Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ผลการนั่งสมาธิที่หายไป อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
นับจากนี้จะมีแต่ธรรม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ธ.ค.2005, 11:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ คนเราเกิดมาแค่ทำดีหาความสุขใส่ตนไม่เบียดเบียนใคร พอตายแล้วก็ได้พักยาวแค่นี้เองชีวิต ที่ผมสรุปเอาเอง จนแล้วจุดเปลียนของก็เกิดขึ้นผมได้สูญเสียบุคคลที่ผมรักไป ผมจึงเริ่มหาความจริง ทำไมคนเราต้องมีเกิดแล้วก็ตาย ผมเริ่มนั่งสมาธิโดยยึดหลักการนั่งแบบคนตาย คือคนตายเค้าไม่ต้องทำอะไรร่างกายนิ่งไม่มีความรู้สึกนึกคิด นี้เป็นสิ่งแรกที่คนอย่างผมที่ไม่เคยเข้าวัดเลยจะทำได้ จนนั่งมาได้2-3เดือนผมนั่งชนิดที่ว่าทั้งก่อนนอนถ้าตื่นมาก็นั่งสมาธิต่อไม่ว่าจะตี3-5ผมก็จะตื่นมานั่งตลอด ถ้ามีเวลาผมก็จะนั่งทันที จนผมเริ่มเห็นแสงสีขาวเป็นดวงกลมๆแทบทุกคืนขนาดนอนก็ยังคงมีแสงสีขาวติดอยู่ จนมีอยู่ครั่งหนึ่งขณะนั้นเวลาตี4-5ผมตื่นทั้งที่ยังหลับตาอยู่ สิ่งที่เห็นเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่มีรัศมีแปล่งแสงขยายออกมาเป็นเส้นขาวๆ ผมมองดูได้ซักพักก็หลับต่อ และมีเหตุการณ์แบบเดิมอีกครั้ง ผมก็ตื่นมาทั้งที่ยังหลับตาอยู่ เพราะแสงที่เห็นนั้น สว่างมากพอมองไปก็เห็นองค์พระใสมากมีรัศมีขยายออกมาจากตัวท่านผมก็มองแต่แสงที่ขยายออกมาผมหน้าท่านบ้างมองหูท่านมองทั่วใบหน้าท่านเหมือนคนมากดูท่านมีชีวิตเหมือนคน พอตื่นหลังจากนั้นผมก็เริ่มนั่งสมาธิชนิดที่ว่าต้องเห็นท่านให้ได้ ผมเริ่มนั่งมากก็ยากมากจนกระทั่ง มีคนมาบอกว่าการนั่งสมาธิบางคนก็เป็นบ้านะ ผมนั้นไม่เคยเชื่อใครอยู่แล้ว ด้วยความดันทุรังผมก็ยังคงนั่งต่อ จนประมาณเดือน7ของปี2548 ผมก็เกิดอาการกลัวจะเป็นบ้า เพราะผมเห็นดวงกลมในขณะที่ยังลืมตาอยู่หลับตาก็เห็นดวง คืนนั้นผมนอนไม่หลับเพราะเห็นแต่แสงกลมๆติดอยู่ จนผมทนไม่ไหว+กับมีเพื่อนๆทักว่าระวังเป็นบ้าด้วย

ผมจึงนอนแล้วสบัดแรงๆเผื่อดวงกลมจะหายไป สิ่งที่ผมเห็นคราวนี้ผมแทบไม่เชื่อ สิ่งที่ทำมาทั้งหxxx็ได้ยุติในวันนั้นผมเห็นองศ์พระใสสว่างมากกลางท้ององส์พระมีดวงกลมๆสว่างขาวมาก ผมมองดูท่านขยายเป็นเส้นมองไปจนผมไม่รุ้จะทำยังไงผมมองท่านอยู่นาน ตาผมเริ่มกระพิบถี่ขึ้นจนทนไม่ไหวต้องลืมตา หลังจากนั้นผลการปฎิบัติธรรมของผมก็แย่ลง จนทุกวันนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่า คนเราเกิดมาต้องสร้างบุญ เพื่อโลกที่รอเราอยู่ข้างหน้า ผมรักษาศิล5 และทำบุญทุกเดือน แต่ผลการนั่งก็ยังคงดีบ้างแย่บ้าง ผมควรนั่งอย่างไรจึงจะได้พบพระครับ ช่วยบอกผมทีนะครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้คำแนะนำและตักเตื่อนครับ

 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2005, 2:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราบสวัสดีคุณนับจากนี้จะมีแต่ธรรม





.....ผมเริ่มนั่งสมาธิโดยยึดหลักการนั่งแบบคนตาย คือคนตายเค้าไม่ต้องทำอะไรร่างกายนิ่งไม่มีความรู้สึกนึกคิด.....



การเริ่มต้นปฏิบัติของคุณ ถึงแม้จะไม่มีครูบาอาจารย์แนะนำ แต่เพราะความทุกข์ที่คุณได้รับ ทำให้คุณปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง สิ่งที่คุณเห็นก็คือจิตของคุณเอง โดยอาศัยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกๆวัน แต่ทีนี้พอเห็นแล้วมันติด มันเริ่มอยาก จากปล่อยวางได้ ไม่คิด ไม่นึก มันก็เริ่มมีความนึกคิดปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความอยากเห็นนิมิตนั้นอีก แทนที่จะดูการเปลี่ยนแปลงของกายใน จิตใน ไปเฉยๆ



ตรงที่คุณปฏิบัติอยู่ เรียกว่าการเจริญสมถะ ก็คือการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงซึ่งความสงบ คือจิตนั้นตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว นิ่งแนบแน่นอยู่ในอารมณ์เดียว ก็เป็นสมาธิ เป็นความสงบ การทำความเจริญทางจิตให้เข้าถึงซึ่งสมาธิ สมาธิมี ๓ ระดับคือ



๑. ขณิกสมาธิ ความสงบเล็กน้อย



๒. อุปจารสมาธิ เป็นความสงบที่เฉียดองค์ฌาน



๓. อัปปนาสมาธิ ก็เป็นความสงบที่แนบแน่นในอารมณ์เรียกว่าเข้าถึงฌานได้ฌาน



ขณะที่ฌานเกิดนั้นจิตจะต้องเป็นอัปปนาสมาธิลักษณะของอัปปนาสมาธิก็คือนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว จะไม่ไหวไปรับรู้อารมณ์อื่น จิตมีอารมณ์เป็นบัญญัตินิมิต มีนิมิตเป็นอารมณ์อยู่ ก็อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ไม่สามารถจะคิดนึกไปอย่างอื่น หรือว่าไปรับเสียง รับสี รับรส รับสัมผัส ไม่รับ เรียกว่าดับความรู้สึกทางประสาททั้ง ๕ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่รับรู้เลย แม้ทางใจก็รู้เฉพาะอารมณ์เดียว คือนิมิตกรรมฐานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการจะไปคิดไปนึกไปรับเรื่องราวต่าง ๆ นี่ก็เป็นผลของการเจริญสมถะ





ผู้ที่เข้าปฏิบัตินี่บางทีปฏิบัติไปด้วยความอยาก อยากอะไร อยากจะสำเร็จ อยากจะสงบ อยากจะให้เห็น อยากจะทำให้อย่างนั้นอย่างนี้ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญที่ขัดขวางการปฏิบัติไม่ไประสบความสำเร็จ หรือว่าทำให้เกิดอันตราย ทำให้เกิดวิปริตได้หลายอย่าง ตัวความอยากตัวตัณหานี่ ถ้าเราทำด้วยความจะเอาให้ได้ด้วยความอยาก บางทีเราก็ไปเร่ง เร่งทำ ไปเพ่งเล็ง ไปกดข่มเคร่งเครียด ร่างกายตึงเครียด พอตึงเครียดหนัก ๆ ก็ปวดศรีษะเกร็งประสาท





หรือบางที อ้าว ความอยากเพ่งเล็งไปเล็งมาเกิดมีสมาธิก็จริง มันก็เกิดนิมิตขึ้นมา เห็นนิมิตขึ้นมาแล้วก็หลงใหลนิมิตเหล่านั้นอยากจะได้ บางทีก็ปฏิบัติอยากจะให้ได้คุณวิเศษ อยากจะให้ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ อยากจะเห็นโน่นเห็นนี่ อยากจะได้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ พอจิตมันมีสมาธิหน่อย มันปรุงทำให้เห็นภาพโน้นภาพนี้ ทำให้นิมิตมาหลอนตัวเอง ก็สำคัญมั่นหมายว่าตัวเองวิเศษแล้วตัวเองเก่งแล้ว นี่คืออันตรายของผู้ปฏิบัติ ฉะนั้นต้องนึกว่าการปฏิบัตินั้นจะต้องไม่มีความอยากเข้ามาปฏิบัติ



เราจะทำสมถะก่อนให้ได้ความสงบจึงมาต่อวิปัสสนาก็ได้ แต่เวลาต่อวิปัสสนามันก็ต้องเปลี่ยนอารมณ์ เช่น คนเจริญอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าออก เกิดนิมิตเป็นดวงแก้วเป็นสายรุ้ง เหมือนปุยยนุ่น โพรงจมูกผลุบเข้าผลุบออก เพ่งนิมิตเหล่านั้นจนได้สมาธิได้ฌานดับความรู้สึกทางประสาททั้ง ๕ เมื่อเจริญวิปัสสนาก็จะระลึกอารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์



ขณะที่สมาธิคลายตัวลงก็เปลี่ยนอารมณ์จากการเพ่งนิมิตกลับมาเพ่งปรมัตถ์ คือเพ่งองค์ฌาน ระลึกที่องค์ฌาน ระลึกที่จิต เพราะนั่นก็หมายถึงว่ากลับมารู้ที่จิตขณะที่เกิดความสงบ เกิดปิติ เกิดความสุข มารู้ที่จิต รู้อาการในจิต เปลี่ยนจากนิมิตมาดูในจิต นี่เรียกว่ากลับมารู้ปรมัตถ์ ถ้ามันถูกต้องตรงตัวก็เห็นองค์ธรรมในจิต อาการในจิต หรือว่าองค์ฌานนั้นมีความเกิดดับ แสดงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็เป็นวิปัสสนาได้




.....ไปหาครูบาอาจารย์เพื่อแนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้องได้แล้วค่ะ คุณนับจากนี้จะมีแต่ธรรม.....



เจริญในธรรม



มณี ปัทมะ ตารา



http://www.mahaeyong.org/index.htm
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ทำต่อไปๆๆๆ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2005, 6:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอให้ปฏิบัติต่อไป ไม่ว่าจะแย่ลงอย่างไร ให้พยายามต่อไปเรื่อยๆ
 
เอาใจช่วย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2005, 11:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งที่คุณทำนั้นดีแล้ว อย่าได้กลัวดีเลย ขอให้ศึกษาปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ธรรมะมีอยู่ทั่วไปและการนั่งทำสมาธิอาจมีสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละคนหลายอย่างไม่เหมือนกัน
 
ความคิดเห็นส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2005, 12:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเห็นคิดว่าคล้ายหลายหลายคนที่ปฏิบัติอยู่ครับ ไม่คิดว่าควรจะยึดติดกับสิ่งที่เคยได้เห็นได้สัมผัส แม้นจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่เพียงไรก็ตาม ขอให้เป็นเพียงแค่สิ่งพิสูจน์ยืนยันเพิ่มความเชื่อมั่นในความมีอยู่จริงภายในอันคือจิต ที่น้อยคนนักจะเชื่อเพราะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตผลทางวิทยาศาสตร์ทุกปราการได้ จึงถือเป็นบารมีอย่างนึงครับ

การที่ผลการปฏิบัติขึ้นขึ้นลงลง ผู้ปฏิบัตินานนานหลายหลายคนคงจะคิดเช่นเดียวกันว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเกิดได้ตลอดเวลาตราบใดที่ยังไม่ถึงขั้นสูงสุดดั่งพระอรหันต์ครับ ดังนั้นแทนการพยายามปฏิบัติเพื่อให้ได้บรรลุผลดั่งใจที่ต้องการทุกครั้งซึ่งเป็นไปไม่ได้น่าจะหันมาหาวิธีใดจะรักษาการปฏิบัติให้สืบเนื่องเป็นกิจวัตรทุกวันไม่ขาดสายคิดว่าเป็นประโยชน์กว่าครับ ความคิดส่วนตัวสิ่งที่พิสูจน์ความก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่ที่ตอนจิตเข้าถึงขั้นสูงสุดที่ตนทำได้ขณะทำสมาธิ แต่อยู่ตอนที่จิตตกต่ำที่สุดไม่ว่าขณะใดก็ตามของชีวิตว่าตนจะประคองให้จิตอยู่ในธรรมและรักษาการปฏิบัตินั้นให้สืบเนื่องเป็นกิจวัตรต่อไปตลอดชั่วชีวิตตนได้หรือไม่

ส่วนความคิดเห็นต่อการปฏิบัติที่อาจช่วยให้บางคนเข้าสู่สภาวะจิตที่สงบไวขึ้นได้บ้างอีกอย่างหนึ่งคือ ให้ลองจดจำสภาวะจริงภายในขณะที่ปฏิบัติก่อนเกิดผลที่เราคิดว่าทำได้สูงสุดครั้งก่อนก่อนดูครับ เช่นเราเคยรู้สึกวูบวาบ ตัวหมุน ตัวพองโต เห็นแสง เห็นอะไรก็ตาม ให้สังเกตจดจำให้ได้ว่าสภาวะจริงภายในก่อนที่จะเกิดสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการหายใจ คำภาวนา ความรู้สึกต่างต่างที่เกิดขึ้น จดจำสภาวะทุกอย่างให้ได้ยิ่งนานตั้งแต่เริ่มนั่งสมาธิจนกระทั่งจะเกิดสภาวะดังกล่าวนั้นยิ่งดี พอปฏิบัติครั้งต่อต่อไปก็มองภายในและปรับความรู้สึกให้ตรงหากการจดจำดีมีความชัดเจนมากพอคิดว่าสามารถช่วยให้เข้าถึงสภาวะเดิมได้ง่ายขึ้นครับหรือบางครั้งแค่เพียงเริ่มต้นหลับตาก็รู้สึกได้เลยว่าผลการปฏิบัติวันนี้จะต่ำกว่าเดิมหรือดีกว่าเดิมโดยยังไม่ทันถึงเวลาสุดท้ายออกสมาธิเลยแต่ก็อย่าหยุดไม่นั่งต่อไปตามปกติ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ความก้าวหน้าอีกอย่างนึง หากเป็นคนทั่วไปย่อมเลิกปฏิบัติเพราะเข้าใจว่าจะไม่มีเห็นผลแต่แท้จริงแล้วเป็นเครื่องพิสูจน์กับตนให้เห็นได้ว่าจิตเราไม่ยึดมั่นถือมั่นกับผลการปฏิบัติซึ่งเป็นความก้าวหน้าอีกเช่นกัน ต้องค้นคว้าการปฏิบัติไปเรื่อยเรื่อยครับอย่าหยุดเพียงเพราะไม่เห็นผลไม่ว่าจะยาวนานสักเพียงไรก็ตาม ขอให้เจริญก้าวหน้าในธรรมครับ



 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2005, 2:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แนะนำให้คุณไปลองถามพระอาจารย์ที่วัดปากน้ำครับ แล้วคุณจะเข้าใจทั้งหมด
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 28 ธ.ค.2005, 8:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองเข้าไปศึกษาตามลิ้งค์ข้างล่างนี้นะคะ พอดีได้บันทึกไว้ในช่วงปฏิบัติพิจารณากายและจิตค่ะ


http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_poem&No=1757


http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_poem&No=1772



เจริญในธรรม



มณี ปัทมะ ตารา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 29 ธ.ค.2005, 8:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





อานุโมทนาสาธุด้วยครับ



การปฏิบัติธรรมอย่าไปหวังผล ทำไปก็ปล่อยวางไป

จะเห็นจะรับรู้อะไรก็ให้วางใจเป็นกลาง ไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจกับสิ่งนั้นๆ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง