Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 วิญาญาณ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผ้าขี้ริ้ว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 9:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนที่ตายแล้ว วิญาญาณ ออกจากร่างลอยไปลอยมาปรากฏร่างให้ญาติพี่น้องเห็น อย่างนั้นหรือเปล่า ที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์



ที่เสามีภาพแปลกๆ ขาวๆ

 
copyma
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 10:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อย ที่มีความเข้าใจสับสนในทฤษฏีความเชื่อระหว่าง ดวงวิญญาณหรืออัตตาในปรัชญาอุปนิษัท กับ วิญญาณหรือจิตในทางพุทธศาสนา ปัญหาหลักที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธก็คือการนำเอาความเชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือการเกิดใหม่เพื่อใช้กรรม มาเป็นเรื่องเดียวกันกับหลักอนัตตา



อย่างไรก็ตามทฤษฏีความเชื่อ เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ในทางพุทธศาสนา อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับดวงวิญญาณที่ล่องลอยไปแสวงหาที่อยู่ใหม่ตามความเชื่อของชาวอุปนิษัท โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มศึกษาใหม่ๆ ดังนั้นชาวพุทธจึงควรทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งเสียก่อน เพราะในทางพุทธศาสนาไม่เชื่อว่ามีอัตตา หรือดวงวิญญาณถาวรใดๆ ที่จะลอยออกจากร่างกายคนตายไปแสวงหาร่างใหม่ เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นสังขตธรรม ไม่มีอยู่จริงไม่มีตัวตน ไม่มีสัตภาวะใดๆที่จะออกจากภพก่อนมาสู่ภพปัจจุบัน



อาจจะมีคำถามต่อไปว่าหากไม่มีดวงวิญญาณแล้ว อะไรเล่าที่จะไปเกิดอีกภพหนึ่ง คำตอบที่ควรจะได้รับของชาวพุทธก็คือจิตหรือวิญญาณต่างหากที่จะไปเกิดใหม่ดังในมหานิทานสูตรที่อ้างพุทธพจน์ว่า หากวิญญาณไม่ลงไปปฏิสนธิในครรภ์มารดา รูปและนาม ย่อมจะไม่เกิด นั่นแสดงว่าปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดคือ จิต และต้องไม่สับสนว่าจิตกับวิญญาณไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับ ดวงวิญญาณและไม่เหมือนดวงวิญญาณในปรัชญาอุปนิษัทที่เชื่อว่าล่องลอยแสวงหาที่อยู่ใหม่ หลังความตายดังที่เคยมีพระภิกษุรูปหนึ่งเชื่อว่า จิต กับ ดวงวิญญาณเป็นสิ่งเดียวกัน ถูกพระพุทธเจ้าตำหนิว่าบิดเบือนหลักคำสอนของพระองค์ ดังนี้



ดูก่อนภิกษุ เหตุใดเธอจึงยังไม่เข้าใจในธรรมที่ตถาคตเคยแสดงย้ำอยู่เสมอว่า ไม่มีวิญญาณใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยปราศจากปัจจัย หากปราศจากสิ่งปรุงแต่งแล้ว วิญญาณย่อมหามีไม่ตาม



หลักทางพุทธศาสนาแล้ว วิญญาณเป็นสิ่งที่เกิดดับอยู่ทุกชั่วขณะไม่เคยคงที่คงอยู่แม้แต่ชั่วอึดใจเดียว จึงทำให้เรารู้สึกว่า วิญญาณมีการลื่นไหลเป็นกระแส ทั้งนี้ก็ด้วยความรวดเร็วของการเกิดดับติดต่อกันไปอย่างไม่ขาดสาย ในขณะที่วิญญาณเดิมดับลงย่อมเกิดวิญญาณใหม่ขึ้นมาแทนศักยภาพของวิญญาณเดิมติดต่อกันไปเป็นลูกคลื่น ในทางพุทธศาสนานั้นถือว่าวิญญาณนั้นมีการเกิดดับอยู่ทุกขณะ ดังนั้นจึงถือว่าชีวิตของสรรพสิ่งทั้งหลายนี้มีอยู่เพียงชั่วขณะสั้นๆ ในช่วงของการเกิดดับของวิญญาณ ชาวพุทธเชื่อว่าการดับของวิญญาณเดิมจึงก่อให้เกิดวิญาณใหม่ติดตามมา วิญญาณที่สิ้นสุดลงในทางพุทธศาสนาเรียกว่าจุติวิญญาณและวิญญาณที่เกิดมาแทนที่เรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ทันทีที่จุติวิญญาณดับลงก็จะมีปฏิสนธิวิญญาณเกิดตามมาเป็นเช่นนี้ติดต่อกันไป



สิ่งที่จะทำความเข้าใจอีกประการหนึ่งคือ จุติวิญญาณไม่ใช่วิญญาณที่ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่อย่างที่เราเข้าใจตามความเชื่อของปรัชญาอุปนิษัทที่ทำให้เกิดความสับสนจนทำให้ทฤษฏีวิญญาณของพุทธศาสนาเกิดความไขว้เขว เพราะความเป็นจริงมันเป็นเพียงการปรุงแต่งทางความคิด ทำให้มีความรู้สึกว่าจุติวิญญาณนั้นเองคือตัวที่ก่อให้เกิดชีวิตใหม่ซึ้งในความเป็นจริงจุติวิญญาณและปฏิสนธิวิญญาณ แม้นจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่แตกต่างกัน เพราะวิญญาณมีการลื่นไหลติดต่อไปตามกระแส มันจึงไม่ใช่สิ่งที่เหมือนกันและไม่ใช่สิ่งที่แตกต่างกัน

...............................................................................



ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์โดยทั่วไป เมื่อตายหรือละสังขารจากอัตภาพนั้นๆ แล้ว หากมีปัจจัยที่จะต้องเกิดก็ต้องไปเกิดในภพใดภพหนึ่งในกำเนิดทั้ง ๔ คือ(ตายแล้วเกิดทันที)

๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คนหรือสัตว์บางประเภท

๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น ไก่ นก เป็ด เป็นต้น

๓. สังเสทชะ เกิดในของสกปรก เช่น หนอนบางชนิด

๔. โอปปาติกะ เกิดโดยผุดขึ้นเป็นตัวตนเลย เช่น เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือ พรหม เป็นต้น

(ที่เห็นขาว ๆ ในภาพอาจจะตรงกับข้อที่ ๔)

......................................................................



 
copyma
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 10:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หน่วยที่ ๙ พระพุทธศาสนากับการเกิดใหม่

การเกิดใหม่เป็นหลักการที่พระพุทธศาสนาถือว่า ตราบใดคนยังมีอวิชชา ตัณหาอยู่การเกิดใหม่ย่อมมี การเกิดใหม่จะดับไปก็ต่อเมื่อปัจจัยการดับ ดังกล่าวว่า
http://www.geocities.com/watmai2001/tipitaka_16.htm
 
pongsakorn28287
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 พ.ย. 2004
ตอบ: 42
ที่อยู่ (จังหวัด): จ.เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 11:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากถามว่าแล้ววิญญาณอยู่ภพภูมไหน?
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
copyma
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 12:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาติหน้ามีจริงหรือไม่นั้น คำตอบก็คือ ตราบใดถ้ายังมีกิเลสและทำกรรม อยู่ คือ กรรมที่เป็นส่วนบุญ และกรรมที่เป็นส่วนบาป เมื่อยังทำกรรมเพราะอำนาจของกิเลส ก็ต้องเกิดอีกแน่นอน การเกิดใหม่นั่นแหละคือชาติหน้าของเรา ชาติหน้าที่จะไปเกิดมีทั้งหมดถึง ๓๑ ภูมิ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
http://www.buddhism-online.org/Section06A_03.htm

...........................................................................................................

๓๑ ภูมิ
http://www.buddhism-online.org/ContentSect06A.htm

......................................................................................................

 
copyma
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 ม.ค. 2006, 9:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภพภูมิ หมายถึง สถานที่เกิดของคนสัตว์ทั้งหลาย หลังจากที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งมีทั้ง สุคติภูมิ และทุคติภูมิ สุคติภูมิ คือ ที่อยู่ของสัตว์ที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ เป็นภูมิที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของบุญ หรือ บุญนำเกิด เช่น มนุษยภูมิ หรือ เทวภูมิ ส่วน ทุคติภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ของสัตว์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความทรมาน ต้องอดอยากหิวโหยอยู่ตลอดเวลา ด้วยอำนาจของบาปที่ได้กระทำไว้ ดังนั้นบุญ-บาป จึงเป็นตัวผลักดันให้ต้องโคจรไปเกิดยังภพภูมิดังกล่าว
http://www.buddhism-online.org/Section06A_05.htm
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
 www.Stats.in.th