Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 " การบำบัดทางจิตแนวพุทธ " อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สนธยา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2006, 2:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีความสงสัยมานานแล้วว่าผู้ที่มีอาการป่วยทางจิตหรือโรคประสาท(ตั้งแต่ระดับอ่อนๆถึงระดับรุนแรง)จะสามารถรักษาโดยการภาวนาแนวพุทธได้หรือไม่ เพราะที่พอจะเข้าใจคือศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นเรื่องของธรรมชาติโดยตรงโดยเฉพาะในทางด้านจิตใจ และเท่าที่มีความรู้อยู่บ้างมีประวัติว่ามีผู้ที่มีอาการทางจิตประสาทสามารถหายได้จากแนวทางดังกล่าว คือตามความเข้าใจของผมผู้ที่มีอาการทางจิตประสาทเกิดจากระบบการใช้ชีวิต ระบบความคิด หรือประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ที่ทำให้เกิดความผิดปกติต่อระบบเคมีภายในสมอง อาทิเช่นนางปฎาจาราที่ประสบกับความพลัดพรากชนิดที่ไม่ทันตั้งตัวจนขาดสติจนกระทั่งได้พบกับองค์ศาสดา หรือจะเป็นกรณีอื่นๆอีกหลายกรณี แต่ที่น่าแปลกคือทั้งที่ประเทศเราเป็นประเทศที่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมีสถาบันสงฆ์ที่ใหญ่โตแต่มีคนที่จะสนใจเอาภูมิปัญญาด้านนี้มาใช้น้อยมากจึงมีข้อสงสัยเรียนถามว่า
1.การภาวนาแนวพุทธสามารถบำบัดโรคดังกล่าวได้รือไม่ ถ้าได้ จะได้ผลในระดับไหน
2.หากได้ผลทำไมจึงไม่ค่อยมีคนสนใจนำมาใช้ทั้งในด้านรักษา และป้องกันไม่ให้เกิด ขอบพระคุณครับ
 
จ๋อมแจ๋ม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2006, 3:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

1. ถ้าจะพูดตรงๆว่าศาสนาพุทธรักษาโรคจิตได้ตรงๆ ก็ไม่ค่อยจะถูกนัก..ขอออกตัวไว้ก่อนว่าศาสนาพุทธช่วยได้..แต่คำสอนสูงสุดของพระพุทธองค์ท่าน สอนให้ชาวพุทธพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด......ในที่นี้ผมก็ตอบว่าได้แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างเช่นผู้ให้กับผู้รับ ผู้ให้เต็มใจให้ก็จริงอยู่..แต่ผู้รับละพร้อมหรือยัง พร้อมแค่ไหน จะได้ผลระดับไหนก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่าย แต่ผมว่าขึ้นอยู่กับผู้รับมากกว่าและระดับความรุนแรงของโรค และจังหวะเวลา
(เหมือนแม่เหล็กสองก้อนจับมาวางไว้ใกล้กัน ถ้าถูกขั้วก็ติด ผิดขั้วก็กระเด็น)

2. ทุกวันนี้ก็มีอยู่การรักษาแนวพุทธ ก็มีอยู่ แต่ผมว่าการตั้งใจของ ผู้รับการรักษายังน้อย แต่ผู้ที่มีความพร้อม เต็มใจที่จะให้มีมาก
 
เขม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2006, 12:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระตถาคตสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์เท่านั้น สาธุ
ทุกขอริยสัจมี 4 คือ 1. ทุกข์ 2. สมุทัย 3. นิโรธ 4. มรรค (ทุกข์เป็นตัวผล สมุทัยเป็นตัวเหตุ นิโรธเป็นตัวผล มรรคเป็นตัวเหตุ)
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

ทุกข์มี 2 คือ ทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจ (เรียกง่ายๆ ว่าโรคทางกายและโรคทางใจ)
สมมุติว่าเมื่อความทุกข์เกิดขึ้นแก่เรา.... พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดรู้ รู้แล้วสาวไปให้ถึงต้นตอของปัญหา คือ สมุทัยที่เป็นเหตุแห่งทุกข์หรือปัญหา
(สมุทัย=ตัณหาๆ มี 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา= อยากจะเป็นอย่างนั้น ไม่อยากเป็นอย่างนี้ ฯลฯ )
ซึ่งเป็นตัวก่อทุกข์

(อุปมาดังเถาวัลย์พันคอเรา ให้จับเถาวัลย์สาวไปๆ สาวให้ถึงโคนแล้วขุดรากถอนโคนฉะนั้น)

พบสมุทัย แล้วให้ดับ (นิโรธ) ด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 คือสัมมาทิฏฐิเป็นต้น...(เมื่อเหตุคือสมุทัยดับ ผลคือทุกข์ก็ดับ=เหตุนิโรธ ผลก็โรธ)
ท่านเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า "พระนิพพาน"
เรียกผู้เข้าถึงสภาวะนี้ว่า พระโสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง พระอรหันต์บ้าง

พระนิพพาน มี 2 คือ (เน้นว่า นิพพานในความหมายของพุทธะ)

1. พระนิพพานของพระอรหันต์ ที่กิเลสนิพพานหมดแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ (สอุปาทิเสสนิพพาน)

2. พระนิพพานของพระอรหันต์ที่กิเลสนิพพานหมดแล้ว ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว (อนุปาทิเสสนิพพาน)

พระอรหันตสาวกทั้งหลายท่านก็มีกายมีจิตใจอย่างเราๆ ชาวโลกทั้งมวลนี่แหละ คำสอนของพระพุทธศาสนาจึงเป็นสากล
สิ่งที่ท่านกำหนดรู้ก็อยู่ในกายและจิตนี่เอง
สมัยแรกๆ พระพุทธเจ้าสอนเน้นเรื่องจิตเป็นพิเศษ
ต่อเมื่อกาลล่วงไปๆ สาวกเพิ่มมากขึ้นๆ จึงสอนให้หลากหลายเพื่อปรับระดับคำสอนให้เหมาะแก่ผู้ฟัง

จึงได้คำตอบว่า
1. พระพุทธเจ้าเป็นนักจิตวิทยาเอกของโลกไม่มีผู้ใดเทียบ ว่าโดยระดับสูงสุดคืออรหัตตผล นี่สุดยอดเลย
2. จิตแพทย์ตามโรงพยาบาลก็ทำกันอยู่

ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจเพราะ
1. ไม่ค่อยมีผู้สอนมือฉกาจ ทั้งไม่ค่อยมีผู้คนพูดถึง
2. รู้ได้ยากทั้งๆที่ตนก็มีจิตอยู่แล้วนี่แหละ
3.สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือตัวอัตตา พอเกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็คิดว่า ตนเองเป็นเจ้าของความคิดนั้น
คือคิดอะไรขึ้นมาก็หลงไปว่า มีเราเป็นผู้คิดเสียทุกเรื่อง นั่นแหละอัตตาตัวตนซึ่งเป็นมหาอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง คือเขาตามความคิดไม่ทัน
ปลีกย่อยมีเยอะครับ ....
แต่เหตุจริง ๆ มีนิดเดียวคือตามความคิดไม่ทัน สาธุ
...................................................................
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง