Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ผู้ไม่มีศีล ๕ ย่อมมีแต่ภัยเวร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2006, 11:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ไม่มีศีล ๕ ย่อมมีแต่ภัยเวร

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกะอนาถบิณฑิกคฤหบดี ถึงเรื่องศีล ๕ ว่า ผู้ไม่รักษาศีล ๕ ย่อมจะมีแต่ภัยและเวร ตายแล้วจะต้องตกนรกอีกด้วย ตอนหนึ่งทรงแสดงว่า
“คฤหบดี ! คนผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมประสบภัยเวร ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี ที่เป็นไปในภพหน้าก็มี ได้รับทุกข์ทางใจก็มี เพราะการฆ่าสัตว์เป็นเหตุ เมื่อเว้นจากการฆ่าสัตว์แล้ว ภัยเวรอันนั้นก็ย่อมสงบระงับ
คนผู้มีปกติลักทรัพย์ ย่อมประสบภัยเวร......
คนผู้มีปกติประพฤติผิดในกาม ย่อมประสบภัยเวร.....
คนผู้มีปกติพูดเท็จ ย่อมประสบภัยเวร.....
คนผู้มีปกติดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ย่อมประสบภัยเวร ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี ที่เป็นไปในภพหน้าก็มี ได้รับทุกข์ทางใจก็มี เพราะการดื่มสุราเป็นเหตุและปัจจัย เมื่อเว้นจากการดื่มน้ำเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ภัยเวรอันนั้นย่อมสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้”

เวรภยสูตร ๑๙/๔๓๘

ศีล ๕ อันเป็น “กฎปกติพื้นฐานของสังคม” ผู้ใดปฏิบัติได้ นอกจากตนเองจะปลอดจากภัยและเวรทั้งปวงแล้ว ยังมีผลไปถึงส่วนรวม ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
โปรดพิจารณาดูความไม่ปกติสุข ของสังคมในปัจจุบัน จะเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดเพราะการขาดศีล ๕ เป็นส่วนใหญ่หรือหลักใหญ่ ไม่ข้อใดข้อหนึ่งก็หลายข้อไม่อาจจะเลี่ยงพ้นไปได้
ฉะนั้น ผู้รักความสงบและรักความสุข ก็ขอให้พยายามช่วยกันรักษาศีล ๕ ให้มากๆ เถิด โดยมุ่งที่ตัวเราเองก่อน รักษาไม่ได้หมดทั้ง ๕ ข้อ ก็ให้พยายามงดเว้นไปทีละข้อ ๆ ข้อใดงดเว้นง่าย สะดวก ก็ควรงดเว้นก่อน แล้วค่อยพยายามเพิ่มขึ้นทีละข้อ ก็จะครบทั้ง ๕ ข้อ ได้โดยไม่ยากเย็นเลย
ถ้าจะรอไว้ให้มีโอกาส งดเว้นทีเดียวทั้ง ๕ ข้อ บางทีชาตินี้ทั้งชาติ ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้รักษาเลย แม้แต่ข้อเดียว

(จากหนังสือพระไตรปิฎก ฉบับดับทุกข์ ปี 2524 โดยท่านธรรมรักษา)

ที่มา คุณกานต์
 
วิทยา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 มี.ค.2006, 7:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

--------------------------------------------------------------------------------
ความหมายของศีลกว้างขวางมาก
อ่านดูแล้วตัดสินได้เองว่า ผิดศีลหรือไม่

-ศีลมิใช่หมายเพียงความประพฤติดีงามสุจริตทางกาย และทางวาจาเท่านั้น แต่หมายถึงอาชีวะสุจริตด้วย
-สาระของศีลอยู่ที่เจตนา ได้แก่การไม่คิดล่วงละเมิด
คำว่าละเมิด แง่หนึ่งคือ ละเมิดระเบียบ ละเมิดกฎเกณฑ์ บทบัญญัติ ละเมิดวินัยที่วางกันไว้
อีกแง่หนึ่ง คือละเมิดต่อผู้อื่น หมายถึงเจตนาที่จะเบียดเบียนผู้อื่น
-ศีล จึงหมายถึงการไม่เจตนาละเมิดระเบียบวินัย หรือการไม่เจตนาล่วงเกินเบียดเบียนผู้อื่น
ถ้ามองแต่อาการ หรือการกระทำ ศีล ก็คือความไม่ละเมิดและการไม่เบียดเบียนกัน
-มองอีกด้านหนึ่ง ศีลอยู่ที่ความสำรวมระวัง กล่าวคือ การสำรวมระวังคอยปิดกั้นหลีกเว้นไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นนั่นเองเป็น ศีล และถ้ามองให้ลึกที่สุด สภาพจิตของผู้ไม่คิดจะละเมิด ไม่คิดจะเบียดเบียนใครนั่นแหละ คือตัว "ศีล"

-ศีลนั้น อาจจะมองในแง่ของระเบียบวินัย เพื่อสร้างสังคมที่เรียบร้อยอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข
เป็นสภาพเกื้อกูลแก่การดำเนินชีวิต และปฏิบัติกิจของสมาชิกทั้งหลายก็ได้
-มองในแง่ของความประพฤติดีงามของบุคคล ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับผู้อื่น เป็นผลดีแก่ชีวิตของตัวเขาเองและคนอื่นทั้งหลายก็ได้
-มองในแง่เครื่องมือคุมความประพฤติทำให้กายวาจาเรียบร้อยงดงามอยู่ในระเบียบก็ได้
-มองในแง่เป็นข้อปฏิบัติ สำหรับกำจัดกิเลสขั้นหยาบที่แสดงออกทางกายวาจา ขัดเกลาคนให้ประณีตขึ้นก็ได้
-มองในแง่เป็นข้อปฏิบัติ สำหรับฝึกอบรมกายวาจาและอาชีวะให้อยู่ในสภาพพร้อม ที่จะเป็นพื้นฐานของการฝึกปรือคุณภาพจิต และการใช้สมรรถภาพของจิตอย่างได้ผลในระดับสมาธิ ก็ได้
-มองในแง่เป็นสภาพปกติทางกายวาจาและอาชีวะของผู้ที่มีชีวิตดีงาม หรือคนที่ได้รับการฝึกอบรมดี มีการศึกษาแท้จริง บรรลุภูมิธรรมอันสูงแล้วก็ได้

-โดยย่อที่สุด แบ่งศีลได้เป็น 2 ระดับ
1) ธรรมขั้นศีล ได้แก่ หลักความประพฤติระดับกายวาจาและอาชีวะที่นำมาแนะนำสั่งสอน โดยถือเอาภาวะที่ควรจะมี ควรจะเป็นตามธรรมชาติเป็นหลัก และผู้ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืน ย่อมได้รับผลดีหรือชั่ว โดยรับผิดชอบต่อกฎธรรมดาของธรรมชาติเองโดยตรง
-อีกอย่างหนึ่งหมายถึงการปฏิบัติตามขั้นศีลก็ดี ตามวินัยก็ดี ที่กลายเป็นความประพฤติประจำตัวของบุคคลแล้ว

2) วินัยเป็นศีล ได้แก่ กฎระเบียบข้อบังคับที่กำหนดวางกันขึ้นเป็นบัญญัติทางสังคม เพื่อกำกับความประพฤติของบุคคล ตามความมุ่งหมายจำเพาะของหมู่ชน หรือชุมชนนั้น โดยมากมุ่งเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และผู้ฝ่าฝืน (มักจะ) ต้องได้รับโทษตามความรับผิดชอบต่อชุมชนหรือสังคมนั้นอีกชั้นหนึ่งต่างหาก จากผลทางจิตใจตามกฎธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งหมายถึง วิธีฝึกให้คนมี ศีล
.......
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง