|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
snow
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.พ.2006, 4:57 pm |
  |
"พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอนัตตา
ถ้าเป็นเช่นนั้น กรรมดีหรือชั่วจะมีผลต่อคนเราได้อย่างไร
เพราะกรรมดีกรรมชั่วย่อมถูกต้องใครไม่ได้
และเราก็ไม่มีตัวตนคือเป็นอนัตตา? "
พอดีว่าอาจารย์ศาสนาให้มาค้นคว้าหาคำตอบน่ะค่ะ
รบกวนเพื่อนสมาชิกด้วยนะคะ
ขอบคุงล่วงหน้าสำหรับทุกความคิดเห็นค่า |
|
|
|
|
 |
เขม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.พ.2006, 6:02 pm |
  |
เกิดความสับสนระหว่างสมมุติกับสภาวะหรือปรมัตถ์
แยกตอบว่า อะไรเป็นสมมุติ เป็นอะไรเป็นสภาวะ
-ก้อนเนื้อที่มี 5 ปุ่ม คือ หัว 1 แขน 2 ขา 2 เป็นสภาวะ
ชื่อ สโนว์ เป็นสมมุติ ซึ่งตั้งขึ้นใช้เรียกสภาวะนั้น เพื่อสะดวกในการสื่อสาร ให้เข้าใจกันในหมู่ชาวโลก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ากระไร
-สภาวะหรือปรมัตถ์นั้นแหละพุทธะสอนว่าเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย เกิดแต่เหตุ ต่างอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น หมายถึงว่าสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี ฯลฯ
เป็นไปโดยธรรมชาติ... ผู้ทำกรรมไม่มี ผู้เสวยผลก็ไม่มี มีแต่ธรรมล้วน ๆ ย่อมเป็นไป...
-แต่มนุษย์เองเข้าไปยึดติดถือมั่นในสมมุติ "สโนว์" เป็นต้นว่า เป็นเรา (อัตตา) เป็นเขา เป็นนายกอ. นายขอ. อย่างเหนียวแน่น
-เมื่อมนุษย์ยึดถือรับเอาสมมุติเข้าแล้ว ก็ต้องรับสมอ้างเป็นเจ้าของผู้ทำ และผู้ถูกกระทำด้วยไปตามเรื่อง
-แต่จะสมมุติหรือไม่สมมุติ จะรับสมอ้างหรือไม่รับ กระบวนธรรมที่เป็นตัวสภาวะความจริงก็เป็นไปอยู่ตามกฎธรรมดา ตามเหตุปัจจัยของมันนั่นเอง
ข้อสำคัญก็คือว่า จะต้องรู้เท่าทัน แยกสมมุติกับตัวสภาวะออกจากกัน ของอันเดียวกันนั่นแหละ เมื่อใดจะพูดถึงสภาวะก็พูดไปตามสภาวะ เมื่อใดจะใช้สมมุติ ก็พูดไปตาม
สมมุติ ฯลฯ (สาระสำคัญมีเท่านี้)
-ขอขยายความหน่อย
-คำถามเรื่องกรรมดีหรือชั่วกับอนัตตาขัดกันหรือไม่ ? (ตอบว่าไม่ขัดกันหรอกแต่ควรแยกประเด็นตอบ)
ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา คนเรากายและใจเป็นอนัตตา กรรมจะมีได้อย่างไร ? ใครจะเป็นผู้ทำกรรม ? ใครจะรับผลกรรม ?
ความสงสัยในเรื่องนี้มิใช่มีแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งพุทธกาลก็ได้มีแล้ว
ดังภิกษุรูปหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นว่า
"ทราบกันว่า รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ (ขันธ์ 5) เป็นอนัตตา, แล้วดังนี้ กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จักถูกต้องตัว (เรา)ได้อย่างไร ?"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เป็นไปได้ที่คนขลาบางคนในธรรมวินัยนี้ มีใจตกอยู่ในอวิชชา ถูกตัณหาครอบงำ อาจสำคัญว่าคำสอนของพระศาสดาเป็นสิ่งที่พึงคิดไกลล้ำเลยไปได้ว่า
"ทราบกันว่า รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ เป็นอนัตตา, แล้วดังนี้ กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จักถูกต้องตัวได้อย่างไร ?"
เธอทั้งหลาย อันเราแนะนำอย่างถี่ถ้วน ด้วยการทวนถาม ในข้อธรรมทั้งหลาย ในเรื่องราวทั้งหลายแล้ว จะสำคัญเห็นเป็นไฉน รูป เที่ยงหรือไม่เทียง ?
"ไม่เทียง พระเจ้าข้า"
"เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เทียง ?"
"ไม่เทียง พระเจ้าข้า"
"สิ่งใดไม่เทียง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ?"
"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"
"สิ่งใดไม่เทียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือจะมองเห็นสิ่งนั้นว่า "นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา ?"
"ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า"
"เพราะเหตุนั้นแล รูป, เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ฯลฯ ก็เป็นแค่รูป เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอทั้งหลายพึงมองเห็นตามที่มันเป็น ด้วยสัมมาปัญญา อย่างนี้ อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ มองเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมหายติดใน รูป เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ ฯลฯ ย่อมหลุดพ้น กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี"
(...ท่านเปรียบเหมือนสายน้ำที่ไหลไปๆ ดินที่กระแสน้ำไหลผ่านมีสีแดงบ้าง สีอื่นๆ บ้าง ขณะที่เรามอง น้ำเก่าก็ไหลผ่านเลยไป น้ำใหม่ไหลเข้ามาแทน ฯลฯ ไม่ขาดสาย
ตามเหตุปัจจัยของมัน ฯลฯ)
-ตัวสภาวะและสมมุติเป็นสิ่งจำเป็น ตัวสภาวะเป็นเรื่องของธรรมชาติ ส่วนสมมุติเป็นเรื่องของประโยชน์สำหรับความเป็นมนุษย์ แต่ปัญหาเกิดขึ้น
เพราะมนุษย์เอาสภาวะกับสมมุติมาสับสนกัน คือ เข้าไปยึดเอาตัวสภาวะจะให้เป็นตามสมมุติ จึงเกิดวุ่นวายขึ้น ตัวสภาวะไม่วุ่น เพราะมันเป็นไปอย่างนั้นเอง
ตามปกติธรรมดา ไม่เกี่ยวกับใครจะไปยึดหรือไม่ มนุษย์เป็นผู้วุ่นไปฝ่ายเดียว และเพราะมันไม่วุ่นด้วย มนุษย์จึงยิ่งวุ่นไปกันใหญ่
เพราะขัดความปรารถนาถูกบีบคั้นจึงเกิดเป็นปัญหาแก่มนุษย์เอง ฯลฯ
เห็นได้ว่าภิกษุที่เกิดสงสัยขึ้น เอาความรู้เกี่ยวกับสภาวะตามที่ตนได้ฟังมาเรียนมา ไปสับสนกับสมมุติที่ตนยึดถืออยู่ จึงเกิดความงุนงงว่า...
"....ฯลฯ กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จักถูกต้องตัวได้อย่างไร ?" ท่อนแรกพูดตามความรู้เกี่ยวกับสภาวะ ท่อนหลังพูดตามสมมุติที่ยึดถืออยู่เอง จึงขัดกันเป็นธรรมดา
เหมือนปัญหาที่อาจารย์ศาสนาให้หนูมาหาคำตอบนั่นแล |
|
|
|
|
 |
.
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.พ.2006, 8:00 pm |
  |
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ท่านให้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงโดยไม่ให้จิตเข้าไปปรุงแต่งให้เห็นว่า สิ่งที่เราเรียกว่า เรา หรือ สัตว์บุคคล นั้น เป็นเพียงการประกอบกันของขันธ์ทั้งหลาย ทั้งส่วนที่เป็นกายและส่วนที่เป็นใจ เป็นสิ่งที่ทำงานประสานเชื่อมโยงอิงอาศัยกันและกัน อยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ตามกฎแห่งเหตุและผล กับให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ยั่งยืน คงที่และเป็นอมตะ
ส่วนผลของกรรม ของสัตว์ทั้งหลายก็เกิดจาก ความเป็นเหตุเป็นปัจจัยในสรรพสิ่ง ในที่ทั้งปวง คำสอนในเรื่อง อนัตตา นี้ เป็นความจริงแท้ ความเชื่อผิด ๆ ใน อนัตตา ที่เกิดจากจินตนาการในสิ่งที่ไม่มี ว่ามี นั้นต่างหาก ที่เป็นความเชื่อที่ผิด คำสอนในเรื่องอนัตตานี้ ย่อมขับไล่ความมืด คือความเชื่อที่ผิด ๆ ทั้งหลายออกไปและก่อให้เกิดแสงสว่างคือ ปัญญา |
|
|
|
|
 |
ผ่านมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.พ.2006, 9:33 am |
  |
นาย ก. ทรมานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา กรรมชั่วหรือบาปย่อมสำเร็จ และวิบากกรรมย่อมให้ผลแก่นาย ก. อย่างแน่แท้
นาย ก. ในภพชาตินี้ หรือภพชาติหน้าโน้นๆ ก็ต้องรับวิบากกรรมนี้ อย่างไม่อาจอีกเลี่ยงได้
เช่นว่า นาย ก. ทุกข์ร้อนใจเป็นอาจิณ หวาดกลัวถูกตามฆ่าล้างแค้น เกรงกลัวเจ้าหน้าที่ของรัฐมาจับตัวไป กลัวคนอื่นๆล่วงรู้ความผิด ฯลฯ ยิ่งกว่านี้ หากวิบากกรรมให้ผลเร็ว นาย ก.อาจถูก ทรมานกระทั่วถึงแก่ความตายในภพชาตินี้ และอีกหลายๆชาติในอนาคต
วิบากกรรมที่ให้ผลแก่นาย ก. ทำให้ทุกข์ใจ ทุกข์กายนี้ ทั้งปัจจุบันและอนาคตนั้น นาย ก. ย่อมทุกข์ร้อนกายใจ
กายใจที่ทุกข์ร้อนนี้ เป็นของนาย ก.
กายใจของนาย ก. หรือที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ นี้ ย่อมก่อทุกข์ให้แก่นาย ก. เอนกอนันต์ ไม่มีวันสิ้นสุด
ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นสังขตธรรมนี้ คือ ธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่ง
ขันธ์ ๕ จำแนกได้เป็น รูป กับ นาม หรือรูปนาม
ก็รูปนามนี้ เป็นอนัตตา คือ ไม่มีตัวตนที่แท้
ไม่มีตัวตนที่แท้ คือ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา
ไม่มีตัวตนที่แท้ เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับของ นาย ก.
ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตลอดเวลา(จิตเกิดดับตลอดเวลา เซลล์ในร่างกายก็เกิด/ตายเ ปลี่ยนแปลงตลอดเวลา)
ไม่มีตัวตนที่แท้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลง ตัวตน ตลอดเวลา
ขันธ์ ๕ ที่เป็นรูปนามนี้ อาศัยอำนาจแห่งความไม่รู้หรืออวิชชา จิตของนาย ก. ก็ย่อมยึดถือเอาว่าเป็นขันธ์ ๕ ของตน
เมื่อเกิดอุปาทานขันธ์ ย่อมเกิดกิเลส ก่อให้เกิดกรรมใหม่ และวิบากกรรมใหม่อื่นๆต่อไป ไม่สิ้นสุด คือ ไตรวัฏฏ์ของกิเลส กรรม วิบาก
พลันที่นาย ก. ยึดถือในรูปนามแห่งตนนี้
การที่ นาย ก. จะโกรธเกลียดคนที่ตามมาฆ่าตนเอง หรือกลัวถูกตามฆ่า/ลงโทษ เพราะความหลงรักขันธ์ ๕ ที่ยึดถือว่าเป็นของตนเองนี้ ย่อมก่อให้เกิดความโกรธเกลียด ก่อกรรมใหม่ๆทางกายวาจาใจใหม่ ไม่สิ้นสุด
(การฆ่าผู้อื่น เกิดขึ้นเพระเหตุยึดถือในขันธ์ ๕ ของตนเอง เช่น ตนเองโลภทรัพย์ผู้อื่น ฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง สำคัญว่าตนเองถูกด่า ตนเองถูกให้ร้าย ญาติของตนถูกข่มเหง ฯลฯ จึงฆ่าผู้อื่น เพราะสำคัญยึดมั่นใน ตนเอง)
แม้เมื่อเกิดในภพชาติใหม่ ความไม่รู้ในวิบากกรรมเดิม ก็ย่อมพาลโกรธเกลียดเจ้ากรรมนายเวร ที่ตามมาล้างแค้นราวี เป็นกรรมใหม่ วิบากกรรมใหม่ ไม่สิ้นสุด
วิบากกรรมให้ผล?
แต่จิตนาย ก. นั้นเกิดดับตลอดเวลา วิบากกรรมย่อมให้ผลแก่นาย ก.
เพราะ"จิตนี้"เคยก่อบาปไว้ จิตนี้ ในภพชาติใหม่ รูปกายใหม่ วิบากกรรมนั้นก็ยังติดตามให้ผลอย่างซื่อสัตย์
จริงอยู่ คำว่า"จิตนี้" ก็ไม่ใช่จิตเดิม เพระจิตนั้นเกิดดับตลอดเวลา คำว่าจิตนี้ จึงหมายเอาเพียงจิต"ปัจจุบัน"ที่ สืบสันตติมาจากอดีต และมีรูปกายนี้ เป็นเครื่องมือเป็นที่อาศัยให้จิตทำงาน
และคำว่า "ปัจจุบัน"นั้น เป็นระยะเวลาที่สั้นมากกว่านาโนวินาทีมากๆ เราจึงยึดฉวย "ปัจจุบัน"เอาไว้ไม่ได้เลย
เมื่อจิตนี้ ซึ่งเป็นจิตเดิมก็ไม่ใช่ จิตใหม่ก็ไม่ใช่ ดำรงอยู่ วิบากกรรมย่อมติดตามให้ผลเป็นธรรมดา...
อุปมา นำเมล็ดมะม่วงมาปลูก งอกงามเติบโต ออกดอกผล ผลมะม่วงที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่มะม่วงเมล็ดเดิม แต่ก็สืบเนื่องมาจากเมล็ดนั้น แต่ทั้งต้นมะม่วงและเมล็ดมะม่วง ก็มีตัวตนอยู่จริงๆ
รูปกับนามในภพชาติใหม่เช่นกัน เป็นรูปนามเดิมก็ไม่ใช่ เป็นรูปนามใหม่ก็ไม่ใช่ เพราะมันสืบสันตติกันไปไม่สิ้นสุด
อนัตตา กับ กรรม(และวิบากกรรม)จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ขัด/แย้งกันเลย |
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |