Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากรู้วิธีแก้ไขการนั่งสมาธิแล้วไม่ให้ใจเต้นแรง อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
_จามรี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2006, 7:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากรู้วิธีแก้ไขการนั่งสมาธิแล้วไม่ให้ใจเต้นแรงหรือไม่เกิดอันตราย

นั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกตัวเริ่มหนัก จากนั้นตัวเริ่มชา สมองมึน รู้สึกเหมือนจิตเริ่มดิ่งลึก และลมหายใจแผ่วเบาสั้นลงสั้นลง ในขณะที่หัวใจเต้นแรงรัวถี่จนเหมือนจะระเบิดออกมาข้างนอกทุกขณะที่ลมหายใจเบาลงเรื่อยๆ เลยเลิกทำกลัวสมองไม่ได้รับออกซิเจนเพราะไม่หายใจ และขาดออกซิเจน

วอนท่านผู้รู้กรุณาช่วยแนะวิธีแก้ไขไม่ให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ และไม่เกิดอันตราย
 
ศิ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2006, 7:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอให้ทำสมาธิด้วยความสบายและมีความผ่อนคลาย อย่าไปเครียด และให้หายใจเข้า-ออก ให้ยาว ด้วยความผ่อนคลาย ด้วยความสดชื่น และให้มีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะที่มีอาการต่างๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ ทำไป
 
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2006, 7:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีใครตาย เพราะนั่งสมาธิ มาก่อนเลย...

อาการที่พบ แสดงว่า การปฏิบัติสมาธิก้าวหน้ามาก ขณะที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ถึงจุดนี้

มีข้อควรพิจารณาดังนี้

หนึ่ง สวดมนต์ไหว้พระรัตนตรัย และ แผ่เมตตา เพื่อเสริมสร้างศรัทธา กำลังใจ และป้องกันถูกรบกวนจากเหตุอื่น ต้องทำทั้งสองประการนี้

สอง สมาทานศีลให้บริสุทธิ์ เช่น ศีล ๕ เป็นต้น อันนี้จำเป็นยิ่งยวด

สาม การปฏิบัติสมาธิที่ดี ต้องปลงสังขารเสียก่อน คือ ตายไม่กลัว นับประสาอะไรกับ หัวใจระเบิด หากมีปณิธานแน่วแน่อย่างนี้ ก็ก้าวหน้าต่อไปได้

สี่ หลักการสำคัญ คือ มีสติกำหนดรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว

ห้า หากยังลังเล ไม่แน่ใน สงสัยอยู่ ก็ให้เริ่มต้นศึกษาฟังพระธรรม จากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ให้ครบ 8ไฟล์ ตามลิงค์นี้ คือ http://www.dhammajak.net/audio/dhamma/index.php

แล้วจะพบคำตอบ หายกลัว และปฏิบัติธรรมต่อไปได้

หก อาการหนึ่งของปีติ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในปฐมฌาน ก็เป็นอย่างที่คุณพบ ส่วนคำว่าปีติ คือ อะไร อยากให้ค้นหาเอง เพราะจะพบคำอื่นๆอีกที่มีค่า และต่อๆไปไม่สิ้นสุด

ขอให้เจริญในธรรม

ขอร่วมอนุโมทนาสาธุการด้วยครับ

ขัดข้องประการใด pudalay7000@yahoo.com แต่ไม่ค่อยไปเปิดอ่านสักเท่าไหร่ อิอิ
 
Reawat Jantawinyurag
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2006, 7:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดีแล้วครับที่มีอาการของปีติ ในการทำสมาธิ ค่อยดูไป ไม่ต้องกลัว ถ้าเมื่อใดผ่านอาการของปีติ สิ่งเหล่านี้จะหายไปเอง อนุโมทนาบุญด้วยที่ทำได้อย่างนี้
 
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2006, 7:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สำหรับผู้เจริญภาวนาแล้วไม่สงบเป็นปรกติ มักจะมีอาการต่างๆเกิดขึ้นขณะภาวนา รวมทั้งอาการที่เล่ามาข้างต้น และอาการอื่นๆ อีกนานัปการ ที่เกิดกับนักภาวนานั้น บางอาการก็แก้ปัญหาได้ด้วยวิธีการภาวนา บางปัญหาก็แก้ได้บ้างเป็นครั้งคราว บางปัญหาก็แก้ไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาในทางปฏิบัติมากนัก เว้นแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรคต่อการภาวนามาก จนไม่อาจภาวนาต่อไปได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เปลี่ยนวิธีการภาวนา เช่นนั่งภาวนาเป็นการเดินจงกรมบ้าง ยืนบ้าง นอนบ้าง คือหลีกเลี่ยงอิริยาบถที่มีปัญหา

และการภาวนายังทำได้ด้วยการระลึกถึงความตาย ระลึกในความไม่งาม (อสุภะ) แผ่เมตตา พุทธานุสติ เป็นต้น ดังนั้นอาจเปลี่ยนวิธีการภาวนา รวมทั้งเสริมการภาวนาด้วยการสวดมนต์ การถวายทาน การอุทิศส่วนกุศล การรักษาศีล สิ่งเหล่านี้ต้องกระทำพร้อมกันไปด้วย แม้ว่าการภาวนามีปัญหาก็อย่าได้หยุดยั้ง ให้กระทำต่อไป ให้การภาวนานั้นกลายเป็นอุปนิสัยต่อไปในภายภาคหน้า ส่วนผลจะเป็นอย่างไรอย่าได้กังวลมาก เพราะพื้นฐานของแต่ละคนนั้นมีกรรมที่เป็นของตนรองรับอยู่
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2006, 7:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกตัวเริ่มหนัก จากนั้นตัวเริ่มชา สมองมึน รู้สึกเหมือนเริ่มจิตเริ่มดิ่งลึก และลมหายใจแผ่วเบาสั้นลงสั้นลง ในขณะที่หัวใจเต้นแรงรัวถี่จนเหมือนจะระเบิดออกมาข้างนอกทุกขณะที่ลมหายใจเบาลงเรื่อยๆ เลยเลิกทำกลัวสมองไม่ได้รับออกซิเจนเพราะไม่หายใจ และขาดออกซิเจน
==========================================

อาการแบบนี้ มีอยู่ 2 กรณี 1. เกิดจาก อาการปิติ 2 เกิดจาก เจ้ากรรมนายเวร มาทวงหนี้กรรม ตอนคุณนั่งสมาธิ

อาการที่เกิดจาก ข้อ 1
เกิดจาก กำลังสมาธิของคุณมีมากกว่าสติ ค่ะ เลยทำให้เกิดอาการดังกล่าว พอมันเกิดขึ้นแล้ว คุณต้องกำหนดสติตามรู้ให้ทัน ถ้าไม่ทันกำหนดเอาเฉพาะที่คุณทันค่ะ (ต้องให้เป็นปัจจุบันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ)

สำหรับทางแก้ ให้แก้ด้วยการเดินจงกลมบ่อยๆ แล้วถ้าเป็นไปได้ ก็ให้กำหนดอิริยาบทย่อยด้วย จะช่วยได้เยอะค่ะ (ตรงอิริยาบทย่อยนี้ มือใหม่ๆ จะกำหนดไม่ค่อยทันค่ะ แต่ถ้าพยามยาม ก็ทำได้แน่ค่ะ)

อาการที่เกิดจาก ข้อ 2
ให้กำหนดแล้วอธิษฐานในใจ ด้วยเจตนาและความตั้งใจนะคะ ว่า "หากอาการเจ็บปวดทรมาน ที่ข้าพเจ้ากำลังได้รับความทรมานอยู่ในขณะ เกิดจากการกระทำที่ข้าพเจ้าไปกระทำกับท่านใดไว้ที่ข้าพเจ้ามิอาจทราบได้ ข้าพเจ้าขออุทิศกุศลแก่ท่าน และข้าพเจ้าขอให้สัจจะกับท่านว่า ข้าพเจ้าจะไม่กระทำที่เป็นการผิดศีลกับใครอีก ขอให้ท่านเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมแต่ข้าพเจ้าด้วยเถอะ"
อธิษฐานเสร็จ ก็กำหนดฐานอารมณ์ของเราตามเดิม (ถ้าอธิฐานด้วยเจตนาที่ตั้งมั่น อาการเหล่านั้นจะบรรเทาลงค่ะ)

สำหรับอาการข้อ 2 จะเป็นอาการที่จะแยกกันไม่ค่อยจะได้เพราะมันใกล้เคียงกับ เวทนาสติ มากค่ะ แต่คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคกระดูก ฯลฯ จะเห็นชัดมากที่สุดค่ะ
 
กรัชกาย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2006, 8:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เหมือนเคยถามทีหลายเดือนแล้ว
ยังไม่หายอีกหรอครับ
คุณกังวลอาการนี้มากไปกระมัง
 
neoman
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ก.พ. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2006, 7:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คงเป็นเพราะ คุณไปเพ่งลมแรงเกินไป และจิตลึกๆ คุณมีความกลัวตายด้วย ก็เลยเป็นแบบนี้

ขอให้คุณไม่ต้องเพ่งลมหายใจแรง ให้จับลมเพียงแผ่วๆ เท่านั้นครับ เพียงแต่อย่าให้ขาดระยะเท่านั้นพอ
ไม่จำเป็นต้องเพ่งแรง คล้ายกับเราจับแก้วน้ำเพื่อจะยกแก้วน้ำ เราก็เพียงแค่จับเบาๆ อย่าไปบีบแก้ว
เพราะแก้วอาจจะแตกบาดมือเราได้ และอย่าจับเบาเกินไป เพราะแก้วอาจหล่นได้

ให้จับเบาๆ แผ่วๆ สบายๆ "และ ไม่ต้องหวังให้มันสงบ ไม่ต้องหวังอะไรทั้งนั้น" ทำจิตเบาๆ
แล้วดูลมเบาๆ นั้นไปเรื่อยๆ และ ไม่ต้องกลัวตาย ลมจะหาย ลมจะขาดไปก็ช่างมัน ทำจิตสบายต่อไป
(แต่ความจริง ไม่มีทางที่เราจะหยุดหายใจ เป็นเพราะจิตเรารู้สึกไปเอง ไม่มีอะไรหรอก
นักปฏิบัติจะเจอแบบนี้แทบทุกคน) ยิ้มแก้มปริ

ถ้าเกิดอาการแบบเดิมอีก ให้ลองยิ้มๆ ในใจเบาๆ มองเห็นว่ามันเป็นเรื่องตลก ที่จิตเราปรุงแต่งไปเอง
เชื่อว่าอาการจะหายไป และจะไม่เกิดอีก (ถ้าเรารู้วิธีแล้ว คราวหลังจะไม่เกิดอาการอีก)
 

_________________
ความสุขหรือความทุกข์ อยู่ใจเราจะคิดเอา ถ้าคิดว่าสุขก็สุข ถ้าคิดว่าทุกข์ก็ทุกข์.
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
หมูบินในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2006, 4:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

--------------------------------------------------------------------------------
อยากรู้วิธีแก้ไขการนั่งสมาธิแล้วไม่ให้ใจเต้นแรงหรือไม่เกิดอันตราย

นั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกตัวเริ่มหนัก จากนั้นตัวเริ่มชา สมองมึน รู้สึกเหมือนจิตเริ่มดิ่งลึก และลมหายใจแผ่วเบาสั้นลงสั้นลง ในขณะที่หัวใจเต้นแรงรัวถี่จนเหมือนจะระเบิดออกมาข้างนอกทุกขณะที่ลมหายใจเบาลงเรื่อยๆ เลยเลิกทำกลัวสมองไม่ได้รับออกซิเจนเพราะไม่หายใจ และขาดออกซิเจน

วอนท่านผู้รู้กรุณาช่วยแนะวิธีแก้ไขไม่ให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ และไม่เกิดอันตราย

1. เลิกกำหนดที่หน้าผาก เปลื่ยนมากำหนดที่ท้อง (ลองดู ขำๆ)
2. กำหนดอย่าให้ช้า ขนาดนั้น ชีพจรที่ดัง กำหนดให้ทัน ไม่ทันนี่ ถ้าทัน แล้วสติ จะดีขึ้นตัวจะเบาไม่หนัก ที่หนัก เพราะกำหนดไม่ทัน
3. กำหนดกายทั้งหมดให้ผ่อนคลาย อยากไปเกร็ง พอเกร็งก็ ให้กำหนดลม ให้มีความเพ่งตามเดิม
แต่อย่าจริงจัง กำหนด ให้คลาย แล้วดูไปอย่า ให้หลุดให้มี คำบริกรรมไว้ ^^

ปล. หาครูบาอาจารย์เถอะ หรือไม่ก็ เดินจงกรมมากๆ กว่าเดิมหน่อย ยิ้มเห็นฟัน
 
เจตสิก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 5:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกตัวเริ่มหนัก จากนั้นตัวเริ่มชา สมองมึน รู้สึกเหมือนเริ่มจิตเริ่มดิ่งลึก และลมหายใจแผ่วเบาสั้นลงสั้นลง ในขณะที่หัวใจเต้นแรงรัวถี่จนเหมือนจะระเบิดออกมาข้างนอกทุกขณะที่ลมหายใจเบาลงเรื่อยๆ เลยเลิกทำกลัวสมองไม่ได้รับออกซิเจนเพราะไม่หายใจ และขาดออกซิเจน

ตอบครับ....ไห้ทวนดูศีลของตนไห้ดีก่อนนะครับว่ามีความบกพร่องอะไรบ้าง และลดความตั้งใจลงบ้างอาการเหล่านี้เกิดแต่ความตั้งใจแรงเกินไป อย่าไปเพ่งในอารมย์ไห้มากเกินไป ควรหายใจเข้า-ออกยาวๆเพื่อผ่อนคลายหรือเลิกนั่งทำใจไห้สบายไปก่อนแล้วค่อยมาทำไหม่อีกครั้งเมื่อเห็นว่าใจดีใจสบายแล้ว เป็นผลข้างเคียงของสมาธิครับ แต่เป็นมิจฉาสมาธิคือสมาธิที่ผิดทางไม่อยู่ในทางสายกลาง สมาธิที่ดีต้องเบาสบายไม่กดไม่ข่มผ่อนคลายปรอดโปร่ง สรุป.....ไม่ตั้งใจมากจนเกินไปนั่งดูลมเข้า-ลมออกไปตามสบายอย่าตั้งเป้าอะไรไว้ก่อนทำไปเรื่อยๆครับ
 
แจมในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 8:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปล. อย่าจริงจัง จนโดนลากไป ละกัน ^^
 
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 3:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมาธิคือการที่ผู้นั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
กามคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
อกุศลธรรม เช่น โลภ โกรธ หลง เป็นต้น
ถ้าเป็นทุกข์เพราะ ใจเต้นแรงบ้าง หายใจไม่สะดวกบ้างน่าจะไม่ถูกต้องแล้วครับ
เป็นเพราะทำไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ คือเห็นชอบ ให้พยายามอบรมความรู้ใน ศีล ธรรม ด้วยการฟังธรรมหรือศึกษาธรรมให้มากๆก็จะเกิดความเห็นชอบก่อน สัมมาสมาธิจึงจะเกิดได้ครับ ไม่ใช่อยากจะมีสมาธิแล้วก็เอาแต่นั่งสมาธิโดยไม่มีพื้นฐานความเข้าใจ หรือความเห็นชอบอย่างนี้ไม่ถูกต้องครับ
 
วายร้ายในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 5:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถึงคุณ อิคิว
1. การที่กายไม่สงบ จิตไม่สงบ นั้นเป็นเพราะ ขันธ์ 5 เป็น อนิจจัง สิ่งที่เป็น อนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็น อนัตตา ตามเรื่อง ที่พระองค์ทรง สอนเรื่อง อริยสัจจ์ 4
ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค การที่เห็นทุกข์ จากการปฏิบัติ ก็เป็นไปตามหลักของ การพิจารณา
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์
2. การที่จะเห็นโทษของสังขารความปรุงแต่งนั้น ก็ต้องพิจารณาว่า กายที่เป็นก้อนทุกข์นี้นะ
ส่งผลให้เกิด โลภ หรือ โกรธ หรือ หลง อาไรบ้าง กายที่สงบจากการปฏิบัตินั้น ถึงควรแก่การพิจารณา
3. ที่กลัว(ในสิ่งที่ยังไม่รู้) เพราะ ไม่พอใจ ที่ไม่พอใจ เพราะถูกลากไป โดยที่กายไม่สงบ
ความเข้าใจ ไม่สามารถที่จะแก้ความกลัวได้ แต่การเจริญเมตตาถึงเป็น ทางที่ควร

ปล. ขำๆ อย่าคิดมาก ^^
 
อิคิว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 มี.ค.2006, 10:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ คือเห็นชอบในอริยสัจจ4 อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค และ สภาพไตรลักษณ์นั้นถูกต้องแล้ว และเมื่อมีความเห็นชอบแล้ว ธรรมอื่นๆ อันได้แก่ ความดำริ ,กาย ,วาจา ,อาชีพ ,ความเพียร ,สติ และสมาธิ จึงจะชอบตาม สมาธิที่เป็นอกุศลธรรมก็มีถ้าขาดความเห็นชอบ คำว่าความเข้าใจหรือความเห็นชอบนั้นคงไม่เหมือนกันเพียงแต่ต้องการสื่อความหมายให้ผู้ศึกษาใหม่ๆเข้าใจง่ายๆถ้าทำให้ผู้อ่านเข้าใจไม่ตรงก็ขออภัยมาในที่นี้ด้วย แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจมาก่อนแล้วจะเห็นชอบได้อย่างไร
สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ สัมมาสมาธินั้นไม่ได้เกิดได้ง่ายๆ ถ้าขาดการเห็นชอบ และปัญญาที่รู้แจ้งในสภาพธรรมอย่างแท้จริง เมื่อปฏิบัติอย่างขาดความเห็นชอบก็จะเป็นทิฏฐิได้เช่นกัน
ทุกข์ เช่น ความไม่สบายกาย และใจ ความปรารถนาเป็นสภาพธรรมที่จะรู้ได้ก็ด้วยการอาศัย สติระลึกได้ สตินั้นระลึกรู้ ในกาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งทำได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องไปนั่งสมาธิจึงจะเกิดสติ แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วเกิดทุกข์ก็ให้พิจารณาสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ยึดติดในตัวตน ก็จะละคลายความทุกข์นั้นเสียได้
ตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์ จะดับทุกข์ได้ก็ดับที่ตัณหา อาศัยความเพียร สัมปชัญญะ สติ ทำให้รู้แจ้งที่เกิด และที่ตั้งของตัณหา ความเห็นชอบในความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรม จึงละคลายตัณหาที่เกิดได้ ตัณหาเกิดที่ใดก็ให้ละเสียที่นั่น
ทำได้เช่นนี้จิตจึงจะเริ่มสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เกิดวิตก วิจาร ปิติ สุข เข้าสู่ปฐมฌาณ
อีกประการ การนั่งสมาธิ ความสงบหรือ ปิติที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงชั่วขณะที่นั่งสมาธิเมื่อหยุดนั่งสภาพธรรมนั้นก็จะดับไปเพราะว่า ปิติก็ดี สงบ หรือสุขเป็นธรรมที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน พอใด้รัยสิ่งกระทบทางตา หู จมูก ก็เกิดอกุศลจิตขึ้นมาได้อีก
 
ขามั่วในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 มี.ค.2006, 6:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เริ่มต้นว่าเป็นการแลกเปลี่ยน ถกธรรม ไม่ได้ตำหนิแต่อย่างใด

1. มิจฉาทิฏฐิ นั้นมาจาก ทิฎฐิวิปลาส / ทิฎฐิวิปลาส นั้นมาจาก สัญญาวิปลาส
สัญญาวิปลาส นั้นมาจาก จิตวิปลาส ฉนั้น หากย้อนไป ถ้าไม่มี จิตวิปลาสมาก่อน ไม่มีเหตุมาก่อน
ก็ไม่มีอาไร ฉันนั้น

2. ตัณหาความอยากนั้น แบ่ง เป็น
ตัณหา 3 (ความทะยานอยาก — craving)
1. กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากได้กามคุณ คือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า — craving for sensual pleasures; sensual craving)
*** กล่าวว่า ก้อนทุกข์นั้น อยู่ในการควบคุม ไม่ให้ซัดส่าย (สงบ) โดยความถึงพร้อม
ยังความไม่ประมาท (จากการฝึกสติปัฐฐาน 4)

2. ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิ หรือ
สัสสตทิฏฐิ — craving for existence)
3. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา อยากทำลาย อยากดับสูญ, ความใคร่อยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ — craving for non-existence; craving for self-annihilation)
*** กล่าวว่า ได้จากการเจริญ ขันติ คือ อดทน
อด-คืออยากแต่ไม่ได้ ทน-คือไม่อยากได้แต่ต้องรับให้ได้
(จากการฝึกให้รู้ ถึง ความพอใจ ไม่ข้องใจ) ^^

3. เมื่อ ความสว่างถึง พร้อมแล้ว ความมืดจะไม่มี ความพอใจมีอยู่ เมตตา มีอยู่ ใจที่ไม่กระด้างมีอยู่ แล้ว ความมืดนั้นจะอยู่ได้ที่ไหน

ปล. ลองอ่านดูนะ ว่าเพื่อน(ธรรม)น่าจะได้ประโยชน์ ซึ้ง
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง