันเป็นทุกข์ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป
สัพเพ ธัมมา อะนัตตา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร แลมิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา
วัคซีนธรรมทั้งสองพระสูตรนี้ นับว่าเป็นธรรมะบูรณาการแก่ชีวิต
ชนิดครบวงจร เหมาะแก่ทุกชีวิตที่เกิดมาแล้ว
จะนำไปสวดและพิจารณาประจำวัน หรือพิจารณาในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันความทุกข์ได้
เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาแล้ว ย่อมจะต้องประสบพบกับสิ่งเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
เมื่อหลีกหนีไม่พ้น
เราก็จำเป็นจะต้องหันหน้าสู้กับความจริง
หรือยอมรับกฎสัจจะแห่งชีวิต (แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากฯ)
เพราะการสู้ย่อมมีทางชนะ (ทุกข์)
แต่การหนีหรือไม่ยอมรับเราก็ย่อมจะมีแต่ถูกความทุกข์ (กินเปล่า)
ไล่ติดตามอยู่ตลอดเวลา และเป็นการทรมานชีวิตอย่างยิ่ง
เพราะเราไปฝืนธรรมะคือกฎธรรมดาของโลก
ที่มันย่อมจะเป็นของมันเช่นนั้นเอง?
หลักแห่งสัจธรรมมีอยู่ว่า เมื่อเรารู้ว่าโลกและทุกชีวิตต้องเป็นอย่างนี้ และมีอย่างนี้เป็นธรรมดาเหมือนกันหมดทุกชีวิต
ไม่มีใครจะอยู่เหนือกฎแห่งสัจธรรมทั้งสองพระสูตรนี้ไปได้
เมื่อเรานำเอาสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาไว้ก่อนเนืองๆ
จิตใจของเราก็ย่อมจะ 'มีภูมิคุ้มกันทุกข์' ได้ในระดับหนึ่ง
อุปมาเหมือนเรามีสิ่งที่รักอยู่อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างก็ตาม
เช่น แก้วน้ำราคาแพง จะเป็นแก้วหยกหรือแก้วอะไรก็ตามที
พอเราได้แก้วนั้นมาแล้ว ก่อนอื่นก็ขอให้เราเสกคาถาไว้ล่วงหน้าก่อนว่า
"แก้วน้ำนี้เป็นรูปธรรม สักวันหนึ่งมันก็ย่อมจะต้องแตกหรือหายไป"
อยู่มาวันหนึ่งแก้วน้ำนั้นเกิดแตกหรือหายไป
ใจเราก็ย่อมจะยอมรับได้ เพราะเราได้ทำใจไว้ก่อนแล้ว
พอมันแตกหรือหายไป เราก็จะอุทานว่า
"ฉันนึกแล้วเชียว! ว่าสักวันหนึ่งแกก็ต้องแตกหรือหายไป"
ถ้าเราไม่เคยฉีดวัคซีนธรรมไว้ก่อนเลย
ใจเราก็ย่อมจะรับได้ยากอาจคิดไปในทางตรงข้ามว่า
"แก้วนี้ราคาแพงหายากและสวยมาก ไม่น่าจะแตกเลย!
โธ่...เสียดายจัง 'ใครนะทำแตก?'
ขอยกเรื่องจริงซึ่งได้เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น มาเล่าประกอบดังนี้
พระอาจารย์จีนรูปหนึ่ง เป็นที่เคารพนับถือของพระจักพรรดิมาก
วันหนึ่งพระจักรพรรดิได้ถวายถ้วยน้ำชาหยกแก่พระอาจารย์นั้นลูกหนึ่ง
พระอาจารย์รักและหวงถ้วยหยกลูกนี้มาก
จึงได้สั่งแก่ลูกศิษย์ผู้อุปัฏฐากอายุ ๑๒ ปีว่า
"ถ้วยหยกลูกนี้ราคาแพงและหายาก เวลาจะทำความสะอาดถ้วย
ให้ระวังมันจะตกแตก"
วันหนึ่งลูกศิษย์กำลังทำความสะอาดถ้วยอยู่ที่หน้ากุฏิพระอาจารย์ เกิดทำถ้วยหยกหลุดมือตกแตก เขาตกใจมาก! พอดีขณะนั้นพระอาจารย์
ก็กำลังจะเปิดประตูกุฏิออกมาพอดี เขาจึงรีบเอามือทั้งสองหยิบถ้วยแตกไพล่ไว้ด้านหลัง พลางคลุกเข่าลงคำนับพระอาจารย์ แล้วกล่าวว่า
"ท่านอาจารย์ขอรับ วัตถุทุกสิ่งในโลกนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ล้วนแต่ต้องแตกสลายไปทั้งหมดใช่ไหมครับ?"
พระอาจารย์ก้มศีรษะยอมรับว่า
"ใช้แล้วๆ"
ลูกศิษย์หัวไวได้ที จึงรีบเอาถ้วยหยกแตกยื่นให้พระอาจารย์ดู
พร้อมกับพูดว่า
"ถ้วยหยกลูกนี้เกิดขึ้นมาแล้วมันก็แตกสลายไปแล้วเป็นธรรมดา
ขอรับ"
พระอาจารย์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งว่า
"ถ้าเช่นนั้นแกก็เอามันไปทิ้งเสีย"
นี้เกิดจากอานิสงส์แห่งวัคซีนธรรม
ที่ศิษย์เอกรุ่นเยาว์ได้ฉีดให้พระอาจารย์ไว้ก่อน
มิฉะนั้นแล้วก็คงจะไม่แคล้วก้นลายเป็นแน่เชียว
เพื่อให้วัคซีนธรรมทั้งสองพระสูตรนี้
มีอานิสงค์คุ้มครองไปตลอดชีวิต
จึงควรจะนำมาสวดเป็นประจำวัน
หรือว่างเมื่อไรก็นำมาท่องให้ขึ้นใจไว้เสมอๆ
เมื่อเกิดความทุกข์สายใดโผล่ขึ้นมา ก็จะได้นำมาสวดแก้กันได้ทันที
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
03 เม.ย.2006, 10:33 am |
  |
อนุสติ!?
การระลึกถึง 'ฐานสูตร' และ 'อุปปาทสูตร'
มีข้อที่ควรอนุสติอยู่ ๒ ประการ คือ ระลึกบวกกับระลึกลบ
ระลึกบวก หมายความว่า เมื่อเราระลึกถึง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้น
จะทำให้เราเร่งรีบใช้ร่างกายนี้ ทำสาระทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ด้วยความไม่ประมาท การระลึกอย่างนี้เป็นบวก
ระลึกลบ หมายความว่า เมื่อเราระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้น
จะทำให้เราเกิดความท้อแท้ใจในการทำความดี
พร้อมกันนั้นก็จะเร่งทำความชั่วให้มากขึ้น
รีบฉกฉวยโอกาสทำชั่วให้มันถึงที่สุด การระลึกอย่างนี้เป็นลบ
กฎแห่งสัจธรรมก็ตาม กฎธรรมดาของโลกก็ตาม
กฎแห่งกรรมทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็ตาม
เป็นกฎสากลมีอยู่คู่กับโลก
เราทำดีเราก็ย่อมจะได้รับผลดี เป็นความสุขตอบแทน
เราทำชั่วเราก็ย่อมจะได้รับผลชั่ว เป็นความทุกข์ตอบแทนเสมอ
เหมือนกันหมดไม่มีการยกเว้น
การระลึกถึงกฎธรรมดา และกฎแห่งกรรม
ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ย่อมจะทำให้เราใช้ชีวิตที่เกิดมาแล้วอย่างคุ้มค่า
และมีสาระสูงสุด เท่าที่สติและปัญญาของเราจะอำนวยให้ได้
ดังนั้น เมื่อเราได้เกิดมาแล้ว และได้พบพระพุทธศาสนา
ซึ่งมีคำสั่งสอนอันแสนประเสริฐเช่นนี้แล้ว
เราก็ไม่ควรจะปล่อยให้ความประมาท
เข้ามาครอบงำจิตใจ
จากการศึกษาธรรมะตั้งแต่หนุ่มจนแก่
ก็ยังไม่เคยพบหลักธรรมใดที่สั้นและบูรณาการ
เหมือนฐานสูตรและอุปปาทสูตรนี้เลย
โปรดพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรมเถิดว่า
ยังจะมีปัญหาหรือเหตุให้เกิดความทุกข์อะไรในตัวเรา
ที่นอกเหนือไปจากสองพระสูตรนี้บ้าง?
ถ้าท่านผู้ใฝ่ธรรมได้อ่าน แล้วพิจารณาตามข้อธรรม
เริ่มตั้งแต่ ชะรา ธัมโมมหิ เป็นต้นไป
ให้จิตใจของเรายอมรับกฎแห่งธรรมดาเหล่านั้น
แต่ละข้อจนถึงข้อสุดท้ายกฎแห่งกรรม
ที่ว่า ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
ตลอดจนการพิจารณากฎแห่งไตรลักษณ์
คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาร่วมด้วย
ก็จัดว่าเป็นธรรมะบูรณาการอย่างแท้จริง
ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันทุกข์ให้แก่ชีวิตได้อย่างดี
ถ้าจิตใจของเรายอมรับกฎแห่งกรรมนั้นๆ ได้
เราก็จะไม่กล้าทำความชั่ว
เพราะละอายและเกรงกลัวต่อผลแห่งบาปกรรม
ที่จะตามสนองทั้งในชาติปัจจุบันและในชาติต่อๆ ไป
ผลพวงที่เราได้ท่อง หรือได้สวดพระสูตรสองบทนี้บ่อยๆ
ก็ย่อมจะเกิด 'ความเคยชิน' หรือมี 'ภูมิคุ้มกัน' ขึ้นในใจ
โดยเราไม่รู้ตัว
เมื่อเราประสบทุกข์ขึ้น จิตใจของเราก็ย่อมจะรับได้
เพราะเราได้รับรู้อยู่ก่อนแล้วว่า
สิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นกับเราในวันหนึ่งอย่างแน่นอน!
ผู้เขียนได้รับอานิสงส์จากพระสูตรทั้งสองนี้มานานแล้ว
จึงใคร่ขอฝากท่านผู้ใฝ่ธรรมไปพิจารณาด้วย
โดยการท่องให้คล่องปากและขึ้นใจไว้ก่อน
เมื่อเกิดอารมณ์วิกฤตขึ้นในจิตใจ
เรามีสติระลึกถึงธรรมเหล่านี้ได้
ความทุกข์ก็ย่อมจะลดความเข้มข้นลงตามลำดับในทันที
-------------------------------------------
คัดลอกจาก: ความสุขแท้แบบบูรณาการ
ธรรมรักษา
คัดลอกจาก: คุณ mayrin
http://larndham.net/index.php?showtopic=18904&st=50
[/b] |
|
|
|
   |
 |
I am
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 เม.ย.2006, 8:50 am |
  |
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นดับไป
โมทนาครับคุณลูกโป่ง สาธุ.. |
|
|
|
|
 |
|