Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ขอถามกัลยาณมิตร ทุกท่านเกี่ยวกับ การเพ่งกสิณ ครับ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
pug
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2006, 7:22 am
ขอถามกัลยาณมิตร ทุกท่านเกี่ยวกับ การเพ่งกสิณ ครับ
1. สนใจการฝึกกสิณ จะสามารถไปศึกษา กับครูบาอาจารย์ ท่านใดได้บ้าง ... แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านได้ฝึกจนประสบผลสำเร็จมาแล้ว...
2. กสิณสีขาว สีเหลือง สำหรับการเพ่งมีผลแตกต่างกันอย่างไร...
3. การเพ่งกสิณ ต้องมีคำบริกรรม ต้องพูดออกมาก หรือภาวนาในใจก็ได้ เช่น กสิณสีขาว ภาวนาว่า โอทาตัง โอทาตัง หรือ ขาว ขาว และ กสิณสีเหลือง ภาวนาว่า ปีตะกัง ปีตะกัง หรือ เหลือง เหลือง ฯ
4. การฝึกกสิณ สลับกับการฝึกสติปัฏฐาน ได้หรือไม่....
5. การฝึกกสิณ อันตรายหรือไม่ ถ้าฝึกเอง คนเดียว โดยอ่านจากตำรา.... ( จะหาอ่านตำราวิธีฝึกอย่างละเอียดถูกต้องได้ที่ไหน ....ช่วยบอกด้วยครับ )
6. ทำไมยุคสมัยนี้ ถึงเน้นเรื่อง วิปัสสนากรรมฐานมาก คือเน้นปัญญาวิมุติ กันมากกว่า เจโตวิมุติ หรือว่าปัญญาวิมุติ ฝึกศึกษาปฏิบัติได้ง่ายกว่า เพราะใช้ความเข้าใจจากอภิธรรม สภาวะ ธรรมต่างๆ เป็นตัวคิด ตัวรู้ ตัวระลึก คือเน้นให้อยู่ในอารมณ์ปัจุบันเป็นสำคัญ โดยพยายามหมั่นฝึกทำ ให้เป็นปัจจุบันเนืองๆ บ่อยๆ แล้วจะได้สภาวะ ธรรมเอง แบบ ปัญญาวิมุติ คือจะไม่มีอภิญญาหรือฤทธิ์เดชอะไรเลย....
7. เคยได้ยินมาดังนี้.... ไม่ทราบว่าเพื่อนกัลยาณมิตร มีความเห็นเป็นประการใด...?
7.1 การเพ่งกสิณ ไม่สามารถสิ้นกิเลสได้ เป็นของพวกฤษี ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา เหตุนี้จึงไม่นิยมสอนกันเหมือนกันการปฏิบัติวิปัสสนา ขณะนี้ ซึ่งมีสำนักมากมาย ทั้งพองยุบ กำหนดรูปนาม และการฝึกสติแบบหลวงพ่อเทียน
7.2 การเพ่งกสิณนี้ ถือว่าเป็นกรรมฐานที่ทรงพลังมากกว่ากรรมฐานใด ๆในบรรดากรรมฐานทั้งหมด เพราะสามารถนำจิตของผู้ฝึกให้ขึ้นสู่อารมณ์ได้ถึงสมาบัติ 8 และนิโรธสมาบัติ ซึ่งกรรมฐานอื่นๆ เช่น อานาปานสติ ไม่สามารถทำได้ .... ไม่ทราบเท็จจริงประการใด
7.3 มีบางท่านบอกว่า.... สมถะกรรมฐานนี้พระพุทธองค์ยกขึ้นมาแสดงก่อนวิปัสสนากรรมฐาน เวลาตรัสถึงเรื่องการทำสมาธิจะตรัสว่า สมถะและวิปัสสนา ............ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 20 ตรัสว่าผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตให้นิ่งบริสุทธิ์ได้ที่เสียก่อนจะไปเจริญวิปัสสนา โดยตรงเป็นอฐานะ แปลว่าเป็นไปไม่ได้ เหมือนคนตาดีนั่งมองน้ำขุ่นย่อมไม่เห็นวัตถุใต้น้ำ หรือเหมือนคนคิดจะสร้างตึกสัก 10 ชั้น แต่คิดว่า ตัวเองจะอยู่ชั้นที่ 10 ชั้นเดียว ดังนั้นจะสร้างเฉพาะชั้นที่ 10 อย่างเดียวโดยไม่สร้างอีก 9 ชั้นมาเป็นฐานให้เสียก่อนก็เป็นอฐานะเช่นกัน อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่เมืองไทยมีสำนักวิปัสสนากรรมฐานเต็มไปหมด พระวิปัสสนาจารย์ก็มีมาก
7.4 ปัญหาเรื่องสมถะกรรมฐานถูกปฏิเสธไม่นำมาสอนกันในปัจจุบันนี้ อาจเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้การฝึกจิตย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร หรือไม่
7.5 พระธรรมปิฎก ( ป.อ.ปยุตโต ) ได้พูดถึงเรื่องการเพ่งกสิณของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลตอนหนึ่งไว้ในเทปชุดจิตสู่ปัญญา ม้วนที่ 7 ( ชุด 18 ม้วน ) ว่า ในสมัยโบราณจะพูดถึงกาเพ่งกสิณกันมาก พวกเราได้ยินบ่อยๆ แสดงว่า สมัยโบราณคงนิยมเรื่องการใช้กสิณในการทำสมาธิ หรือการทำจิตภาวนาด้วยกสิณเป็นอารมณ์นี้มาก ส่วนในฎีกาอังขุตตรนิกาย ทสกนิบาตได้กล่าวถึงเรื่องกสิณนี้ไว้ว่า กสิณกรรมฐานทั้ง 10 วิธีนี้ได้ชื่อว่า เป็นบ่อเกิดธรรมที่มีกสิณเป็นอารมณ์
ขออภัยกัลยาณมิตรทุกท่าน ด้วยเหตุที่ เขียนยาว ไป และถามมาก อยู่สักหน่อย แต่ ก็ด้วยความที่สนใจมาก และรู้
จากการฟังเขามาบ้าง อาจไม่ถูกต้อง หรือบางอย่างก็อาจพร่องด้วยเหตุที่ไม่รู้ลึก รู้จริงในเรื่องนี้ จึงขอท่านผู้มี
ความรู้ ความเข้าใจ ช่วยให้ธรรม เป็นธรรมทานด้วยครับ ...แม้ว่าจะเป็นความเห็นส่วนตัว แต่ผู้อ่านหลายท่าน
รวมถึงตัวผมเอง คาดว่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย
ขอบคุณครับ
ปัจจุบันธรรม กรรมที่ต้องชดใช้....
เขม
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2006, 3:26 pm
(ถามคุณก่อนว่า คุณต้องการฝึกสมาธิ..เพื่ออะไร ? ต้องการฤทธิ์เดชหรืออย่างไร ?)
ผมขอแสดงความเห็นรวม ๆ ตามที่เคยได้ศึกษาจากตำรามาบ้าง และการปฏิบัติมาบ้าง
แต่...
เท่าที่อ่านคำถามแล้ว คุณมีความรู้ทางปริยัติ (ตำรา) ไม่น้อยทีเดียว...ดูการอ้างอิงนักปราชญ์ บ้าง อ้างคัมภีร์ที่มาบ้าง
ปัญหาแม้มีหลายข้อก็จริง แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วมี 2 คือ สมถะกรรมฐาน (เน้นเพ่งกสิณ) กับวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น........
ตามคัมภีร์ชั้น หลัง ๆ ท่านจัดกรรมฐานไว้ 40 อย่าง มีกสิณ 10 เป็นต้น ตามที่คุณเคยได้ยินมาและกล่าวไว้ในข้อ 2 บ้างแล้ว...อันนี้เรียกว่า สมถะ (อุบายทำจิตให้สงบ)
เริ่มอย่างนี้ครับ .
ตามปกติจิตของปุถุชนนั้น ไม่นิ่งไม่อยู่ในอารมณ์เดียวได้ง่าย ๆ ท่านจึงเปรียบเหมือนลิงบ้าง เหมือนลูกโคซึ่งยังไม่อดนมบ้าง เมื่อเป็นดังนี้ คือ ไม่อยู่ในอารมณ์เดียวได้นาน ๆ อย่างนี้ จึงไม่รู้เห็นตามเป็นจริง ท่านจึงให้ยึดเอากสิณ เป็นต้น ซึ่งมันมองเห็นได้สัมผัสได้ด้วยตาเนื้อ
จะยกปถวีกสิณเป็นตัวอย่างอธิบาย......เมื่อเพ่งกสิณดิน โดยให้ความรู้สึก (จิต) จดจ่ออยู่กับกสิณนั้น พร้อมกับบริกรรมในใจ (ออกเสียงเบา ๆ บ้างก็ได้ ลืมตาบ้างหลับตาบ้างก็ได้) ตามชื่อกสิณดินว่า ปถวีกสิณัง ๆ ..........(บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ก็เกิดขึ้น หลังจากจิตเริ่มสงบลงแล้วจนได้ฌานตามที่คุณเข้าใจ)
ส่วนการทำวิปัสสนาท่านให้ยึด รูป (ร่างกาย) กับ นาม (ความคิดความรู้สึกต่าง ๆ ) เป็นอารมณ์บริกรรม โดยตามดูรู้ทันมัน ตามแนวสติปัฏฐานทั้ง 4 รวมทั้งอิริยาบถย่อยด้วย... (การประกอบการงานประจำวันใช้สติดูการเคลื่อนไหวหยิบจับสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องบริกรรมก็ได้ แค่รู้ตัวระลึกได้ จะไม่หลง ๆ ลืม ๆ ).....ไม่มุ่งปักจิตลงไปอย่างเดียวเหมือนบริกรรมกสิณ..บริกรรมในใจ (ออกเสียงบ้างก็ได้ ลืมตาบ้างหลับบ้างก็ได้) บริกรรมตามความรู้สึก ที่รู้สึกซึ่งมันเกิดขึ้น ณ ขณะนั้น........
.....แม้จะฝึกปฏิบัติด้วยวิธีนี้ สมาธิก็เกิดครับ ไม่ต้องกลัวว่าสมาธิจะไม่เกิด แต่หาใช่สมาธิแบบนิ่งดิ่งลึกจนเกวียนขับผ่านไป 500 เล่มไม่ได้ยินเสียง ซึ่งเรียกว่า อัปนาสมาธิ ก็หาไม่
ดูพุทธวจนะต่อไปนี้ครับ สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหึโต ยถาภูตํ ปชานาติ. ดูก่อนผู้เห็นภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิด (ให้เจริญ) (เพราะ) ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง.
การเจริญวิปัสสนาโดยมีรูปธรรมนามธรรมเป็นอารมณ์ ต้องการสมาธิประมาณนี้ครับ เอาประมาณแค่รู้เห็นตามความเป็นจริง......
จะยกตัวอย่างวิปัสสนาธุระ (วิปัสสนากรรมฐาน) ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบถให้พิจารณา ดังนี้ สลฺลหุกวุตฺติโน ปน ปนฺตเสนาสนาภิรตสฺส อตฺตภาเว ขยวยํ ปฏฺฐเปตฺวา สาตจฺจกิริยาวเสน วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา อรหตฺตคฺคหณนฺติ อิทํ วิปสฺสนาธุรํ นามาติ.
แปลกันมาว่า ธุระนี้ คือ การเริ่มตั้งไว้ (ตั้งสติ) ซึ่งความสิ้นไปและความเสื่อมไป ในอัตภาพ (รูป- นาม) ของผู้มีความประพฤติเบาพร้อม (คือไม่มีปลิโพธ) ยินดีในที่พักอันสงบสงัด แล้วเจริญวิปัสสนาด้วยการกระทำให้ติดต่อ (บริกรรมต่อเนื่อง) แล้วถือเอาซึ่งพระอรหัต ชื่อว่า วิปัสสนาธุระแล.
สงสัยว่าทำไมปัจจุบันไม่ค่อยสอนการทำกสิณกัน......
ความเห็นส่วนตัวว่า.....
การทำกสิณผู้เริ่มทำต้องรักษากสิณซึ่งได้แล้วให้ดี รักษายาก (หาอ่านวิธีรักษากสิณในวิสุทธิมรรค) ไม่อย่างนั้นกสิณซึ่งได้แล้วจะหายไป
ไปที่ไหน ๆ ที่ใด ๆ ก็ต้องมีกสิณติดไปด้วยคงไม่สะดวกนัก เพราะผู้คนปัจจุบันนี้ต้องออกจากบ้านไปประกอบสัมมาชีพ ฯลฯ
ส่วนการทำแบบอานาปานสติ มีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์น่าจะสะดวกกว่า เพราะว่าจะเดินทางไปแห่งหนตำบลใด เรามีลมหายใจ เข้าออก มีความรู้สึกนึกคิดติดไปด้วย แบบว่าไม่ต้องพกพา.....นั่งรถเมล์ยืนรอรถเมล์ก็กำหนดรู้ได้.....
ปัญหาการฝึกจิตในปัจจุบันนี้ไม่ก้าวหน้า ย่ำอยู่กับที่ ฯลฯ ไม่น่าเกิดจากวิธีปฏิบัติกระมัง วิธีการที่เรารู้ ๆ กันอยู่นี้ บูรพาจารย์ท่านทดลองมาแล้วได้ผล จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เป็นตำราเรียน ถ้าไม่จริงไม่ได้ผลจริงคงสูญสิ้นไปนานแล้ว
ปัญหามันน่าจะอยู่ที่พุทธศาสนิกชนคนยุคปัจจุบันมากกว่า ที่เน้นการแสวงหาความสุขจากวัตถุมากเกิน มองข้ามความสงบสุข ณ ภายใน.....หรือบ้างก็
1. มองศาสนาเป็นแค่พิธีกรรม (กลุ่มนี้ไม่สนใจการปฏิบัติเลย)
2. ผู้ที่ลึกซึ้งหน่อยแม้จะปฏิบัติบ้าง ก็ทำแบบไม่จริงไม่จัง แบบศรัทธาหัวเต่า ประสบอุปสรรคในการปฏิบัติเข้าหน่อย ก็ยกธงขาว
3. ผู้ที่มุ่งมั่นเอาจริงเอาจังจนฟันฝ่าอุปสรรค มีความง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่าน ความเกียจคร้านเป็นต้นไปได้ ยังต้องอาศัยผู้รู้จริง คือ รู้จริงตามสภาวะ ให้คำแนะนำ ไม่อย่างนั้นก็ยากจะเข้าถึงสภาวะธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิได้.......
(7.1 การเพ่งกสิณ ไม่สามารถสิ้นกิเลสได้ เป็นของพวกฤษี ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา เหตุนี้จึงไม่นิยมสอนกันเหมือนกันการปฏิบัติวิปัสสนา ขณะนี้ ซึ่งมีสำนักมากมาย ทั้งพองยุบ กำหนดรูปนาม และการฝึกสติแบบหลวงพ่อเทียน)
หลับตาย้อนอดีตกันครับ..... เจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาได้นามว่า พระพุทธเจ้า ชั้นเดิมนับถือพราหมณ์ นับถือรวมไปถึงฤาษี 2 ตนชื่ออาฬาลดาบสและอุทกดาบสซึ่งเป็นอาจารย์สอนการปฏิบัติให้ จนหมดภูมิธรรมที่ตนรู้แล้ว
เมื่อเห็นว่ายังไม่หมดสิ้นอาสวะเจ้าชายจึงปลีกตนออกมาลองผิดลองถูกเอาเอง.....ถึง 6 ปี จึงได้สำเร็จเป็นพุทธะสิ้นอาสวะทั้งหลาย.........
สภาวธรรมที่พุทธะตรัสรู้และสอนก็คลุมไปถึงพวกฤาษีชีไพร ซึ่งก็ยังมีทำมีปฏิบัติกันอยู่ในอินเดียปัจจุบันนี้ (ดูตามรอยพระพุทธเจ้า)
มีพระฝรั่งถามหลวงพ่อชาว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงรู้ใจคนทั้งโลก.....
หลวงพ่อไม่ตอบ แต่ให้ฝรั่งรูปนั้นไปเด็ดใบไม้มา 1 ใบ แล้วบอกให้พิจารณาดูว่า มีลายมีเส้นอย่างไร เมื่อเข้าใจใบไม้ใบนี้แล้วก็เข้าใจใบไม้ทั้งป่า โดยไม่ต้องไปเด็ดมาดูอีกร๊อก
ขยายความหน่อยก็คือว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามทุกชาติทุกภาษา มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน คือ รักตัวกลัวตาย เกลียดทุกข์ ต้องการพ้นทุกข์ ชอบความสุข ติดความสุขอยากเสพสุขนานๆ ผิดหวังก็เสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้งอแงปากเบี้ยวเหมือน ๆ กัน ฯลฯ เหมือนกันหมดไม่ว่าฝรั่ง จีน ลาว ฯลฯ
สำนักปฏิบัติที่มีมากมายอย่างดังคุณพูดก็จริง แต่นั่นมันแค่เริ่มต้นนับ 1 เท่านั้นเอง ยังเป็นวิธีอยู่ วิธีหรือพิธี มีมากมายหลายอย่างได้ ตามจริตของคน
จะเปรียบให้เห็นภาพ ก็ดังแม่น้ำเจ้าพระยามีสายเดียว แต่กิ่งหรือสาขาซึ่งน้ำไหลลงสู่เจ้าพระยามีมากมาย แล้วก็จะไหลลงสู่ทะเลซึ่งมีรสเค็มต่อไปฉันใด
การปฏิบัติกรรมฐานหรือการฝึกฝนจิตก็ฉันนั้น มีหลายวิธีได้ดังกล่าว แต่สุดท้ายเมื่อถึงที่สุดแล้ว ต้องมีรสอันเดียวคือ วิมุตติรส (รสแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์)
แต่ก็เป็นไปได้ที่ผู้ปฏิบัติไม่ถึงวิมุตติรส เหตุจากการปฏิบัติผิดก็มีอยู่ ก็เหมือนน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยานั่นแหละ ไหลไม่ลงทะเลสักที ไปได้หน่อย ก็ถูกดันขึ้นมาอีก ..
เท่านี้ก่อนนะครับ ยาวเกินไปสะแล้ว
อ้อ ... ตอบคำถามผมด้วยนะครับ....
เจ้าของกระทู้ครับ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2006, 5:47 pm
คำถามที่ว่าต้องการ หรือสนใจฝึกเพราะเหตุใด .??? มีดังนี้ครับ ...ผมได้ยินถึงอานิสงค์ของการเพ่งกสิณ และจากผู้มีความรู้ได้พูดถึงคุณประโยชน์ของกสิณ จึงสนใจมาก ขอเรียนให้ทราบดังนี้ครับ
1. การเพ่งกสิณทำจิตให้เป็นสมาธิได้เร็วกว่ากรรมฐานอื่นๆ และตั้งมั่นอยู่ได้เร็วกว่า ทั้งนี้เพราะการเพ่งกสิณเป็นการฝึกจิตด้วยวิธีการใช้วัตถุเป็นสื่อเพื่อดึงจิตให้จับอยู่กับวัตถุนั้นๆ และเมื่อจิตจับอยู่กับวัตถุนั้นนาน ๆ จิตจะสามารถเก็บเอาภาพของวัตถุนั้นเข้าไปไว้ในสัญญาของเราได้ ภาพที่จิตของเราเก็บเอามาจากกสิณนั้น เราจะเรียกว่า นิมิต ซึ่งถ้าหากจิตของเราเก็บไว้ได้ดีภาพนั้นจะชัดเจนมาก
2. ท่านเข้าคุณพระธรรมปิฎก ( ประยุทธ์ ปยุตโต ) ได้กล่าวว่า กสิณที่ทำให้เกิดสมาธิเร็วกว่ากรรมฐานอื่นๆ ไว้ในเทปชุดจิตสู่ปัญญา ม้วนที่ 8 ตอนหนึ่งว่า กสิณ 10 ให้ผลสำเร็จได้สูงสุดจนถึงครบฌาน 4 เช่นเดียวกับอานาปานสติ แต่ท่านบอกว่ากสิณ 10 นี้ให้ได้ฌานเร็วด้วย เพราะว่าเป็นของหยาบเห็นได้ชัดเจน เป็นของที่เป็นรูปธรรมและกำกับจิตได้ดี และท่านก็เน้นลงไปอีกว่า ในบรรดากสิณทั้งหลายนั้น วรรณกสิณ คือ กสิณประเภทสี ( สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว ) นั้นช่วยให้ได้สมาธิไวกว่ากสิณอื่นๆ ทั้งหมดด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเหตุนี้ ในสมัยโบราณจึงได้ยินบ่อยๆ ว่า ชอบมีการเพ่งกสิณกันมาก คือ ทำสมาธิด้วยกสิณ
3. การเพ่งกสิณ ทำให้ไม่คิดฟุ้งซ่าน และไม่ง่วงนอนในเวลาทำสมาธิ เพราะว่าการเพ่งกสิณนั้นผู้เพ่งจะได้เปลี่ยนอารมณ์สลับกันอยู่ตลอดเวลาระหว่าง ลืมตา และหลับตาในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้จิตทำงาน และพักผ่อนอยู่ในตัวตลอดเวลา
4. ทำให้ภาพนิมิตติดตาได้ง่าย
5. ทำให้สัญญาดี มีความจำดี ไม่หลงลืมสติ
6. สามารถทำรูปฌาน 4 ให้เกิดได้ง่าย
และก็ได้ในเรื่องอื่นๆ อีกพอสมควร เช่นอภิญญาครับ แต่ก็ต้องระวังเรื่องวิปัสนูกิเลสให้มากๆ ด้วยเช่นกัน
เขม
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2006, 8:48 pm
ในเมื่อเจ้าของกระทู้มีความสนใจทำกสิณ แปลว่า ฉันทะเกิดแล้ว ลงมือทำได้เลยทำให้สำเร็จในชาตินี้ ได้ผลประการใด กลับมาโพสกระทู้ให้กันรู้บ้าง เผื่อเป็นแนวทางให้ผู้สนใจได้ศึกษาเป็นวิทยาทานต่อไป.......
การทำกรรมฐานทุกประเภทไม่ว่า จะทำโดยแนวทางใดวิธีใด เป็นการเจริญสติสัมปชัญญะทั้งนั้น จึงทำให้มีความจำดี ไม่หลงลืมทั้งสิ้น เป็นการพักผ่อนจิตวิญญาณได้เป็นอย่างดี เมื่อทำถึงที่สุดแล้วท่านเรียกผู้นั้นว่า ได้วิธีพักผ่อนอย่างสุขสบายในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร)
วิปัสสนูปกิเลส ไม่เกิดแก่ผู้ที่ปฏิบัติผิด ผู้ที่เกียจคร้านทอดทิ้งการปฏิบัติ และ พระอริยเจ้า
ถ้า วิปัสสนูปกิเลส เกิดแก่ผู้ใด แสดงว่าผู้นั้นเดินมาถูกทางแล้ว แต่ก็พึงระวังอย่างที่ว่า จะหลงเหลิงติดอยู่ในวังวนแห่งวิปัสสนูปกิเลสนั้น
และ อีกประการหนึ่งที่พึงสังวรณ์...
...ดังข้อเขียนบางส่วนแห่งหนังสือพุทธธรรมซึ่งแต่งโดยท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ( ประยุทธ์ ปยุตโต ) หน้าที่ 838 มีว่า.. ฯลฯ ประโยชน์ของสมาธิและฌานที่ต้องการในพุทธธรรม ก็คือภาวะจิตที่เรียกว่า นุ่มนวล ควรแก่การงาน ซึ่งจะนำมาใช้เป็นที่ปฏิบัติการของปัญญาต่อไป ส่วนการใช้สมาธิและฌานนอกจากนี้ ถือเป็นผลได้พิเศษ และบางกรณีกลายเป็นเรื่องไม่พึงประสงค์ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ทรงสนับสนุน ตัวอย่างเช่นผู้ใดบำเพ็ญสมาธิเพื่อต้องการอิทธิปาฏิหาริย์ ผู้นั้นชื่อว่าตั้งความดำริผิด (มิจฉาสังกัปปะ) อิทธิปาฏิหาริย์นั้นอาจก่อให้เกิดผลร้ายได้มากมาย เสื่อมได้ และไม่ทำให้บรรลุจุดหมายของพุทธธรรมได้เลย
ส่วนผู้ใดปฏิบัติเพื่อจุดหมายทางปัญญา ผ่านทางวิธีสมาธิและได้อิทธิปาฏิหาริย์ด้วย ก็ถือเป็นความสามารถพิเศษไป อย่างไรก็ดี แม้ในกรณีปฏิบัติด้วยความมุ่งหมายที่ถูกต้อง แต่ตราบใดที่ยังไม่บรรลุจุดหมาย การได้อิทธิปาฏิหาริย์ย่อมเป็นอันตรายได้เสมอ เพราะเป็นเหตุให้หลงเพลิน และความติดหมกมุ่น ทั้งแก่ตนและคนอื่น และอาจเป็นเหตุพอกพูนกิเลสจนถ่วงให้ดำเนินต่อไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าแม้จะทรงมีอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย แต่ไม่ทรงสนับสนุนการใช้อิทธิปาฏิหาริย์ เพราะไม่ใช่วิถีแห่งปัญญาและความหลุดพ้นเป็นอิสระ ตามพุทธประวัติจะเห็นว่า พระองค์ทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ในกรณีเพื่อระงับอิทธิปาฏิหาริย์ หรือเพื่อระงับความอยากในอิทธิปาฏิหาริย์ ฯลฯ.........
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2006, 9:39 pm
กราบสวัสดีคุณpug
หากคุณต้องการฝึกกสิณ หากอ่านตามตำรามันยังต้องสร้าง ต้องจินตนาการ ปฏิบัติควรให้เป็นไปตามธรรมชาติ การฝึกกสิณไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไปอ่านตามตำราทำให้ดูเหมือนต้องแบ่งสร้างนิมิตนั่นนิมิตนี่ สร้างภาพ เพ่งภาพให้ติดเป็นนิมิต ซึ่งหากจะกล่าวไปแล้ว ถ้าไปสร้างดวงนิมิต มันก็โดด ปัญญาก็ไม่เจริญไปตามลำดับ
จะพิจารณาอะไร เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือสีเขียว เหลือง แดง เขียวฯ หรืออสุภะอะไร หรือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ต้องไปสร้าง มันก็อยู่ในกายในจิตนี่ ไม่ได้ไปหาเอาข้างนอกกายนอกจิตเลยแม้แต่น้อย หากต้องการฝึกกสิณต้องตั้งมั่น และทำให้ต่อเนื่อง พากเพียร และอดทนเป็นพิเศษ หากฝึกจิตตามแนวปฏิบัติของท่านกนฺตสิริ ภิกขุ มาก่อนได้ก็จะเป็นการดี
การฝึกกสิณอยู่ในสมถะกรรมฐานทั้งหมด สมถะแบบสุดๆไม่ได้ทำเพื่อความสงบอย่างเดียว ผลที่ได้เจ้าของกระทู้ได้กล่าวไว้ในคคห.2 หากฝึกได้จะทำให้เข้าใจในเรื่องศาสนาทุกศาสนา มีข้อแม้ว่าผู้ฝึกต้องมีเวลาปฏิบัติทั้งกลางวัน กลางคืน คือต้องฝึกอย่างต่อเนื่อง ทำๆหยุดๆไม่ได้ ปิดทวารการรับรู้ภายนอกทั้งหมด เข้าพิจารณากายใน จิตใน เวทนาใน ธรรมใน อย่างเดียว
ถามว่าฝึกปฏิบัติแล้ว พ้นหรือไม่ เพียงครึ่งทางเอง ต้องมาต่อวิปัสสนาอีก และต้องมีครูบาอาจารย์แนะนำและควบคุมการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่งั้นหลงนิมิต การฝึกกสิณเป็นพื้นฐานการปฏิบัติที่ค่อนข้างมั่นคงพอสมควร เมื่อมาต่อวิปัสสนาก็จะค่อนข้างจะพิจารณาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th