Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทางสายกลาง 3 ตอนจบ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลุงใหญ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ม.ค. 2006, 12:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทางสายกลางอย่างที่ 3 ในทางพุทธศาสนา และรวมไปถึงศาสนาอื่นๆ

ทางสายกลางอย่างที่ 3 นี้เป็นทางสายกลางในแง่ของการปฏิบัติ หรือการประพฤติทั้งทางกาย วาจา และใจ อันได้แยกแยะอธิบายนอกเหนือไปจากทางสายกลาง 2 อย่างแรกที่ได้เขียนเป็นกระทู้ไปก่อนหน้านี้แล้ว

ทางสายกลางในทาง กาย วาจา และใจ นี้ย่อมครอบคลุม การปฏิบัติตามเหล่าธรรมะต่างๆของทุกศาสนา เหตุเพราะธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตย่อมล้วนต้องมีพฤติกรรม ทั้งทาง กาย ทางวาจา(การส่งเสียงและอื่นๆ)ซึ่งสำหรับสิ่งที่ไม่มีชีวิตอาจจะไม่มีพฤติกรรมทางใจ หรือทางวาจา แต่ก็อาจมีพฤติกรรมทางเสียงซึ่งก็ย่อมเป็นการติดต่อสื่อสารได้อย่างหนึ่ง

พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา แลใจ ของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้นล้วน เป็นต้นตอ หรือเป็นต้นกำเนิด แห่งความทุกข์ ล้วนเป็นต้นตอต้นกำเนิดแห่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ล้วนเป็นต้นตอต้นกำเนิด แห่งการทะเลาะเบาะแว้งทำร้ายซึ่งกันและกัน ล้วนก่อให้เกิดความทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่น

แต่พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา แลใจ ของสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็ย่อมล้วนเป็นต้นตอหรือเป็นต้นกำเนิดแห่งความสุข เป็นต้นตอต้นกำเนิดแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นต้นตอต้นกำเนิดแห่งการขจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้เช่นกัน

หากจะกล่าวอีกในรูปแบบหนึ่งแล้ว พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจาและใจ แห่งสรรพสิ่งทั้งหลาย ย่อมล้วนก่อให้เกิดความทุกข์ แลย่อมล้วนก่อให้เกิดการหลุดพ้นจากความทุกข์ นี้เป็นแง่ในทางศาสนา

พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ หากมีการปฏิบัติที่ไม่พอดี คือมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็อาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ หากจะกล่าวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ นั้น หากยึดถือหรือมีมากจนเกินไป ย่อมก่อให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือเกิดเป็นความทุกข์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้ หากจะกล่าวในทางตรงกันข้ามกันแล้ว แม้นสรรพสิ่งทั้งหลายมี

พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ น้อยเกินไป ก็ย่อมก่อให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือเกิดเป็นทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่นได้เช่นกัน ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้วนี้ หมายรวมถึงพฤติกรรมของทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิตด้วย แต่ท่านทั้งหลายควรได้คิดพิจารณาตามว่า พฤติกรรม อย่างไร เป็นพฤติกรรมทางกาย หรือทางวาจา หรือทางใจ ของสิ่งมีชีวิต และ พฤติกรรมอย่างไร เป็นพฤติกรรมทางกาย หรือวาจา หรือทางใจ ของสิ่งไม่มีชีวิต เหตุเพราะ สิ่งที่ไม่มีชีวิตท่านทั้งหลายย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่า ไม่มีใจ และไม่มีวาจา หรือสิ่งที่มีชีวิตบางชนิด ท่านทั้งหลายก็ย่อมเข้าใจว่าไม่มีใจ ไม่มีวาจา อันนี้ต้องคิดพิจารณาตาม

แล้วเหตุใดข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า พฤติกรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ต้องเป็นทางสายกลางคือไม่ตึงไม่หย่อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจนั้น บ้างล้วนย่อมมีการกระทำหรือปฏิบัติที่เข้มงวด หรือบางล้วนย่อมมีการกระทำหรือการปฏิบัติที่หย่อนยาน อันเป็นธรรมชาติแห่งมนุษย์ เช่น รักมากเกินไป หวงมากเกินไป หิวมากเกินไป ยึดถือมากเกินไป และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งท่านทั้งหลายควรได้พิจารณาแยกแยะด้วยตัวของท่านเอง อันจักทำให้ท่านทั้งหลายได้พัฒนาสมองสติปัญญา และเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับตัวท่านเอง ซึ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น เป็นพฤติกรรมที่ตึงเกินไป หรือหย่อนเกินไป รักน้อย หวงน้อย สนใจน้อย ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น พฤติกรรมที่ได้กล่าวไป ล้วนย่อมก่อให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือเกิดความทุกข์ในทางศาสนา หรือเกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่อสังคมการเป็นอยู่ร่วมกัน

แล้วอย่างไรเรียกว่า ทางสายกลางแห่งพฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ

ทางสายกลางแห่งพฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ ซึ่งหากจะแยกแยะรายละเอียดแห่งพฤติกรรมเหล่านั้นแล้วก็ย่อมสามารถแยกแยะออกไปได้อย่างกว้างขวาง และสามารถนำไปใช้ได้ในทุกศาสนา

ทางสายกลางแห่งพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจนั้น ย่อมต้องอาศัย

ความรู้ ประสบการณ์ ต้องอาศัยการศึกษา ในด้านต่างๆอย่างมากมายหลายสาขา แต่ความจริงแล้ว ความรุ้ประสบการณ์ และการศึกษาในสาขาต่างๆ ล้วนมีอยู่ในตัวของท่านทั้งหลายอยู่แล้ว ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากการได้รับการขัดเกลาทางสังคม และกรรมพันธุ์

ทางสายกลางอันไม่ตึงไม่หย่อนแห่งพฤติกรรมต่างๆเหล่านั้น ย่อมต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมของการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน ย่อมต้องอาศัยสภาพเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และย่อมต้องอาศัยกฎหมาย กติกา กฎเกณฑ์ แห่งสังคมนั้นๆ ย่อมต้องอาศัยศาสนานั้นๆ เป็นเครื่องช่วยทำให้พฤติกรรมไม่ตึงและไม่หย่อน เช่น การให้ทาน ตามฐานะของตัวเอง และแบ่งให้ทานตามจำนวนผู้ขอรับทาน อย่างนี้เป็นต้น พฤติกรรมทางกายนั้น ย่อมมีต้นเหตุมาจาก พฤติกรรมทางใจ พฤติกรรมทางใจนั้น ย่อมแบ่งได้เป็นหลายแง่หลายสถาน เช่นความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ,ความคิดที่ทำให้เกิดความรู้สึก และอารมณ์ ความคิดที่ทำให้เกิดความคิด, ความคิดที่ทำให้เป็นทุกข์ ความคิดที่ทำให้เกิดความสุข ,ความคิดที่ทำให้เกิดการปฏิบัติ และอื่นๆอีกมากมายหลายประการ และยังแบ่งแยกเป็น ความรู้สึกที่ทำให้เกิดความคิด อารมณ์ที่ทำให้เกิดความคิด อันเกิดจากประสาทสัมผัสส่วนลึก ซึ่งหากจะนำมาอธิบายคงจะมากมาย ดังนั้นจึงขอกล่าวเพียงคร่าวๆดังที่ได้เขียนไปข้างต้น พฤติกรรมข้างต้นล้วนอาจตึง หรือหย่อน ก็แล้วแต่บุคคล แล้วแต่การได้รับการขัดเกลาทางสังคม และกรรมพันธุ์

พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจที่ พอดี ไม่ตึงไม่หย่อน นั้นย่อมหมายถึงการปฏิบัติหรือประพฤติไปตามสังคมการเป็นอยู่ร่วมกัน ประพฤติไปตามกฎเกณฑ์กติกาแห่งสังคมนั้นๆ รวมไปถึงการปฏิบัติตามกฎหมาย แห่งชุมชนนั้น เพราะการปฏิบัติตามกฎหมายย่อมเป็นการสร้างพฤติกรรมที่เหมาะสมไม่ตึงไม่หย่อน สร้างความสมัครสมานสามัคคีต่อหมู่คณะได้อีกทางหนึ่ง สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอันเกี่ยวโยงสัมพันธ์ไปถึงผู้นำประเทศหรือรัฐบาลนั้นๆ ดังนั้นจึงขอข้ามไป

พฤติกรรมทางใจอันไปตึงไม่หย่อน ก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากสภาพสิ่งแวดล้อมทางสังคมและการได้รับการขัดเกลาทางสังคม รวมไปถึงกรรมพันธุ์ของแต่ละบุคคล สภาพสิ่งแวดล้อมทางสังคมนั้นก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อันย่อมเกี่ยวโยงถึงผู้นำประเทศหรือนโยบายการเมืองการปกครองของชุมชนนั้นๆ

จึงไม่ขอกล่าวอธิบาย แต่จะให้ข้อคิดพิจารณาต่อท่านทั้งหลายไว้ว่า พฤติกรรมทางใจอันไม่ตึงไม่หย่อนนั้น ส่วนมักมีอยู่ในจิตใจของท่านทั้งหลายอยู่แล้ว กล่าวท่านทั้งหลาย ล้วนย่อมรู้จักคิดอย่างพอดี คิดอย่างมีข้อสรุป รู้จักแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆอันเกิดประโยชน์ต่อตัวท่านและผู้อื่น รู้จักการพูดที่พอดี ไม่พูดมากหรือพูดส่อเสียด หรืออื่นๆ รู้จักใช้คำพูดอันจักไม่เกิดความร้าวฉาน รู้จักทำงานไม่หนักเกินไปจนตัวเองรับไม่ไหว รู้จักประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่การงานเหล่านั้นโดยถูกทางและถูกวิธี รู้จักการให้ทานตามฐานะการครองเรือน เช่นครองเรือนเป็นบิดามารดา ควรให้ทานอย่างไรต่อลูก ลูกๆควรให้ทานอย่างไรต่อบิดามารดา สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนี้ท่านทั้งหลายส่วนใหญ่มีพฤติกรรมหรือปฏิบัติกันอยู่แล้ว แต่ก็ย่อมมีบางครั้งบางเวลา ที่อาจมีความคิดที่เลยเถิด หรือเพ้อฝัน หรืออื่นๆ หรือบางคนก็อาจมีอาชีพที่ไม่พึงประสงค์แห่งสังคมนั้นๆ หรือให้ทานต่อบุคคลอื่นอันไม่พึงประสงค์ต่อสังคมนั้นๆ ซึ่งอันนี้ล้วนย่อมมีอยู่ในทุกสังคม

ส่วนทางแก้เมื่อเกิดมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่อสังคมนั้นๆ ล้วนย่อมต้องมีปัจจัยมากมายหลายสถาน นับตั้งแต่ระดับการเมืองการปกครองประเทศ การค้าขาย การเศรษฐกิจ การศาสนา และอื่นๆอีกมากมาย ที่ต้องทำงานร่วมมือกัน นับได้ว่า เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

สรุปในเรื่องทางสายกลางที่ได้กล่าวไป 3 ตอนแล้วนั้น หากจะแบ่งในเรื่องทางสายกลางออกเป็น ระดับจุลภาค และระดับมหภาค ก็คงจะได้ดังนี้ ทางสายกลางตอนที่ 1 และตอนที่ 2 เป็นทางสายกลางระดับจุลภาค,ส่วนทางสายกลางในตอนที่ 3 นี้เป็น ระดับ มหภาค คือกล่าวโดยส่วนรวมอันเป็นระดับที่ยากต่อการแก้ไข คือยากกว่า ระดับจุลภาค เพราะระดับจุลภาคนั้น มุ่งแก้ไขในตัวบุคคลเพียงคนคนเดียว ส่วนในระดับ มหภาค มุ่งแก้ไขทุกระดับ ดังนี้เป็นต้น

เท่าที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงทางสายกลางไปแล้วทั้ง 3 ตอน ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ทั้งพระสงฆ์ และผู้เกี่ยวข้อง ได้เพิ่มพูนความรู้ได้ฉลาดเฉลียว มีประสบการณ์เพิ่มพูนขึ้น เพียงแต่ท่านทั้งหลายควรได้คิดพิจารณาแยกแยะรายละเอียดอีกครั้งเพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้อีกครั้งหนึ่ง ย่อมเกิดประโยชน์ต่อตัวท่านและส่วนรวมได้ฉะนี้

 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง