ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 ธ.ค.2005, 5:33 pm |
  |
พระสุตตันตปิฎก
เล่ม ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มาติกา
ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณ [ญาณอันสำเร็จ
มาแต่การฟัง] ๑ ปัญญาในการฟังธรรมแล้ว สังวรไว้ เป็นสีลมยญาณ [ญาณ
อันสำเร็จมาแต่ศีล] ๑ ปัญญาในการสำรวมแล้วตั้งไว้ดี เป็นภาวนามยญาณ
[ญาณอันสำเร็จมาแต่การเจริญสมาธิ] ๑ ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรม
ฐิติญาณ [ญาณในเหตุธรรม] ๑ ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนอดีต
ส่วนอนาคตและส่วนปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณ [ญาณในการ
พิจารณา] ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนแห่งธรรมส่วนปัจจุบัน
เป็นอุทยัพพยานุปัสนาญาณ [ญาณในการพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม]
๑ ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสนาญาณ
[ญาณในความเห็นแจ้ง] ๑ ปัญญาในการปรากฏโดยความเป็นภัย เป็นอาทีนวญาณ
[ญาณในการเห็นโทษ] ๑ ปัญญาในความปรารถนาจะพ้นไปทั้งพิจารณาและวางเฉย
อยู่ เป็นสังขารุเบกขาญาณ ๑ ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิต
ภายนอก เป็นโคตรภูญาณ ๑ ปัญญาในการออกและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์
และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เป็นมรรคญาณ ๑ ปัญญาในการระงับประโยค
เป็นผลญาณ ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆ
ตัดเสียแล้ว เป็นวิมุติญาณ ๑ ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุม
ในขณะนั้น เป็นปัจจเวกขณญาณ ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรมภายใน เป็น
วัตถุนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งวัตถุ] ๑ ปัญญาในการกำหนดธรรม
ภายนอก เป็นโคจรนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งโคจร] ๑ ปัญญาในการ
กำหนดจริยา เป็นจริยานานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งจริยา] ๑ ปัญญา
ในการกำหนดธรรม ๔ เป็นภูมินานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งภูมิ] ๑
ปัญญาในการกำหนดธรรม ๙ เป็นธรรมนานัตตญาณ [ญาณในความต่างแห่งธรรม]
๑ ปัญญาที่รู้ยิ่ง เป็นญาตัฏฐญาณ [ญาณในความว่ารู้] ๑ ปัญญาเครื่องกำหนดรู้
เป็นตีรณัฏฐญาณ [ญาณในความว่าพิจารณา] ๑ ปัญญาในการละ เป็น
ปริจจาคัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสละ] ๑ ปัญญาเครื่องเจริญ เป็นเอกรสัฏฐญาณ
[ญาณในความว่ามีกิจเป็นอันเดียว] ๑ ปัญญาเครื่องทำให้แจ้ง เป็นผัสสนัฏฐญาณ
[ญาณในความว่าถูกต้อง] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งอรรถ เป็นอัตถปฏิสัมภิทา-
*ญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่งธรรม เป็นธรรมปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญา
ในความต่างแห่งนิรุติ เป็นนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่ง
ปฏิภาณ เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปัญญาในความต่างแห่งวิหารธรรม เป็น
วิหารัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องอยู่] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งสมาบัติ
เป็นสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าสมาบัติ] ๑ ปัญญาในความต่างแห่งวิหาร
สมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ [ญาณในความว่าวิหารสมาบัติ] ๑ ปัญญา
ในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ให้ฟุ้งซ่าน เป็น
อานันตริกสมาธิญาณ [ญาณในสมาธิอันมีในลำดับ] ๑ ทัสนาธิปไตย ทัสนะมี
ความเป็นอธิบดี วิหาราธิคม คุณเครื่องบรรลุ คือวิหารธรรมอันสงบ และปัญญา
ในความที่จิตเป็นธรรมชาติน้อมไปในผลสมาบัติอันประณีต เป็นอรณวิหารญาณ
[ญาณในวิหารธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นข้าศึก] ๑ ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญ
ด้วยความเป็นผู้ประกอบด้วยพละ ๒ ด้วยความระงับสังขาร ๓ ด้วยญาณจริยา ๑๖
และด้วยสมาธิจริยา ๙ เป็นนิโรธสมาปัตติญาณ [ญาณในนิโรธสมาบัติ] ๑ ปัญญา
ในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็น
ปรินิพพานญาณ ๑ ปัญญาในความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการตัดขาด
โดยชอบและในนิโรธ เป็นสมสีสัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมอันสงบและธรรม
อันเป็นประธาน] ๑ ปัญญาในความสิ้นไปแห่งกิเลสอันหนา สภาพต่างๆ และเดช
เป็นสัลเลขัฏฐญาณ [ญาณในความว่าธรรมเครื่องขัดเกลา] ๑ ปัญญาในความ
ประคองไว้ซึ่งจิตอันไม่หดหู่และจิตที่ส่งไป เป็นวิริยารัมภญาณ ๑ ปัญญาในการ
ประกาศธรรมต่างๆ เป็นอรรถสันทัสนญาณ [ญาณในการเห็นชัดซึ่งอรรถธรรม] ๑
ปัญญาในการสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกันในการแทงตลอดธรรมต่างกัน
และธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นทัสนวิสุทธิญาณ ๑ ปัญญาในความที่ธรรมปรากฏ
โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นขันติญาณ ๑ ปัญญาในความถูกต้องธรรม
เป็นปริโยคาหนญาณ [ญาณในความย่างเข้าไป] ๑ ปัญญาในการรวมธรรม
เป็นปเทสวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง] ๑ ปัญญาในความมีกุศลธรรม
เป็นอธิบดีเป็นสัญญาวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยปัญญาที่รู้ดี] ๑ ปัญญา
ในธรรมเป็นเหตุละความเป็นต่างๆ เป็นเจโตวิวัฏฏญาณ [ญาณในการหลีกออก
จากนิวรณ์ด้วยใจ] ๑ ปัญญาในการอธิษฐาน เป็นจิตตวิวัฏฏญาณ [ญาณในความ
ปัญญาในการรวมธรรม
เป็นปเทสวิหารญาณ [ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง] ๑ ปัญญาในความมีกุศลธรรมปัญญาในความถูกต้องธรรม
เป็นอธิบดีเป็นสัญญาวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยปัญญาที่รู้ดี] ๑ ปัญญา
ในธรรมเป็นเหตุละความเป็นต่างๆ เป็นเจโตวิวัฏฏญาณ [ญาณในการหลีกออก
จากนิวรณ์ด้วยใจ] ๑ ปัญญาในการอธิษฐาน เป็นจิตตวิวัฏฏญาณ [ญาณในความ
หลีกไปแห่งจิต] ๑ ปัญญาในธรรมอันว่างเปล่า เป็นญาณวิวัฏฏญาณ [ญาณใน
ความหลีกไปด้วยญาณ] ๑ ปัญญาในความสลัดออก เป็นวิโมกขวิวัฏฏญาณ
[ญาณในความหลีกไปแห่งจิตด้วยวิโมกข์] ๑ ปัญญาในความว่าธรรมจริง
เป็นสัจจวิวัฏฏญาณ [ญาณในความหลีกไปด้วยสัจจะ] ๑ ปัญญาในความ
สำเร็จด้วยการกำหนดกาย [รูปกายของตน] และจิต [จิตมีญาณเป็นบาท]
เข้าด้วยกัน และด้วยสามารถแห่งความตั้งไว้ซึ่งสุขสัญญา [สัญญาประกอบด้วย
อุเบกขาในจตุตถฌานเป็นสุขละเอียด] และลหุสัญญา [สัญญาเบาเพราะพ้นจาก
นิวรณ์และปฏิปักขธรรม] เป็นอิทธิวิธญาณ [ญาณในการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ]
๑ ปัญญาในการกำหนดเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียวด้วยสามารถการ
แผ่วิตกไป เป็นโสตธาตุวิสุทธิญาณ [ญาณอันหมดจดแห่งโสตธาตุ] ๑ ปัญญา
ในการกำหนดจริยาคือ วิญญาณหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยความแผ่ไปแห่งจิต
๓ ประเภท และด้วยสามารถแห่งความผ่องใสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เป็น
เจโตปริยญาณ [ญาณในความกำหนดรู้จิตผู้อื่นด้วยจิตของตน] ๑ ปัญญาในการ
กำหนดธรรมทั้งหลายอันเป็นไปตามปัจจัย ด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรม
หลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็นบุพเพนิวาสานุสสติญาณ [ญาณเป็นเครื่อง
ระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้] ๑ ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่าง
หรืออย่างเดียว ด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักขุญาณ ๑ ปัญญาในความ
เป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ ๓ ประการ โดยอาการ ๖๔ เป็นอาสวักขยญาณ
[ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย] ๑ ปัญญาในความกำหนดรู้ เป็น-
*ทุกขญาณ ๑ ปัญญาในความละ เป็นสมุทยญาณ ๑ ปัญญาในความทำให้แจ้ง เป็น
นิโรธญาณ ๑ ปัญญาในความเจริญ เป็นมรรคญาณ ๑ ทุกขญาณ [ญาณ
ในทุกข์] ๑ ทุกขสมุทยญาณ [ญาณในเหตุให้เกิดทุกข์] ๑ ทุกขนิโรธญาณ
[ญาณในความดับทุกข์] ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ [ญาณในข้อปฏิบัติ
เครื่องให้ถึงความดับทุกข์] ๑ อรรถปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ธรรมปฏิสัมภิทาญาณ
๑ นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑ ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ๑ อินทริยปโรปริยัติญาณ
[ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย] ๑ อาสยานุสยญาณ
[ญาณในฉันทะเป็นที่มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย] ๑ ยมก
ปาฏิหิรญาณ [ญาณในยมกปาฏิหาริย์] ๑ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ๑
สัพพัญญุตญาณ ๑ อนาวรณญาณ ๑
ญาณเหล่านี้รวมเป็น ๗๓ ญาณ ในญาณทั้ง ๗๓ นี้ ญาณ ๖๗
[ข้างต้น] ทั่วไปแก่พระสาวก ญาณ ๖ [ในที่สุด] ไม่ทั่วไปด้วยพระสาวก
เป็นญาณเฉพาะพระตถาคตเท่านั้น ฉะนี้แล ฯ
|
|
|
|
|
 |
ภูมิใจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 ธ.ค.2005, 8:11 pm |
  |
|
|
 |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ธ.ค.2005, 5:13 am |
  |
มหาวรรค ญาณกถา
[๑] ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณอย่างไร
ปัญญาอันเป็นเครื่องทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้
สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ธรรมเหล่านี้
ควรละ ธรรมเหล่านี้ควรให้เจริญ ธรรมเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ธรรมเหล่านี้เป็นไป
ในส่วนแห่งความเสื่อม ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งความตั้งอยู่ ธรรมเหล่านี้
เป็นไปในส่วนแห่งความวิเศษ ธรรมเหล่านี้เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา นี้ทุกขอริยสัจ
นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เป็นสุตมยญาณ [แต่ละอย่าง] ฯ
[๒] ปัญญาอันเป็นเครื่องทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว คือ เป็นเครื่อง
รู้ชัดซึ่งธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง เป็นสุตมยญาณอย่างไร
ธรรมอย่างหนึ่งควรรู้ยิ่ง คือ สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ธรรม ๒ ควรรู้ยิ่ง
คือ ธาตุ ๒ ธรรม ๓ ควรรู้ยิ่ง คือ ธาตุ ๓ ธรรม ๔ ควรรู้ยิ่ง คือ อริยสัจ ๔
ธรรม ๕ ควรรู้ยิ่ง คือ วิมุตตายตนะ ๕ ธรรม ๖ ควรรู้ยิ่ง คืออนุตตริยะ ๖
ธรรม ๗ ควรรู้ยิ่ง คือ นิททสวัตถุ [เหตุที่พระขีณาสพนิพพานแล้วไม่ปฏิสนธิ
อีกต่อไป] ๗ ธรรม ๘ ควรรู้ยิ่ง คือ อภิภายตนะ [อารมณ์แห่งญาณอันฌายี
บุคคลครอบงำไว้] ๘ ธรรม ๙ ควรรู้ยิ่ง คือ อนุปุพพวิหาร ๙ ธรรม ๑๐
ควรรู้ยิ่ง คือนิชชรวัตถุ [เหตุกำจัดมิจฉาทิฐิเป็นต้น] ๑๐ ฯ
[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติทั้งปวงควรรู้ยิ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมชาติทั้งปวงควรรู้ยิ่ง คืออะไร คือ ตา รูป จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส
เป็นปัจจัย [แต่ละอย่างๆ] ควรรู้ยิ่ง หู เสียง ฯลฯ จมูก กลิ่น ฯลฯ ลิ้น
รส ฯลฯ กาย โผฏฐัพพะ ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัส
เป็นปัจจัย ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๔] รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักขุ โสตะ ฆานะ
ชิวหา กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ จักขุวิญญาณ
โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ
จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส
จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหา
สัมผัสสชาเวทนา การสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา รูปสัญญา
สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธรรมสัญญา รูป
สัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา
ธรรมสัญเจตนา รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา
ธรรมตัณหา รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธรรมวิตก
รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธรรมวิจาร ควรรู้ยิ่ง
ทุกอย่าง ฯ
[๕] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ
ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ โลหิตกสิณ
โอทาตกสิณ อากาสกสิณ วิญญาณกสิณ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๖] ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก
ไขข้อ มูตร สมองศีรษะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๗] จักขวายตนะ รูปายตนะ โสตายตนะ สัททายตนะ ฆานายตนะ
คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะ กายายตนะ โผฏฐัพพายตนะ มนายตนะ
ธรรมายตนะ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สัททธาตุ โสต
วิญญาณธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาธาตุ รสธาตุ ชิวหา-
วิญญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ ธรรมธาตุ มโน
วิญญาณธาตุ จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์
มนินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โสมนัส-
*สินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเบกขินทรีย์ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์
สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ [อินทรีย์ของผู้ปฏิบัติ
ด้วยมนสิการว่า เราจักรู้ธรรมที่ยังไม่รู้ อินทรีย์นี้เป็นชื่อของโสดาปัตติมรรคญาณ]
อัญญินทรีย์ [อินทรีย์ของผู้รู้จตุสัจจธรรมด้วยมรรคนั้น อินทรีย์นี้เป็นชื่อของญาณ
ในฐานะ ๖ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น] อัญญาตาวินทรีย์ [อินทรีย์ของพระขีณาสพ
ผู้รู้จบแล้ว อินทรีย์นี้เป็นชื่อของอรหัตผลญาณ] ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๘] กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุกามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ
อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุดวการภพ ปัญจโวการภพ
ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๙] เมตตาเจโตวิมุติ กรุณาเจโตวิมุติ มุทิตาเจโตวิมุติ อุเบกขาเจโตวิมุติ
อากาสนัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๑๐] ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ จักขุ ฯลฯ ชรามรณะ ชรามรณสมุทัย ชรามรณนิโรธ
ชรามรณนิโรธคามินีปฏิปทา ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๑๑] สภาพที่ควรกำหนดรู้แห่งทุกข์ สภาพที่ควรละแห่งทุกขสมุทัย
สภาพที่ควรทำให้แจ้งแห่งทุกขนิโรธ สภาพที่ควรเจริญแห่งทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
สภาพที่ควรกำหนดรู้แห่งรูป สภาพที่ควรละแห่งรูปสมุทัย สภาพที่ควรทำให้แจ้ง
แห่งรูปนิโรธ สภาพที่ควรเจริญแห่งรูปนิโรธคามินีปฏิปทา สภาพที่ควรกำหนด
รู้แห่งเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ ฯลฯ แห่งจักษุ
ฯลฯ สภาพที่ควรกำหนดรู้แห่งชรามรณะ สภาพที่ควรละแห่งชรามรณสมุทัย
สภาพที่ควรทำให้แจ้งแห่งชรามรณนิโรธ สภาพที่ควรเจริญแห่งชรามรณนิโรธ-
*คามินีปฏิปทา ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๑๒] สภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ทุกข์ สภาพที่แทงตลอด
ด้วยการละทุกขสมุทัย สภาพที่แทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งทุกขนิโรธ สภาพ
ที่แทงตลอดด้วยการเจริญทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สภาพที่แทงตลอดด้วยการ
กำหนดรู้รูป สภาพที่แทงตลอดด้วยการละรูปสมุทัย สภาพที่แทงตลอดด้วยการ
ทำให้แจ้งรูปนิโรธ สภาพที่แทงตลอดด้วยการเจริญรูปนิโรธคามินีปฏิปทา สภาพ
ที่แทงตลอดด้วยการเจริญเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ
ฯลฯ จักขุ ฯลฯ สภาพที่แทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ชรามรณะ สภาพที่แทง
ตลอดด้วยการละชรามรณสมุทัย สภาพที่แทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งชรา-
*มรณนิโรธ สภาพที่แทงตลอดด้วยการเจริญชรามรณนิโรธคามินีปฏิปทา ควรรู้ยิ่ง
ทุกอย่าง ฯ
[๑๓] ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ความดับเหตุให้เกิดทุกข์
ความดับฉันทราคะในทุกข์ ความยินดีในทุกข์ โทษแห่งทุกข์ อุบายเครื่องสลัด
ออกแห่งทุกข์ รูป เหตุให้เกิดรูป ความดับเหตุให้เกิดรูป ความยินดีในรูป
โทษแห่งรูป อุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป แห่งเวทนา ฯลฯ แห่งสัญญา ฯลฯ
แห่งสังขาร ฯลฯ แห่งวิญญาณ ฯลฯ แห่งจักขุ ฯลฯ ชราและมรณะ
เหตุให้เกิดชราและมรณะ ความดับชราและมรณะ ความดับเหตุให้เกิดชรา
และมรณะ ความดับฉันทราคะในชราและมรณะ คุณแห่งชราและมรณะ
โทษแห่งชราและมรณะ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งชราและมรณะ ควรรู้ยิ่ง
ทุกอย่าง ฯ
[๑๔] ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความ
ยินดีในทุกข์ โทษแห่งทุกข์ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งทุกข์ รูป เหตุให้เกิดรูป
ความดับรูป ปฏิปทาอันให้ถึงความดับรูป ความยินดีในรูป โทษแห่งรูป อุบาย
เครื่องสลัดออกแห่งรูป เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ ฯลฯ
จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ เหตุให้เกิดชราและมรณะ ความดับชราและมรณะ
ปฏิปทาอันให้ถึงความดับชราและมรณะ ความยินดีในชราและมรณะ โทษแห่ง
ชราและมรณะ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งชราและมรณะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๑๕] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง การพิจารณาเห็นทุกข์ การพิจารณา
เห็นอนัตตา การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่าย การพิจารณาเห็นด้วยความคลาย
กำหนัด การพิจารณาเห็นด้วยความดับ การพิจารณาเห็นด้วยความสละคืน การ
พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป การพิจารณาเห็นความทุกข์ในรูป การพิจารณา
เห็นอนัตตาในรูป การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่ายในรูป การพิจารณาเห็น
ด้วยความคลายกำหนัดในรูป การพิจารณาเห็นด้วยความดับในรูป การพิจารณา
เห็นด้วยความสละคืนในรูป การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ
ในสัญญา ฯลฯ ในสังขาร ฯลฯ ในวิญญาณ ฯลฯ ในจักษุ ฯลฯ การ
พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นทุกข์ในชราและมรณะ
การพิจารณาเห็นอนัตตาในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่ายใน
ชราและมรณะ การพิจารณาเห็นด้วยความคลายกำหนัดในชราและมรณะ การ
พิจารณาเห็นความดับในชราและมรณะ การพิจารณาเห็นด้วยความสละคืนในชรา
และมรณะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๑๖] ความเกิดขึ้น ความเป็นไป เครื่องหมาย ความประมวลมา
[กรรมอันปรุงแต่ปฏิสนธิ] ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด อุบัติ ชาติ ชรา พยาธิ
มรณะ โสกะ ปริเทวะ อุปายาส ความไม่เกิดขึ้น ความไม่เป็นไป ความไม่มี
เครื่องหมาย ความไม่มีประมวล ความไม่สืบต่อ ความไม่ไป ความไม่บังเกิด
ความไม่อุบัติ ความไม่เกิด ความไม่แก่ ความไม่ป่วยไข้ ความไม่ตาย ความ
ไม่เศร้าโศก ความไม่รำพัน ความไม่คับแค้นใจ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๑๗] ความเกิดขึ้น ความไม่เกิดขึ้น ความเป็นไป ความไม่เป็นไป
เครื่องหมาย ความไม่มีเครื่องหมาย ความประมวลมา ความไม่ประมวลมา
ความสืบต่อ ความไม่สืบต่อ ความไป ความไม่ไป ความบังเกิด ความไม่บังเกิด
ความอุบัติ ความไม่อุบัติ ความเกิด ความไม่เกิด ความแก่ ความไม่แก่ ความ
ป่วยไข้ ความไม่ป่วยไข้ ความตาย ความไม่ตาย ความเศร้าโศก ความไม่
เศร้าโศก ความรำพัน ความไม่รำพัน ความคับแค้นใจ ความไม่คับแค้นใจ
ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๑๘] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความเป็นไปเป็นทุกข์
เครื่องหมายเป็นทุกข์ ความประมวลมาเป็นทุกข์ ปฏิสนธิเป็นทุกข์ คติเป็นทุกข์
ความบังเกิดเป็นทุกข์ อุบัติเป็นทุกข์ ชาติเป็นทุกข์ พยาธิเป็นทุกข์ มรณะเป็น
ทุกข์ โสกะเป็นทุกข์ ปริเทวะเป็นทุกข์ อุปายาสเป็นทุกข์ ฯ
[๑๙] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นเป็นสุข ความไม่เป็นไปเป็นสุข
ความไม่มีเครื่องหมายเป็นสุข ความไม่ประมวลมาเป็นสุข ความไม่สืบต่อเป็นสุข
ความไม่ไปเป็นสุข ความไม่บังเกิดเป็นสุข ความไม่อุบัติเป็นสุข ความไม่เกิด
เป็นสุข ความไม่แก่เป็นสุข ความไม่ป่วยไข้เป็นสุข ความไม่ตายเป็นสุข
ความไม่เศร้าโศกเป็นสุข ความไม่รำพันเป็นสุข ความไม่คับแค้นใจเป็นสุข ฯ
[๒๐] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ความไม่เกิดขึ้นเป็นสุข ความ
เป็นไปเป็นทุกข์ ความไม่เป็นไปเป็นสุข เครื่องหมายเป็นทุกข์ ความไม่มีเครื่อง
หมายเป็นสุข ความประมวลมาเป็นทุกข์ ความไม่ประมวลมาเป็นสุข ความสืบต่อ
|
|
|
|
|
 |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ธ.ค.2005, 5:15 am |
  |
เป็นทุกข์ ความไม่สืบต่อเป็นสุข ความไปเป็นทุกข์ ความไม่ไปเป็นสุข ความ
บังเกิดเป็นทุกข์ ความไม่บังเกิดเป็นสุข ความอุบัติเป็นทุกข์ ความไม่อุบัติเป็น
สุข ความเกิดเป็นทุกข์ ความไม่เกิดเป็นสุข ความแก่เป็นทุกข์ ความไม่แก่
เป็นสุข ความป่วยไข้เป็นทุกข์ ความไม่ป่วยไข้เป็นสุข ความตายเป็นทุกข์
ความไม่ตายเป็นสุข ความเศร้าโศกเป็นทุกข์ ความไม่เศร้าโศกเป็นสุข ความ
รำพันเป็นทุกข์ ความไม่รำพันเป็นสุข ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความไม่คับแค้น
ใจเป็นสุข ฯ
[๒๑] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นภัย ความเป็นไปเป็นภัย เครื่อง-
หมายเป็นภัย ความประมวลมาเป็นภัย ความสืบต่อเป็นภัย ความไปเป็นภัย
ความบังเกิดเป็นภัย ความอุบัติเป็นภัย ความเกิดเป็นภัย ความแก่เป็นภัย
ความป่วยไข้เป็นภัย ความตายเป็นภัย ความเศร้าโศกเป็นภัย ความรำพันเป็นภัย
ความคับแค้นใจเป็นภัย ฯ
[๒๒] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นปลอดภัย ความไม่เป็นไปปลอดภัย
ความไม่มีเครื่องหมายปลอดภัย ความไม่ประมวลมาปลอดภัย ความไม่สืบต่อ
ปลอดภัย ความไม่ไปปลอดภัย ความไม่บังเกิดปลอดภัย ความไม่อุบัติปลอดภัย
ความไม่เกิดปลอดภัย ความไม่แก่ปลอดภัย ความไม่ป่วยไข้ปลอดภัย ความไม่
ตายปลอดภัย ความไม่เศร้าโศกปลอดภัย ความไม่รำพันปลอดภัย ความไม่
คับแค้นใจปลอดภัย ฯ
[๒๓] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นภัย ความไม่เกิดขึ้นปลอดภัย ความ
เป็นไปเป็นภัย ความไม่เป็นไปปลอดภัย เครื่องหมายเป็นภัย ความไม่มี
เครื่องหมายปลอดภัย ความประมวลมาเป็นภัย ความไม่ประมวลมาปลอดภัย
ความสืบต่อเป็นภัย ความไม่สืบต่อปลอดภัย ความไปเป็นภัย ความไม่ไปปลอด
ภัย ความบังเกิดเป็นภัย ความไม่บังเกิดปลอดภัย ความอุบัติเป็นภัย ความไม่
อุบัติปลอดภัย ความเกิดเป็นภัย ความไม่เกิดปลอดภัย ความป่วยไข้เป็นภัย
ความไม่ป่วยไข้ปลอดภัย ความตายเป็นภัย ความไม่ตายปลอดภัย ความเศร้า-
*โศกเป็นภัย ความไม่เศร้าโศกปลอดภัย ความรำพันเป็นภัย ความไม่รำพันปลอด
ภัย ความคับแค้นใจเป็นภัย ความไม่คับแค้นใจปลอดภัย ฯ
[๒๔] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นมีอามิส (เครื่องล่อ) ความเป็นไปมี
อามิส ความสืบต่อมีอามิส ความประมวลมามีอามิส ความบังเกิดมีอามิส ความ
อุบัติมีอามิส ความเกิดมีอามิส ความป่วยไข้มีอามิส ความตายมีอามิส ความ
เศร้าโศกมีอามิส ความรำพันมีอามิส ความคับแค้นใจมีอามิส ฯ
[๒๕] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นไม่มีอามิส (หมดเครื่องล่อ) ความไม่
เป็นไปไม่มีอามิส ความไม่มีเครื่องหมายไม่มีอามิส ความไม่ประมวลมาไม่มีอามิส
ความไม่สืบต่อไม่มีอามิส ความไม่ไปไม่มีอามิส ความไม่บังเกิดไม่มีอามิส
ความไม่อุบัติไม่มีอามิส ความไม่เกิดไม่มีอามิส ความไม่แก่ไม่มีอามิส ความไม่
ป่วยไข้ไม่มีอามิส ความไม่ตายไม่มีอามิส ความไม่เศร้าโศกไม่มีอามิส ความไม่
รำพันไม่มีอามิส ความไม่คับแค้นใจไม่มีอามิส ฯ
[๒๖] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นมีอามิส ความไม่เกิดขึ้นไม่มีอามิส
ความเป็นไปมีอามิส ความไม่เป็นไปไม่มีอามิส เครื่องหมายมีอามิส ความไม่มี
เครื่องหมายไม่มีอามิส ความประมวลมามีอามิส ความไม่ประมวลมาไม่มีอามิส
ความสืบต่อมีอามิส ความไม่สืบต่อไม่มีอามิส ความไปมีอามิส ความไม่ไปไม่มี
อามิส ความบังเกิดมีอามิส ความไม่บังเกิดไม่มีอามิส ความอุบัติมีอามิส ความ
ไม่อุบัติไม่มีอามิส ความเกิดมีอามิส ความไม่เกิดไม่มีอามิส ความแก่มีอามิส
ความไม่แก่ไม่มีอามิส ความป่วยไข้มีอามิส ความไม่ป่วยไข้ไม่มีอามิส ความ
ตายมีอามิส ความไม่ตายไม่มีอามิส ความเศร้าโศกมีอามิส ความไม่เศร้าโศก
ไม่มีอามิส ความรำพันมีอามิส ความไม่รำพันไม่มีอามิส ความคับแค้นใจมีอามิส
ความไม่คับแค้นใจไม่มีอามิส ฯ
[๒๗] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร ความเป็นไปเป็นสังขาร
เครื่องหมายเป็นสังขาร ความประมวลมาเป็นสังขาร ความสืบต่อเป็นสังขาร ความ
ไปเป็นสังขาร ความบังเกิดเป็นสังขาร ความอุบัติเป็นสังขาร ความเกิดเป็น
สังขาร ความแก่เป็นสังขาร ความป่วยไข้เป็นสังขาร ความตายเป็นสังขาร
ความเศร้าโศกเป็นสังขาร ความรำพันเป็นสังขาร ความคับแค้นใจเป็นสังขาร ฯ
[๒๘] ควรรู้ยิ่งว่า ความไม่เกิดขึ้นเป็นนิพพาน ความไม่เป็นไปเป็น
นิพพาน ความไม่มีเครื่องหมายเป็นนิพพาน ความไม่ประมวลมาเป็นนิพพาน
ความไม่สืบต่อเป็นนิพพาน ความไม่ไปเป็นนิพพาน ความไม่บังเกิดเป็นนิพพาน
ความไม่อุบัติเป็นนิพพาน ความไม่เกิดเป็นนิพพาน ความไม่แก่เป็นนิพพาน
ความไม่ป่วยไข้เป็นนิพพาน ความไม่ตายเป็นนิพพาน ความไม่เศร้าโศกเป็น
นิพพาน ความไม่รำพันเป็นนิพพาน ความไม่คับแค้นใจเป็นนิพพาน ฯ
[๒๙] ควรรู้ยิ่งว่า ความเกิดขึ้นเป็นสังขาร ความไม่เกิดขึ้นเป็นนิพพาน
ความเป็นไปเป็นสังขาร ความไม่เป็นไปเป็นนิพพาน เครื่องหมายเป็นสังขาร
ความไม่มีเครื่องหมายเป็นนิพพาน ความประมวลมาเป็นสังขาร ความไม่ประมวล
มาเป็นนิพพาน ความสืบต่อเป็นสังขาร ความไม่สืบต่อเป็นนิพพาน ความไป
เป็นสังขาร ความไม่ไปเป็นนิพพาน ความบังเกิดเป็นสังขาร ความไม่บังเกิดเป็น
นิพพาน ความอุบัติเป็นสังขาร ความไม่อุบัติเป็นนิพพาน ความเกิดเป็นสังขาร
ความไม่เกิดเป็นนิพพาน ความแก่เป็นสังขาร ความไม่แก่เป็นนิพพาน ความ
ป่วยไข้เป็นสังขาร ความไม่ป่วยไข้เป็นนิพพาน ความตายเป็นสังขาร ความไม่
ตายเป็นนิพพาน ความเศร้าโศกเป็นสังขาร ความไม่เศร้าโศกเป็นนิพพาน
ความรำพันเป็นสังขาร ความไม่รำพันเป็นนิพพาน ความคับแค้นใจเป็นสังขาร
ความไม่คับแค้นใจเป็นนิพพาน ฯ
จบปฐมภาณวาร ฯ
[๓๐] สภาพแห่งธรรมที่ควรกำหนดถือเอา สภาพแห่งธรรมที่เป็นบริวาร
สภาพแห่งธรรมที่เต็มรอบ สภาพแห่งสมาธิที่มีอารมณ์อย่างเดียว สภาพแห่งสมาธิ
ไม่มีความฟุ้งซ่าน สภาพแห่งธรรมที่ประคองไว้ สภาพแห่งธรรมที่ไม่กระจายไป
สภาพแห่งจิตไม่ขุ่นมัว สภาพแห่งจิตไม่หวั่นไหว สภาพแห่งจิตตั้งอยู่ด้วยสามารถ
แห่งความปรากฏแห่งจิตมีอารมณ์อย่างเดียว สภาพแห่งธรรมเป็นอารมณ์ สภาพ
แห่งธรรมเป็นโคจร สภาพแห่งธรรมที่ละ สภาพแห่งธรรมที่สละ สภาพแห่ง
ธรรมที่ออก สภาพแห่งธรรมที่หลีกไป สภาพแห่งธรรมที่ละเอียด สภาพแห่ง
ธรรมที่ประณีต สภาพแห่งธรรมที่หลุดพ้น สภาพแห่งธรรมที่ไม่มีอาสวะ สภาพ
แห่งธรรมเครื่องข้าม สภาพแห่งธรรมที่ไม่มีเครื่องหมาย สภาพแห่งธรรมที่ไม่มี
ที่ตั้ง สภาพแห่งธรรมที่ว่างเปล่า สภาพแห่งธรรมที่มีกิจเสมอกัน สภาพแห่ง
ธรรมที่ไม่ล่วงเลยกัน สภาพแห่งธรรมที่เป็นคู่ สภาพแห่งธรรมที่นำออก สภาพ
แห่งธรรมที่เป็นเหตุ สภาพแห่งธรรมที่เห็น สภาพแห่งธรรมที่เป็นอธิบดี ควร
รู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๑] สภาพที่ไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมถะ สภาพที่พิจารณาเห็นแห่งวิปัสนา
สภาพที่มีกิจเสมอกันแห่งสมถะและวิปัสนา สภาพมิได้ล่วงกันแห่งธรรมที่เป็นคู่
สภาพที่สมาทานแห่งสิกขาบท สภาพที่โคจรแห่งอารมณ์ สภาพที่ประคองจิตที่
ย่อท้อ สภาพที่ปราบจิตที่ฟุ้งซ่าน สภาพที่คุมจิตอันบริสุทธิ์จากความย่อท้อและ
ฟุ้งซ่านทั้ง ๒ ประการ สภาพที่จิตบรรลุคุณวิเศษ สภาพที่แทงตลอดอริยมรรคอัน
ประเสริฐ สภาพที่ตรัสรู้สัจจะ สภาพที่ให้จิตตั้งอยู่เฉพาะในนิโรธ ควรรู้ยิ่ง
ทุกอย่าง ฯ
[๓๒] สภาพที่น้อมไปแห่งสัทธินทรีย์ สภาพที่ประคองไว้แห่งวิริยินทรีย์
สภาพที่ตั้งมั่นแห่งสตินทรีย์ สภาพที่ไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมาธินทรีย์ สภาพที่เห็นแห่ง
ปัญญินทรีย์ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๓] สภาพที่ศรัทธาพละมิได้หวั่นไหวเพราะจิตตุปบาทอันเป็นข้าศึกแก่
ศรัทธา สภาพที่วิริยพละมิได้หวั่นไหวเพราะความเกียจคร้าน สภาพที่สติพละมิได้
หวั่นไหวเพราะความประมาท สภาพที่สมาธิพละมิได้หวั่นไหวเพราะอุธัจจะ สภาพ
ที่ปัญญาพละมิได้หวั่นไหวเพราะอวิชชา ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๔] สภาพที่ตั้งมั่นแห่งสติสัมโพชฌงค์ สภาพที่เลือกเฟ้นแห่งธรรม
วิจัยสัมโพชฌงค์ สภาพที่ประคองไว้แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ สภาพที่แผ่ไปแห่งปีติ
สัมโพชฌงค์ สภาพที่สงบแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สภาพที่ไม่ฟุ้งซ่านแห่งสมาธิ
สัมโพชฌงค์ สภาพที่พิจารณาหาทางแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๕] สภาพที่เห็นแห่งสัมมาทิฐิ สภาพที่ตรึกแห่งสัมมาสังกัปปะ
สภาพที่กำหนดแห่งสัมมาวาจา สภาพที่ประชุมแห่งสัมมากัมมันตะ สภาพที่ผ่อง
แผ้วแห่งสัมมาอาชีวะ สภาพที่ประคองไว้แห่งสัมมาวายามะ สภาพที่ตั้งมั่นแห่ง
สัมมาสติ สภาพที่ไม่ฟุ้งซ่านแห่งสัมมาสมาธิ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๖] สภาพที่เป็นใหญ่แห่งอินทรีย์ สภาพที่ไม่หวั่นไหวแห่งพละ
สภาพที่นำออกแห่งโพชฌงค์ สภาพที่เป็นเหตุแห่งมรรค สภาพที่ตั้งมั่นแห่ง
สติปัฏฐาน สภาพที่เริ่มตั้งแห่งสัมมัปปธาน สภาพที่สำเร็จแห่งอิทธิบาท สภาพ
ที่เที่ยงแท้แห่งสัจจะ สภาพที่ระงับแห่งประโยชน์ สภาพที่ทำให้แจ้งแห่งผล
สภาพที่ตรึกแห่งวิตก สภาพที่ตรวจตราแห่งวิจาร สภาพที่แผ่ไปแห่งปีติ สภาพ
ที่ไหลมาแห่งสุข สภาพที่มีอารมณ์เดียวแห่งจิต สภาพที่คำนึง สภาพที่รู้แจ้ง
สภาพที่รู้ชัด สภาพที่จำได้ สภาพที่สมาธิเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๗] สภาพที่รู้แห่งปัญญาที่รู้ยิ่ง สภาพที่กำหนดรู้แห่งปริญญา สภาพ
แห่งปฏิปักขธรรมที่สละแห่งปหานะ สภาพแห่งภาวนามีกิจเป็นอย่างเดียว สภาพ
ที่ถูกต้องแห่งสัจฉิกิริยา สภาพที่เป็นกองแห่งทุกข์ สภาพที่ทรงไว้แห่งธาตุ สภาพ
ที่ต่อแห่งอายตนะ สภาพที่ปัจจัยปรุงแต่งแห่งสังขตธรรม สภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
แห่งอสังขตธรรม ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๘] สภาพที่คิด สภาพแห่งจิตไม่มีระหว่าง สภาพที่ออกแห่งจิต
สภาพที่หลีกไปแห่งจิต สภาพแห่งจิตเป็นเหตุ สภาพแห่งจิตเป็นปัจจัย สภาพที่
เป็นที่ตั้งแห่งจิต สภาพที่เป็นภูมิแห่งจิต สภาพที่เป็นอารมณ์แห่งจิต สภาพที่
เป็นโคจรแห่งจิต สภาพที่เที่ยวไปแห่งจิต สภาพที่ไปแห่งจิต สภาพที่นำไปยิ่ง
แห่งจิต สภาพที่นำออกแห่งจิต สภาพที่สลัดออกแห่งจิต ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๓๙] สภาพที่นึกในความที่จิตมีอารมณ์อย่างเดียว สภาพที่รู้แจ้ง ...
สภาพที่รู้ชัด ... สภาพที่จำได้ ... สภาพที่จิตมั่นคง ... สภาพที่เนื่อง ... สภาพที่
แล่นไป ... สภาพที่ผ่องใส ... สภาพที่ตั้งมั่น ... สภาพที่หลุดพ้น ... สภาพที่เห็น
ว่านี่ละเอียด ... สภาพที่ทำให้เป็นเช่นดังยาน ... สภาพที่ทำให้เป็นที่ตั้ง ... สภาพ
ที่ตั้งขึ้นเนืองๆ ... สภาพที่อบรม ... สภาพที่ปรารภชอบด้วยดี ... สภาพที่กำหนด
ถือไว้ ... สภาพที่เป็นบริวาร ... สภาพที่เต็มรอบ ... สภาพที่ประชุม ... สภาพที่
อธิษฐาน ... สภาพที่เสพ ... สภาพที่เจริญ ... สภาพที่ทำให้มาก ... สภาพที่รวม
ดี ... สภาพที่หลุดพ้นด้วยดี ... สภาพที่ตรัสรู้ ... สภาพที่ตรัสรู้ตาม ... สภาพที่
ตรัสรู้เฉพาะ ... สภาพที่ตรัสรู้พร้อม สภาพที่ตื่น ... สภาพที่ตื่นตาม ... สภาพที่
ตื่นเฉพาะ ... สภาพที่ตื่นพร้อม ... สภาพที่เป็นไปในฝักฝ่ายความตรัสรู้ ... สภาพ
ที่เป็นไปในฝักฝ่ายความตรัสรู้ตาม ... สภาพที่เป็นไปในฝักฝ่ายความตรัสรู้เฉพาะ
สภาพที่เป็นไปในฝักฝ่ายความตรัสรู้พร้อม ... สภาพที่สว่าง ... สภาพที่สว่าง
ขึ้น ... สภาพที่สว่างเนืองๆ ... สภาพที่สว่างเฉพาะ ... สภาพที่สว่างพร้อมใน
ความที่จิตมีอารมณ์อย่างเดียว ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๔๐] สภาพที่อริยมรรคให้สว่าง สภาพที่อริยมรรคให้รุ่งเรือง สภาพที่
อริยมรรคให้กิเลสทั้งหลายเร่าร้อน สภาพที่อริยมรรคไม่มีมลทิน สภาพที่อริยมรรค
ปราศจากมลทิน สภาพที่อริยมรรคหมดมลทิน สภาพที่อริยมรรคสงบ สภาพที่
อริยมรรคให้กิเลสระงับ สภาพแห่งวิเวก สภาพแห่งความประพฤติในวิเวก
สภาพที่คลายกำหนัด สภาพแห่งความประพฤติในความคลายกำหนัด สภาพที่ดับ
สภาพแห่งความประพฤติความดับ สภาพที่ปล่อย สภาพแห่งความประพฤติใน
ความปล่อย สภาพที่พ้น สภาพแห่งความประพฤติในความพ้น ควรรู้ยิ่ง
ทุกอย่าง ฯ
[๔๑] สภาพแห่งฉันทะ สภาพที่เป็นมูลแห่งฉันทะ สภาพที่เป็นบาท
แห่งฉันทะ สภาพที่เป็นประธานแห่งฉันทะ สภาพที่สำเร็จแห่งฉันทะ สภาพที่
น้อมไปแห่งฉันทะ สภาพที่ประคองไว้แห่งฉันทะ สภาพที่ตั้งมั่นแห่งฉันทะ
สภาพที่ไม่ฟุ้งซ่านแห่งฉันทะ สภาพที่เห็นแห่งฉันทะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๔๒] สภาพแห่งวิริยะ สภาพที่เป็นมูลแห่งวิริยะ สภาพที่เป็นบาท
แห่งวิริยะ สภาพที่เป็นประธานแห่งวิริยะ สภาพที่สำเร็จแห่งวิริยะ สภาพที่น้อม
ไปแห่งวิริยะ สภาพที่ประคองไว้แห่งวิริยะ สภาพที่ตั้งมั่นแห่งวิริยะ สภาพที่ไม่
ฟุ้งซ่านแห่งวิริยะ สภาพที่เห็นแห่งวิริยะ ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
[๔๓] สภาพแห่งจิต สภาพที่เป็นมูลแห่งจิต สภาพที่เป็นบาทแห่งจิต
สภาพที่เป็นประธานแห่งจิต สภาพที่สำเร็จแห่งจิต สภาพที่น้อมไปแห่งจิต
สภาพที่ประคองไว้แห่งจิต สภาพที่ตั้งมั่นแห่งจิต สภาพที่ไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต
สภาพที่เห็นแห่งจิต ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ
|
|
|
|
|
 |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ธ.ค.2005, 5:50 am |
  |
ข้อศึกษาจากข้างต้น ให้ดูมหาสติปัฏฐาน และกรรมฐานสี่สิบ(ในคัมภีร์ วิสุทธิมรรค และในวิมุติมรรค ) ประกอบด้วย จะเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันในธรรมะปฏิบัติ และทำให้เข้าใจกรรมฐานสี่สิบและมหาสติปัฏฐานที่อธิบายสั้นๆได้มากยิ่งขึ้น |
|
|
|
|
 |
โจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ธ.ค.2005, 8:43 am |
  |
ข้อปฏิบัติอันจะทำให้เกิดปัญญารับรู้ดังที่กล่าวมา คืออะไรครับ สติปัฏฐานสี่ หรือไม่ครับ |
|
|
|
|
 |
ภูมิใจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 ธ.ค.2005, 12:17 pm |
  |
|
|
 |
24 ธ.ค.48
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
24 ธ.ค.2005, 4:46 pm |
  |
|
|
 |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
24 ธ.ค.2005, 10:09 pm |
  |
ปัญญาเกิดจากการอบรม
อบรมจากการภาวนา
อบรมจากการฟัง
อบรมจากการคิดพิจารณา
การปฏิบัติให้เกิดปัญญา เรียกว่า อธิปัญญาสิกขา |
|
|
|
|
 |
ภูมิใจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ธ.ค.2005, 3:35 pm |
  |
|
|
 |
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 ม.ค. 2006, 7:27 pm |
  |
สาธุๆครับ
ร่วมอนุโมทนาบุญกุศลด้วยครับ
ปล.พระธรรมลึกซึ้ง ละเอียด ตามรู้ได้ยากยิ่ง จริงๆ
มนุษย์สมัยนี้ ไม่สามารถบัญญัติเช่นนี้ได้เลย
เว้นไว้แต่องค์พระศาสดา และอริยสาวก ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้น
 |
|
|
|
|
 |
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 ม.ค. 2006, 7:36 pm |
  |
โชคดีที่สุดในจักรวาลครับ ที่ได้พบพระศาสนา
ภูมิใจที่สุดครับ ที่อ่านภาษาไทยออก ทำให้ศึกษาพระสัทธรรมได้สะดวก
ขอนอบน้อมและสักการะ แด่พระอริยะทุกองค์ที่พากเพียรสังคายนา และพระสาวกทั้งหลายที่ได้ทรงจำถ่ายทอดบันทึก กระทั่งเป็นมรดกตกทอดถึงปัจจุบัน
รวมทั้งบรรพบุรุษคนไทย ที่ได้เพียรรักษาให้บริสุทธิ์ สืบทอด และแปลให้เป็นภาษาไทยทุกท่านที่ล่วงลับไปแล้ว
จงมาร่วมอนุโมทนามหาบุญกุศลนี้ด้วยครับ
ดีใจมากๆครับ ปีติมากๆครับ
 |
|
|
|
|
 |
นามรูปจิตติมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ม.ค. 2006, 3:57 pm |
  |
ปัญญาเป็นเจตสิกที่เป็นโสภณเจตสิก ทำงานกับจิต(เกิดวิเสสลักษณะ) เพียง ๗๙ ดวง คือ
- ในกามาวจรจิต ๑๒ แบ่งเป็น
- ญาณสัมปยุตมหากุสลจิต ๔
- ญาณสัมปยุตมหาวิบากจิต ๔
- ญาณสัมปยุตมหากิริยาจิต ๔
- ในรูปาวจรจิต ๑๕ แบ่งเป็น
- รูปาวจรมหากุสลจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- รูปาวจรมหาวิบากจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- รูปาวจรมหากิริยาจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- ในอรูปาวจรจิต ๑๒ แบ่งเป็น
- อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- อรูปาวจรมหาวิปากจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- อรูปาวจรมหากิริยาจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- ในโลกุตตรมัคคจิต ๒๐ แบ่งเป็น
- โสดาปัตติมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- สกทาคามิมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อนาคามิมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อรหัตตมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- ในโลกุตตรผลจิต ๒๐ แบ่งเป็น
- โสดาปัตติผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- สกทาคามิผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อนาคามิผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อรหัตตผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
ปัญญาเจตสิกจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อนำคำสอนของพระพุทธองค์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ใส่
ลงในจิตของเรา แต่ถ้ามานั่งทำเอง โดยไม่รู้ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนว่าอย่างไร อะไรเป็น
เหตุ อะไรเป็นผล นั่นเรียกว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ อธิบายเพียงแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าต้องการ
คำอธิบายเพิ่มเติม ก็ตั้งกระทู้เข้ามาใหม่แล้วกันนะคะ
อนุโมทนาค่ะ
|
|
|
|
|
 |
นามรูปจิตติมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ม.ค. 2006, 3:57 pm |
  |
ปัญญาเป็นเจตสิกที่เป็นโสภณเจตสิก ทำงานกับจิต(เกิดวิเสสลักษณะ) เพียง ๗๙ ดวง คือ
- ในกามาวจรจิต ๑๒ แบ่งเป็น
- ญาณสัมปยุตมหากุสลจิต ๔
- ญาณสัมปยุตมหาวิบากจิต ๔
- ญาณสัมปยุตมหากิริยาจิต ๔
- ในรูปาวจรจิต ๑๕ แบ่งเป็น
- รูปาวจรมหากุสลจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- รูปาวจรมหาวิบากจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- รูปาวจรมหากิริยาจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- ในอรูปาวจรจิต ๑๒ แบ่งเป็น
- อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- อรูปาวจรมหาวิปากจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- อรูปาวจรมหากิริยาจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- ในโลกุตตรมัคคจิต ๒๐ แบ่งเป็น
- โสดาปัตติมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- สกทาคามิมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อนาคามิมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อรหัตตมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- ในโลกุตตรผลจิต ๒๐ แบ่งเป็น
- โสดาปัตติผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- สกทาคามิผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อนาคามิผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อรหัตตผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
ปัญญาเจตสิกจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อนำคำสอนของพระพุทธองค์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ใส่
ลงในจิตของเรา แต่ถ้ามานั่งทำเอง โดยไม่รู้ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนว่าอย่างไร อะไรเป็น
เหตุ อะไรเป็นผล นั่นเรียกว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ อธิบายเพียงแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าต้องการ
คำอธิบายเพิ่มเติม ก็ตั้งกระทู้เข้ามาใหม่แล้วกันนะคะ
อนุโมทนาค่ะ
|
|
|
|
|
 |
นามรูปจิตติมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ม.ค. 2006, 3:58 pm |
  |
ปัญญาเป็นเจตสิกที่เป็นโสภณเจตสิก ทำงานกับจิต(เกิดวิเสสลักษณะ) เพียง ๗๙ ดวง คือ
- ในกามาวจรจิต ๑๒ แบ่งเป็น
- ญาณสัมปยุตมหากุสลจิต ๔
- ญาณสัมปยุตมหาวิบากจิต ๔
- ญาณสัมปยุตมหากิริยาจิต ๔
- ในรูปาวจรจิต ๑๕ แบ่งเป็น
- รูปาวจรมหากุสลจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- รูปาวจรมหาวิบากจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- รูปาวจรมหากิริยาจิต ๕(ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- ในอรูปาวจรจิต ๑๒ แบ่งเป็น
- อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- อรูปาวจรมหาวิปากจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- อรูปาวจรมหากิริยาจิต ๔ (อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ
และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)
- ในโลกุตตรมัคคจิต ๒๐ แบ่งเป็น
- โสดาปัตติมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- สกทาคามิมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อนาคามิมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อรหัตตมัคคจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- ในโลกุตตรผลจิต ๒๐ แบ่งเป็น
- โสดาปัตติผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- สกทาคามิผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อนาคามิผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
- อรหัตตผลจิต ๕ (ปฐมฌานจิต, ทุติยฌานจิต, ตติยฌานจิต, จตุตถฌานจิต
และปัญจมัชฌานจิต)
ปัญญาเจตสิกจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อนำคำสอนของพระพุทธองค์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ใส่
ลงในจิตของเรา แต่ถ้ามานั่งทำเอง โดยไม่รู้ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนว่าอย่างไร อะไรเป็น
เหตุ อะไรเป็นผล นั่นเรียกว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ อธิบายเพียงแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าต้องการ
คำอธิบายเพิ่มเติม ก็ตั้งกระทู้เข้ามาใหม่แล้วกันนะคะ
อนุโมทนาค่ะ
|
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
|