Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หูทิพย์จริงหรือหลอก อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เวบอื่น
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2006, 3:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เนื้อความ : (น้องในธรรม)
อ้างอิง มีเพื่อนชาวต่างชาติในปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน
แล้วเริ่มพูดกับตัวเอง เขาบอกว่าเป็นเสียงของธรรมะ
ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป
อยากจะสละโน่นนี่ อยากทำงานช่วยคนอื่น
ใครพอมีคำแนะนำบ้างคะ ว่าเขาปกติดีไหม
เพราะตอนนี้เริ่มเก็บตัว ไม่ไปทำงาน ไม่ค่อยติดต่อกับใคร
มีทางแก้อย่างไงบ้าง เพราะเขาพูดกับเสียงนั้นบ่อยมาก
จะรู้ได้อย่างไงว่าเป็นเสียงเทพหรือเสียงมาร

จากคุณ : น้องในธรรม [ ตอบ: 03 ก.พ. 49 14:01 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 4 | ฝากข้อความ |
 
copyma
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2006, 5:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถามว่า " พระโยคาวจรข่มจิตในสมัยที่ควรข่มอย่างไร " วิสัชนาว่า ในกาลใดจิตของเธอฟุ้งซ่านเพราะเหตุมีความเป็นผู้ปรารภความเพียรเกินไปเป็นต้น ในกาลนั้นอย่าเจริญสัมโพชฌงค์ ๓ มีธรรมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นอาทิ แล้วเจริญสัมโพชฌงค์ ๓ มีปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นต้น จริงอยู่ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่างว่าบุรุษใคร่จะดับกองไฟใหญ่ ( หาก ) เขาใส่หญ้าแห้งๆ ลงไป ใส่มูลโคแห้งๆ ลงไป ใส่ฟืนแห้งๆ ลงไป เป่าเข้าไป และไม่เอาฝุ่นโปรยลงไปที่กองไฟนั้น ภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นจะอาจดับไฟกองใหญ่ ( นั้น ) ได้หรือหนอ " ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า " ข้อนั้นหามิได้ พระพุทธเจ้าข้า " ตรัสต่อไปว่า " ฉันนั้นนั่นแล ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใดจิตฟุ้งซ่านอยู่ ในสมัยนั้น ( กาลนั้น ) มิใช่กาลที่จะเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลที่จะเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลที่จะเจริญปีติสัมโพชฌงค์ นั่นเพราะเหตุอะไร ภิกษุทั้งหลาย ( เพราะ ) จิตฟุ้งซ่านอยู่ อันจิตฟุ้งซ่านนั้นยากที่จะทำให้สงบลงได้ด้วยธรรมเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็แลในสมัยใดจิตฟุ้งซ่านอยู่ ในสมัยนั้น ( กาลนั้น ) เป็นกาลที่จะเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลที่จะเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลที่จะเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
http://www.geocities.com/SouthBeach/Terrace/4587/visuthi1-2p111-120.htm
 
เขม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2006, 9:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

-สังคมมนุษย์วุ่นวายมากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็หันมาปฏิบัติคือฝึกจิตหรือเจริญภาวนากันมากขึ้น แต่ผู้ ซึ่งให้คำแนะนำแก่โยคีผู้สนใจให้เดินถูกต้องปฏิบัติถูกทางมีไม่มากนัก น่าเป็นห่วงจริง ๆ โดยเฉพาะชาวต่างชาติด้วยแล้ว เขาจะทำจริงจังมาก ๆ มีความเชื่อดิ่งลงในการปฏิบัติอย่างไม่ลังเล

-เป็นมารครับ มารในที่นี้คือกิเลสมาร มันลวงให้หลงแล้วล่ะ
จะแก้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ตามวันเวลา ถ้าปล่อยให้อาการนี้เป็นนาน ๆ เขาจะเชื่อความคิดของเขาเอง จนเป็นทิฏฐิส่วนตนไปเลย
ต่อให้ใครว่า เขาบ้าเขาเพี้ยน ก็ไม่ฟังครับ
ทางแก้มีอยู่ 2 ทาง คือ
1. หยุดทำคือเลิกทำไปเลย ไม่ต้องนึกถึงอีก (แต่วิธีนี้คิดว่า...เค้าไม่ยอมหรอก เพราะเขาเชื่อว่า เสียงที่ได้ยินคือเสียงธรรมะ ยึดธรรมะเข้าให้แล้ว)
2. ทำต่อไป คือทำให้ล่วงพ้นสภาวะนี้ไปก็จะหายเอง (แต่ต้องได้ผู้แนะนำผู้คงแก่การปฏิบัติจริง ๆ)


-สิ่งที่คุณควรช่วยคือพาเพื่อนผู้นี้ไปหาอาจารย์ที่ให้อารมณ์กรรมฐานเค้าครั้งแรก เพราะเป็นผู้ที่เพื่อนคุณศรัทธาและเชื่อฟัง (...ไปรับวิธีฝึกมาจากอาจารย์อะไร และวิธีไหน อยากรู้จัง)

-ไม่เป็นผลดีเลยที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแก่ผู้ฝึกจิตเจริญภาวนา กาลต่อไปผู้ที่สนใจจะเข้ามาปฏิบัติดูบ้าง จะเกิดระแวงหวาดหวั่นไม่กล้าทำก็เป็นได้ เกิดผลเสียต่อการปฏิบัติโดยรวม
 
jo_swu
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2006, 8:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิง มีเพื่อนชาวต่างชาติในปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน
แล้วเริ่มพูดกับตัวเอง เขาบอกว่าเป็นเสียงของธรรมะ
ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป
อยากจะสละโน่นนี่ อยากทำงานช่วยคนอื่น
ใครพอมีคำแนะนำบ้างคะ ว่าเขาปกติดีไหม
เพราะตอนนี้เริ่มเก็บตัว ไม่ไปทำงาน ไม่ค่อยติดต่อกับใคร

เป็นปกติของผู้ปฏิบัตินะ ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ผู้ที่รู้ ก็จะปล่อย ผู้ที่ยังไม่ปล่อยก็เพราะยังไม่เห็นโทษ
เป็น 2 ระดับนะที่พบ บ่อยๆ แต่ถ้าเขาเจริญเมตตา ก็ อนุโมทนา จะผ่านไปได้เอง หรือ ขอเพียงมีศีล เพียงเล็กน้อย ก็ผ่านได้แล้ว แต่ถ้าไม่มี ก็ เรียกได้ว่าจะน่าเป็นห่วงมาก

เป็นเพียงพูดคนเดียว ก็ไม่ต่างจากเด็กเล็กเล่น ไม่มีภัยอะไร แต่ถ้าเป็นระดับหลัง คือได้ยิน
แล้วแยกไม่ออก ทั้งอยู่ กับตัวเอง และอยู่กับผู้อื่น แต่ ถ้าพอใจ ก็ จะเป็นของสนุกไป
แต่ถ้าไม่พอใจ ก็ ไม่ ต่าง จากคนกินยาบ้า จะเริ่ม กลัว จะเริ่มปกป้อง ตัวเอง

ช่วงนี้จะระแวงไปหมด ทุกคน แม้จะยิ้ม แค่ไหนพูดดี แค่ไหนก็จะขุ่น เหมือนโกรธ กันมานาน

แต่ถ้า ไม่ติดยินดี กับ เสียง เมื่อนั้นก็จะ สงบ (เนื่องจากเห็นโทษจากสังขาร-ความปรุงแต่ง)

ปล. ผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็ขออนุโมทนา กับ ฝรั่ง คนนั้น แล้วขอให้เว้นจากการนั้ง มาเป็นเดินแล้ว ก็เดิน เดินมากๆ เจริญสติ จะได้ของดี ของคม เหมือน ตีดาบเมื่อ ร้อนๆ
 
...................
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.พ.2006, 6:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความคิดเห็นที่ 10 : (:-D) อ้างอิง |

ต้องขอบอกก่อนนะคะว่า มาให้ข้อมูลที่เคยพบมาเท่านั้น
แต่ไม่ขอตัดสินในเรื่องของเพื่อนของคุณ

มีคนบางคนที่ปฏิบัติธรรมแล้ว สมาธิดีมาก
เกิดได้ยินเสียงแบบนี้
แรก ๆ จะแม่นมาก
แต่พอสนใจมัน และคิดว่าตนเองมีญาณวิเศษ
(ก็มันแม่นจริง ๆ นี่คะ)
ก็จะค่อย ๆ มีสิ่งที่เพี้ยนไป
เริ่มรับรู้อะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับความจริง

ถ้ารู้สึกตัว ก็จะหาทางแก้ไขได้ทัน
ก็จะไม่มีปัญหาอะไรค่ะ
เป็นแค่หลงไปกับสิ่งที่รู้เห็นชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

แต่บางคนก็จะไปแบบกู่ไม่กลับ
มีอาการทางจิตตามมา

ซึ่งกรณีหลังนี้ ไม่แน่ใจว่า
เป็นเพราะเขามีอาการทางจิตบางอย่างซ่อนอยู่ก่อนหน้าแล้วหรือเปล่า
ทั้ง ๆ ที่เห็นเขาดูปกติดีทุกอย่าง
แต่ปฏิบัติ ๆ ไป ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดผิดพลาดอย่างไร
จึงเกิดอาการจิตหลอน ได้ยิน และเห็นภาพหลอน
ว่าได้บรรลุธรรม มีเทวดามาคุย มาฟังธรรม ฯลฯ
ซึ่งถ้าปล่อยนานไป ก็จะแก้ได้ยาก ต้องไปหาหมอและรักษาจริง ๆ จัง ๆ ไปเลย
แต่คนเหล่านี้ จะมีอาการผิดไปจากปกติแบบเห็นได้ชัดพอควรเลย

กรณีเพื่อนของคุณนั้น
ก็พิจารณาดูนะคะ ว่าเป็นหูทิพย์จริง หรือว่าจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรือไม่

ถ้าจะให้ปลอดภัยจริง ๆ
ทางที่ดีก็อย่าไปสนใจกับเรื่องแบบนั้นดีกว่า
มันชวนให้หลงได้ง่าย
ขอยกตัวอย่างที่ได้ฟังมาจากเจ้าตัว
และที่เห็นเองกับตา มาให้ฟังสองเรื่องนะคะ

มีคุณแม่ชีที่ดิฉันรู้จัก เคยได้ยินอะไร ๆ ที่ตรงและรู้อะไรที่แม่น
รู้ใจคนอื่น ได้ยินเสียงคนพูดทั้ง ๆ ที่อยู่ที่อื่น
ตรวจสอบดู ก็จริงตามนั้น
จิตใจก็รู้สึกเป็นสุข เกิดความเมตตาเปี่ยมล้น
สงสารผู้คน อยากบอกอยากสอน อยากช่วย
คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมไปแล้วอย่างน้อยก็ขั้นสาม (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ)
กว่าจะรู้ตัวว่าหลงไป ก็นานพอสมควร
ยังดีที่มีปัญญาไหวทันขึ้นมา
สังเกตเห็นในวันหนึ่งว่า ตนเองยังมีความโกรธอยู่ ยังเสียใจอยู่
จึงรู้ว่าขั้นสามที่คิดว่าได้แล้วนั้น
เป็นเรื่องคิดไปเอง
รวมทั้งต่อมา ได้ยินอะไรที่เพื้ยนไป ไม่จริงบ่อยเข้า
ก็เลยหาวิธีแก้ไขตนเองได้ทัน

ส่วนอีกท่านหนึ่ง เคยบวชเป็นพระ
ไฟแรงมาก ก่อนบวชได้มาถือศีล เป็นผ้าขาวอยู่ระยะหนึ่งก่อนแล้ว
บวชได้ไม่นานก็ออกธุดงค์ไป
ทั้ง ๆ ที่ท่านอาจารย์ก็ห้ามปรามว่าอย่าเพิ่งเลย
แต่ท่านก็ไม่ฟัง รู้สึกว่าตนเองอินทรีย์แก่กล้าพอแล้ว
หายไประยะหนึ่ง ก็กลับมาด้วยอาการที่หนักพอสมควร
คือกลับมาด้วยความรู้สึกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์
เที่ยวด่าว่าผู้อื่น และพูดกับดินฟ้าอากาศเป็นเรื่องเป็นราว
บอกว่าคุยกับเทวดา บอกว่าเห็นเทวดา
รายนี้ ต้องหลอกให้กินยานอนหลับ แล้วนำส่งโรงพยาบาล
ให้สึก แล้วรักษาอยู่นานพอควร อาการจึงดีขึ้น
แต่หมอห้ามไม่ให้ภาวนา
พอมาเริ่มภาวนาใหม่อีก ก็เริ่มมีอาการแย่ลง
จึงต้องระมัดระวังมากค่ะ

จะเป็นเสียงเทพ เสียงมาร หรือเสียงจากอะไร
ทางที่ดี สนใจแต่ในกายและจิตของตนเองจะปลอดภัยที่สุดนะคะ

จากคุณ : :-D [ ตอบ: 05 ก.พ. 49 23:24 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 35 | ฝากข้อความ |
.....................
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง