Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เพชรพลอยในรอยยิ้ม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2005, 10:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า

เวลายิ้มหรือหัวเราะร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความสุข

คือ “เอนเตอร์ฟีน” (enterphene)

ออกมาเป็นอาวุธสำหรับในการขจัดความกลัวและความเครียด

ยิ่งไปกว่านั้นการหัวเราะยังส่ง “ออกซิเจน” ไปยังเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย

ทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ หายจากการบอบซ้ำได้เร็วกว่าปกติอีก

เพราะการหัวเราะจะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

ทำหน้าที่สม่ำเสมอเป็นผลให้เกิดภูมิต้านทานโรคภัยต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ลดการเต้นถี่ของหัวใจและกระตุ้นให้เจริญอาหาร



เท่ากับเป็นการออกกำลังกายอยู่กับที่เรียกว่า “จ๊อกกิ้ง” (jogging) อยู่กับที่

เพราะเวลาหัวเราะนั้น จะทำให้เกิดแรงสะเทือนและแรงเคลื่อนไหวขึ้น

ในระบบร่างกายทุกระบบเช่นเดียวกับการออกกำลังกาย

และมีประสิทธิภาพกว่าการเต้นแอโรบิคด้วย



เฮนรี่ รูบินสไตน์ นักประสาทวิทยาฝรั่งเศสได้วิจัยพบว่า

“การหัวเราะ”คือการพักผ่อนที่ดีที่สุด

ถ้าคนเราได้หัวเราะแค่ 1 นาที จะมีค่าเท่ากับการพักผ่อนถึง 45 นาที



ท่านที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป

การหัวเราะเปรียบเหมือนการกวาดขยะออกไปจากร่างกาย

เช่น “คอเลสเตอรอล” หรือไขมัน ส่วนที่เกินเป็นต้น

การหัวเราะยังรักษาโรคได้หลายชนิด



เราอยากเห็นรอยยิ้มของทุกคน เราไม่อยากพบคนหน้าบอกบุญไม่รับใช่ไหม

ยักษ์แปลงเป็นคนได้ แต่คนที่ยิ้มไม่เป็นก็สามารถแปลงเป็นยักษ์ได้เช่นกัน

คนมีปกติหน้าบึ้ง เช่น บูดในตอนเช้า เน่าในตอนเพล เหม็นในตอนค่ำ

เป็นคนมีเพื่อนน้อย เราไม่อยากกินของบูดฉันใด เราก็คงไม่อยากคบคนบูดฉันนั้น

เพราะมีแต่เรื่องร้อนใจตลอดเวลา ขาดหลักมนุษยสัมพันธ์



ถ้าเราเรียนหนังสือวิชาไหนยาก ก็เครียด ไม่ค่อยอยากเรียนเท่าไร

แต่มันจำเป็น แต่ถ้าครูคนไหนทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ฟังสบาย ฟังสนุก

ทำให้เราเข้าใจง่าย ยิ้มได้ เราพอใจเพราะหายเครียด



ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น พูดว่า

“ทุกคนต้องการเรียนรู้ แต่ก็ต้องการสนุกสนานเพลิดเพลินในการเรียนรู้นั้นด้วย”



อาจารย์ที่สอนศิษย์ด้วยรอยยิ้ม ย่อมสร้างสรรค์ให้ศิษย์มีคุณค่า

พ่อแม่ที่ใช้รอยยิ้มและการหัวเราะปกครองลูกจะได้ลูกที่ดีงามและทรงคุณค่า



หิโตปเทส กล่าวว่า “ชีวิตที่ “ขวัญ” รักษาดีแล้ว

แม้ตกทะเลหรือภูเขาหรือถูกอสรพิษกัด ก็ปลอดภัย”

นี่หมายถึงว่าเรายิ้มได้เสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่คนเดียวก็ยิ้ม

เดินไปคนเดียวก็ยิ้ม แบบนี้ “ศรีธัญญา” ก็ยิ้มเป็น



ในยามมีภัยมาถึงตัว เรายิ้มได้ใจปกติ ขวัญไม่หนี ดีไม่ฝ่อ

กำลังใจเยี่ยมย่อมพ้นภัย “หลวงวิจิตรวาทการ” กล่าวเป็นบทกวีไว้อย่างไพเราะว่า

“เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์

แต่กับคนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา"



ดวงหน้าที่สดชื่นย่อมแสดงว่าหัวใจสดชื่น

แม้จะมีความทุกข์อยู่เต็มอกเศร้าโศกอยู่เต็มที่

แต่สีหน้าที่แสดงออกมาของเราไม่บอกให้ใครรู้ยังสดชื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หากใครรู้ว่าทั้งที่เราทุกข์ร้อน แต่เรายิ้มได้เขายิ่งจะทึ่งและศรัทธานับถือเรา

ว่าเราเป็นคนแข็งแกร่ง เรี่ยวแรงใช้ได้ กำลังใจยอด

ทุกคนก็อยากร่วมมือร่วมงาน ให้ความช่วยเหลือ

เพราะทุกคนไม่ชอบคนอ่อนแอไม่ชอบคนเคราะห์ร้าย

หากเราไปบอกใครว่าเราโชคร้ายจะไม่มีใครเห็นใจหรือยากคุยด้วย



หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวว่า “ความสดชื่นเหมือนแสงอาทิตย์ ขับไล่ความมืดมน

แต่อาการทุกข์ร้อน โศกเศร้า เป็นความมืดไม่เป็นทางสว่างแห่งชีวิต”



ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงวิธีการเผยแผ่ศาสนา

พูดหรือเทศน์ให้คนได้ฟังว่าต้องมีหลัก ๔ ส. คือ



ส. ๑. สันทัสสนะ ให้แจ่มแจ้งชัดเจน

ส. ๒. สมาทปนะ ให้อยากทำตาม

ส. ๓. สมุตเตชนะ ให้กล้าหาญ

ส. ๔. สัมปหังสนะ ให้ร่าเริงแจ่มใส



โดยเฉพาะใน ส. ข้อที่ ๔ สัมปหังสนะ นั้น

คือให้ผู้ฟังร่าเริง แจ่มใส ให้เกิดความพอใจ เห็นจริงว่าเป็นจริง และยิ้มได้

สุขใจเมื่อฟัง และอยากปฏิบัติตามเพราะปฏิบัติแล้วสุขใจ

แต่ก็มิได้หมายความว่าตลกโปกฮาไร้สาระหาแก่นสารอะไรไม่ได้

เพราะถ้ามัวแต่ตลกเฮฮาหัวเราะก็จะกลายเป็นว่าโลกนี้ลุกเป็นไฟ

ยังนั่งยิ้มหัวเราะอยู่ได้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

ยิ้มต้องยิ้มจากใจที่ได้สาระ มีใช่ยิ้มอย่างเลือดเย็น

แต่ถ้าตลกโปกฮา ตะพึดตะพือพร่ำเพรื่อเกินไปไม่รู้จักกาละเทศะ

ก็อาจเป็นเหตุให้คนขาดความไว้วางใจไปก็ได้



เรายิ้มให้โลก โลกก็ยิ้มให้เรา

ถ้าเราร้องให้ เราจะต้องร้องให้อยู่คนเดียว

เรายิ้มให้ใครเท่ากับเราแบ่งความสุขให้เขา

เพราะต่างคนต่างสุข จะทุกข์ทั้ง ๒ ท่าน แบ่งสุขให้กัน

สุขนั้นจะได้ทั้ง ๒ คน ยิ้มจึงมีคุณค่ามหาศาลดุจดังเพชรพลอย

ใครส่งยิ้มให้ก็หมายถึงเขาพอใจเรา อยากได้เราเป็นมิตร

เรามีค่าในสายตาของเขา เขาส่งยิ้มให้เรามิใช่แค่ส่งโค้กเท่านั้น

แต่นั่นหมายถึงเขาส่งเพชรพลอยให้เรา

แล้วเราจะไม่ส่งเพชรพลอยให้เขาบ้างหรือ

อย่าสร้างดาบในรอยยิ้ม จงสร้างเพชรพลอยในรอยยิ้ม เพราะ



รอยยิ้ม เป็นการเสริมสวย เสริมเสน่ห์ เสริมหล่อ โดยไม่ต้องลงทุน



รอยยิ้ม เป็นกุญแจไขไปสู่ความสำเร็จ



รอยยิ้ม เป็นอุปกรณ์สำคัญของนักขาย



รอยยิ้ม เป็นหน้าต่างแห่งมิตรภาพและความรักและความจริงใจ



รอยยิ้ม เป็นคฤหาสน์ที่อบอุ่นและร่มรื่นหรรษา



รอยยิ้ม เป็นเครื่องประดับที่สวยงามและทรงคุณค่ามากกว่าสิ่งอื่นใดมากมายนัก



รอยยิ้ม ทำให้ผู้อื่นรู้ว่า สอบเอ็นทรานส์ติดหรือไม่



ก่อนออกจากบ้านหรือกลับบ้านก็ถามตัวเองว่าวันนี้ยิ้มแล้วหรือยัง



-----------------

จาก..เพชรพลอยในรอยยิ้ม..โดยพระมหากิตติศักดิ์ โคตมสิสฺโส (ศ.สียวน)





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง