ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ย.2005, 7:01 am |
  |
มีการกล่าวว่าการทำงานคือ การปฏิบัติธรรม
การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม นี่เป็นอย่างไร?
หมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมประเภทไหน ที่ทำงานไปแล้วก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย
หมายถึงงานชนิดใด ที่สามารถทำแล้วเป็นการปฏิบัติธรรมด้วย หรือเป็นงานทุกชนิดที่
ชาวโลกประพฤติกันอยู่ก็เป็นงานที่เหมาะสมแก่การจะปฏิบัติธรรมอย่างนั้นใช่หรือไม่?
ถ้าไม่ใช่อย่างที่กล่าวแล้ว ทำไมจึงมีคำกล่าวว่าการทำงาน คือ การปฏิบัติธรรมเล่า
ด้วยการเจริญสติไปกับการทำงานของฆราวาสนั้นเป็นไปได้เพียงใด มากน้อยเพียงใด เป็น
เพื่อประโยชน์ใหญ่ได้มากเพียงใด?
เป็นประโยชน์เพียงพอในการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่เพียงใด |
|
|
|
|
 |
max
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ย.2005, 10:15 am |
  |
สวัสดีครับท่านอาคันตุก
ตามความเข้าใจของผม กิจการงานทางที่อยู่เหนือโลกก็คือการทำงาน ที่จะเป็นไปเพี่อความสิ้นสุดแห่งทุกข์ ก็คือการเจริญสติ เฝ้าสังเกตุดูการทำงานของรูป นาม เท่านั้นครับ
|
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ย.2005, 11:05 am |
  |
กราบสวัสดีค่ะคุณอาคันตุกะ
การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม อย่างหนึ่ง ทำเพื่อละชั่ว ความเสียหายที่อยู่ในจิตใจของเราให้หมดไปทีละน้อยๆ หากอยู่ในฐานะที่สามารถอบรมแนะนำสั่งสอนได้ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะของครอบครัวก็ควรอบรมลูกหลาน ในฐานะหัวหน้างาน หรืออยู่ในตำแหน่งงานที่สูงกว่า ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำก็ควรอบรมแนะนำสั่งสอนในเรื่องคุณงามความดีความขยันหมั่นเพียรที่จะนำความเจริญมาสู่ชีวิต ทำเพื่องดเว้นความชั่วที่มีอยู่ให้หมดไปทุกขณะ
เมื่อตั้งอยู่ในเรื่องสุจริต หรือ เรื่องกรรมบถ ที่เรียกว่าสอนให้ตั้งอยู่ในคุณงามความดีแล้ว ความชั่วมันก็ไม่มี ปฏิบัติตัวตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ ไม่ต้องรอวันไม่ต้องรอเวลา อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน พยายามทำให้เสมอไป ก็เท่ากับเราได้ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์ให้เจริญอยู่ในจิตใจอยู่ตลอดเวลา
งานทุกชนิดที่ชาวโลกประพฤติกันอยู่ก็เป็นงานที่เหมาะสมแก่การจะปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น การเจริญสติไปกับการทำงานของฆราวาสนั้นเป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมักจะมองเห็นว่าเป็นเรื่องยาก เพราะโดยมากสติสัมปชัญญะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อประสบกับปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงาน แต่หากจะกล่าวไปการจะเจริญสติให้คล่องๆก็ต้องมาจากการฝึกปฏิบัติแนวทางให้ถูกต้องตามคำแนะนำจากครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่ายนัก
ประโยชน์คือ ปัญญาที่นำมาใช้ให้เกิดความสร้างสรรค์ในการทำงาน ในการแก้ปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาลักษณะใด ทีนี้คนเรามักมองไม่เห็นความสำคัญ เพราะหลุดไปกับอารมณ์ที่มากระทบบ้าง หลงไปกับกิเลสแห่งตนบ้าง ไปปรุงแต่งบ้าง ไม่พิจารณาในทางที่ถูกที่ควร แทนที่จะพิจารณาตรงอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ตนเอง กลับไปใส่ใจกับสิ่งที่มากระทบจากภายนอก ก็คิดจนหัวแตกปัญญาก็ไม่เกิด
ประโยชน์ในการเจริญสติมากมายมหาศาลยิ่งนัก อีกทั้งเป็นการบำบัดตนเองให้มีสุขภาพพลามัยแข็งแรงสมบูรณ์อย่างที่เราๆท่านๆนึกไม่ถึงทีเดียว เป็นประโยชน์เพียงพอในการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แต่หากได้เจริญการปฏิบัติจากสมถะมาตามลำดับ ปัญญาก็จะเจริญมาตามลำดับเช่นกัน และเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการเจริญสติได้คล่องแคล่วต่อไป
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
le123
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ย.2005, 8:19 pm |
  |
เรียน คุณอาอาคันตุก
หนูได้ยินบ่อยสำหรับคำนี้ คิดว่าเป๊นสิ่งที่ถูกต้อง เราได้ทำงานเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านด้วย อีกอย่างคือขณะปฎิบัติงานเรามีสติไปด้วยตลอด |
|
|
|
|
 |
วรากร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ย.2005, 11:24 am |
  |
มีการกล่าวว่าการทำงานคือ การปฏิบัติธรรม
การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม นี่เป็นอย่างไร?
ตอบ
ธรรมในนี้คือ ทุกๆสิ่ง รวมทั้งตัวเราด้วย การทำงานเหมือนการใช้จิตทำตามที่เรากำหนด บางคนอาจไม่รู้ตัวว่าสั่งจิตได้ตอนทำงาน การทำงานย่อมต้องใช้สมาธิ แล้วสมาธินี้ก็ไม่ใช้นั้งหลับตาด้วยซิ แต่เป็นสมาธิที่เกิดตามธรรมชาติ
หมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมประเภทไหน ที่ทำงานไปแล้วก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย
ตอบ
ทำคนทำได้หมด แต่ไม่คิดว่านั้นก็เป็นการปฏิบัติธรรม
หมายถึงงานชนิดใด ที่สามารถทำแล้วเป็นการปฏิบัติธรรมด้วย หรือเป็นงานทุกชนิดที่
ชาวโลกประพฤติกันอยู่ก็เป็นงานที่เหมาะสมแก่การจะปฏิบัติธรรมอย่างนั้นใช่หรือไม่?
ตอบ
ทุกๆงาน
ถ้าไม่ใช่อย่างที่กล่าวแล้ว ทำไมจึงมีคำกล่าวว่าการทำงาน คือ การปฏิบัติธรรมเล่า
ตอบ
งานไดทำด้วยความมีสติ พร้อมด้วยสมาธิ ก็คือการทำงานพร้อมด้วยการปฏิบัติธรรม
ด้วยการเจริญสติไปกับการทำงานของฆราวาสนั้นเป็นไปได้เพียงใด มากน้อยเพียงใด เป็น
เพื่อประโยชน์ใหญ่ได้มากเพียงใด?
ตอบ
ทำได้แล้วแต่บุคคล มีประโยชน์มาก เพราะสามารถสั่งจิตให้ทำงานได้หลายๆอย่าง
เป็นประโยชน์เพียงพอในการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่เพียงใด
ตอบ
จิตโดยธรรมชาตินั้นมันรวดเร็ว สงบได้อยาก การทำงานทำให้จิตได้เรียนรู้ ไม่ได้วอกแวกไปไหน ไม่เช่นนั้นงานไม่เสร็จ สิ่งรอบข้างเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อทำงานไม่เสร็จ จิตก็จะไม่รับรู้ด้วย
ความจริงการปฏิบัติธรรมมีมากมาย แต่ละบุคคลมีวิธีต่างๆกันไป
(พิมพ์ยากกว่าพูด) |
|
|
|
|
 |
ผู้เดินทาง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ย.2005, 1:50 pm |
  |
ธรรมะ แบ่งออกเป็น 2 คือ โลกียะธรรม 1 โลกุตตรธรรมะ 1
โลกกียะธรรมช่างกว้างเสียนี่กระไร ท่านกล่าวไว้ในคิหิปฏิบัติ ยกเอามาพอเป็นกระสัยสักนิดหนึ่งก็พอน่ะครับ
การทำหน้าที่ของสามี มี 5 อย่าง คือ
สามีดีมี 5 ท่านว่าไว้
1 ตั้งใจยกย่องประคองขวัญ
2 ไม่ดูถูกภรรยาให้จาบัลย์
3 ปักใจมั่นไม่นอกใจจนวางวาย
4 มอบความเป็นใหญ่(การเรือน) ให้สายสมร
5 ให้อาภรณ์ประดับสำหรับร่าง
สมบัตินี้มีครบไม่จบจาง เป็นเยี่ยงอย่างยอดสามีดีนักเอย.
การทำหน้าที่ของภรรยามี 5 อย่าง........
การทำหน้าที่ของบุตรธิดามี 5 อย่าง ...........
อีกแยะแยะครับ..........
|
|
|
|
|
 |
ลุงรินทร์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ย.2005, 2:32 pm |
  |
การที่กล่าวว่าการงานคือการปฏิบัติธรรมนั้น ก็หมายถึงว่าให้การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ว่าผลตอบแทนนั้นไม่ได้กลับมาเป็นเงินทองแต่ว่าจะกลับมาเป็นอะไรนั้นกระผมไม่สามารถที่จะกล่าวได้ อยู่ที่ว่าคุณนั้นจะปฏิบัติไม้มากน้อยเพียงใด ผลนั้นย่อมมีแน่อยู่ที่การกระทำนั่นเอง
อยากจะแนะนำเพิ่มเติมครับ
จริงอยู่ว่าคนเรานั้นจำเป็นจะต้องทำการงานของตัวเองเพือ่ที่จะหาเลี้ยงครอบครัวและตัวเอง แต่ว่าถ้าจะพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ตอ้งหาให้เหมาะให้ควรที่เราและครอบครัวต้องการที่จะใช้จ่าย แล้วความจริงอย่างหนึ่งที่เรานั้นต่างก็ทราบเป็นอย่างดีแล้วก็หนีไม่พ้นด้วยก็คือความตาย เรื่องตายนั้นอย่าไปคิดมากยังไงก็ตายแต่ว่าชีวิตที่เหลืออยู่ก่อนที่จะตายนั้นเราต้องทำให้ถูกต้อง แล้วถ้าเป็นการปฏิบัติธรรมะตามทางของพระพุทธเจ้าแล้วทำได้ทุกที่ทุกเวลา
ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าทำได้ทุกที่ทุกเวลานั้นคือ มรรค์มีองค์ ๘ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ลองมาดูว่าทำได้ทุกที่อย่างไร
สัมมาทิฏฐิคือ ความเห็นที่ถูกต้อง
ความเห็นที่ถูกต้องนั้นก็ได้แก่การที่เรานั้นพิจารณาให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบกับจิตใจ พิจารณาด้วยความแยบคายให้เห็นว่ามันไม่ได้เที่ยงแท้ หรือว่าเป็นทุกข์หรือว่าเป็นอนัตตาแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน
ถ้าพิจารณาโดยความเป็นจริงก็จะเป็นว่าสัพพสิ่งที่อยู่รอบข้างเรานั้นไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้จริงสมดังที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสไว้
สัมมาสังกัปปะ คือความคิดที่ถูกต้อง แบ่งออกเป็น ๓ คือ
๑ ความคิดที่ออกจากกาม
๒ ความคิดที่ไม่พยาบาท
๓ ความคิดที่ไม่เบียดเบียน ทั้งตนเองและผู้อื่น
สัมมาวาจา คือการกล่าววาจาที่ถูกต้อง
๑การไม่พูดโกหก
๒การไม่พูดสิ่งที่หยาบคาย
๓การไม่พูดส่อเสียด
๔การไม่พูดสิ่งที่ไร้สาระ
สัมมากัมมันตะ คือ การแสดงออกทางกายที่ถูกต้อง คือ
๑ การไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด ทั้งด้วยตนเองและใช้ผู้อื่นฆ่า
๒การไม่ลักทรัพย์ของผู้อื่น ทั้งด้วยตนเองและใช้ผู้อื่นลัก
๓การไม่ประพฤติผิดในกาม ทั้งลูกเเละภรรยาหรือว่าสามี รวมถึงบุคคลที่มีผู้หวงแหน
สัมมาอาชีวะ คือการประกอบอาชีพที่ถูกต้อง คือ การที่ไม่ทุจริตในเรื่องของอาชีพโดยการใช้วาจา และ การกระทำทางกายที่ไม่ถูกตอ้ง
สัมมาวายามะ คือ การพยายามที่ถูกตอ้ง หรือ เพียรอย่างถูกต้อง
คือ
เพียรละอกุศลที่เคยกระทำมาแล้ว
เพียรไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น
เพียรสร้างกุศลใหม่ให้เกิดขึ้น
เพียรทำกุศลที่มีอยู่ให้เจริญขึ้นๆไป
สัมมาสติ คือ การระลึกที่ถูกต้อง หรือ การระลึกถึงแต่ความเป็นจริงได้แก่ สติปัฎฐาน
สัมมาสมาธิ คือ การตั้งมั่นที่ถูกตอ้ง หรือ การที่จิตพร้อมที่จะใช้ในการพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
คุณจะเห็นได้ว่าคุณนั้นทำได้ทุกที่โดยจะแสดงให้เพิ่มเติม
ในชีวิตจริงของคุณนั้น ปราศจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัสต่างๆ การนึกคิด ไม่ได้อย่างแน่นอนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
วิธีการนี้ก็คือ ว่าถ้ามีอารมณ์มากระทบ เช่น การเห็น การได้ยินฯ คุณตอ้งอาศัยความเพียรชอบ หรือ สัมมาวายามะ และ สัมมาสติ ความระลึกชอบ และ สัมมาทิฏฐิ เข้ามาช่วยคุณให้พิจารณาสิ่งที่คุณได้เห็น หรือว่าได้ยินเป็นต้นนั้นด้วยความเป็นจริง เมื่อเห็นความเป็นจริงว่าไม่เที่ยงหรือว่าเป็นทุกข์หรือว่าอนัตตา แล้ว ในขณะนั้นก็ทำให้จิตใจปราศจากตัณหาและอุปาทาน เมื่อปราศจากตัณหาและอุปาทานแล้ว ก็ไม่ทุกข์
จะเห็นได้ว่าเราใช้ไปแล้ว ๓ องค์
ส่วน สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะนั้นจะมีส่วนช่วยทางด้านร่างกายให้มีความถูกต้องมีความบริสุทธิ์ทางด้านกาย
สัมมาวาจา นั้นช่วยให้บริสุทธิ์ทางด้านวาจา
เมื่อความบริสุทธิ์ถูกต้องทั้งทางด้ายกายและวาจาแล้วก็มีส่วนที่จะช่วยให้จิตทำงานได้ง่ายขึ้น
ส่วนสัมมาสังกัปปะ และ สัมมาสมาธินั้นจะช่วยทางด้านจิต ให้จิตนั้นพร้อมที่จะใช้ในการพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เสมอ
จะเห็นได้แล้วว่าทำได้ทุกที่ทุกเวลาแต่ก็ต้องหมั่นฝึกฝนไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องทำเป็นเสมือนกับการงานที่เรานั้นได้ทำอยู่ทุกๆวัน
อย่ามัวรอเวลารอสถานที่หรือว่ารอให้แก่ก่อนค่อยทำเลย ควรที่จะเริ่มทำกันได้แล้ว
ขอให้เจริญในธรรม
ลุงรินทร์
|
|
|
|
|
 |
ลุงรินทร์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ย.2005, 2:36 pm |
  |
ขอเพิ่มเติมครับ
ปัญญาจะสมบูรณ์ได้ก็ต้องมาจาการที่เจริญมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างสมบูรณ์ครับ
อย่าท้อถอยครับ
จิตนั้น
ถ้าไม่เป็นกุศล ก็เป็นอกุศลครับ
เพราะฉะนั้น พยายามอย่าให้จิตเป็นอกุศลเลยครับ
ลุงรินทร์ |
|
|
|
|
 |
ผู้ใหม่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ย.2005, 9:55 pm |
  |
ทุกคนเกิดมาแล้วมีหน้าที่ ตั้งแต่เกิดจนตาย เช่นเป็นลูกก็ต้องทำหน้าที่ของลูก...เป็นพ่อ เป็นแม่ ก็ต้องทำหน้าที่ของพ่อแม่ เป็นพลเมืองก็ต้องทำหน้าที่ของพลเมืองเป็นต้น นี่แหละคือ การปฏิบัติธรรม |
|
|
|
|
 |
อาคันตุก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
18 พ.ย.2005, 6:59 am |
  |
ขอขอบคุณครับ
ผมอาจสรุปได้ว่าการทำงานที่กล่าวนั้น หมายถึงงานที่ไม่ประกอบด้วยอกุศล หมือไม่เป็นมิจฉาชีพก่อน คือเป็นสัมมาอาชีพ และผู้ที่ทำงานต่างๆจะต้องเป็นผู้อยู่ในศีลเสียแต่เบื้องต้น จึงเป็นการปฏัติธรรมในการทำงานได้
แต่ในโลกนี้มีงานหลายชนิดที่เป็นมิจฉาชีพ งานหลายชนิดที่ไม่ได้กล่าวคำจริง แต่กล่าวคำไม่จริง งานเหล่านี้แม้ทางโลกถือว่าอาชีพสุจริตก็จริง แต่ประกอบด้วยอกุศล เช่นการต่อสู้เรื่องของคดีก้อาจเว้นเสียที่จะพูดความจริง เพื่อไม่ให้ตนเสียประโยชน์ งานเหล่านี้ประกอบด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้องในงานนั้นมาก
ที่จริงแล้วการทำงานคือปฏิบัติธรรมมีความหมายอย่างไร? ความหมายในเรื่องการมีคุณธรรม คือจริยธรรมของคน หรือความหมายในการเจริญสติ การทำสติ สัมปชัญญะในงานทั้งหลาย ?
|
|
|
|
|
 |
max
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 พ.ย.2005, 9:24 am |
  |
สวัสดีครับ
การงานทุกอย่าง มิว่าในทางคดีโลก หรือ คดีธรรม ถ้ามีสติคอยควบคุมระวังอยู่แล้ว ความผิดพลาดก็ไม่มี หรือแม้จะมีก็เป็นไปโดยส่วนน้อย ทำให้เป็นผู้มองเห็นโทษและอานิสงส์ของการงานที่จะทำลงไป ความมีสติรอบคอบ ย่อมช่วยผู้มีศีลให้ดียิ่งขึ้น
ความมีสติรอบคอบ มีสติคอยตรวจตราอยู่เสมอ ไม่เลินเล่อ
ความระวังในเรื่องอาหารการกิน
ความระวังในหน้าที่การงาน
ความระวังในการทำ การพูด การคิดของตนมิให้พลาดเป็นต้น
 |
|
|
|
|
 |
คนตกงาน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
23 พ.ย.2005, 12:09 pm |
  |
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นด้วยคนครับ เป็นไปได้ไหมครับว่าในงานที่เราทำมีธรรมมะแฝงอยู่ตลอดเวลา คุณพระผู้บรรลุธรรมท่านถึงได้มองว่าการทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม ยิ่งทำงานก็ยิ่งได้เห็นธรรม
พูดถึงงานทำให้ตัวเองอยากหางานทำให้ได้เร็วขึ้นอีก ตกงานมาเกือบสองปีแล้วได้แต่ปฏิบัติธรรมอย่างเดียวทุกวันแต่ไม่ได้ทำงานจริงจริงสักที แต่ก็ดีไม่ทุกข์เหมือนตอนทำงานอย่างเดียว
ขอให้เจริญในธรรมครับ  |
|
|
|
|
 |
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 พ.ย.2005, 10:57 am |
  |
"มีการกล่าวว่าการทำงานคือ การปฏิบัติธรรม..." สมมติว่าไม่สนใจว่าใครกล่าว และข้อความนี้เป็นจริงมากน้อยเพียงใด แต่อาสาอธิบายธรรม ดังนี้
ธรรมคือสิ่งใด หากจำแนกธรรมออกเป็นสอง โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม อธิบายได้ดังนี้
งานของฝ่ายคฤหัสถ์ ซึ่งเกี่ยวข้องด้วยวิถีเลี้ยงชีพนั้น ก็พึงละเว้นข้อห้าม เช่น ศีลห้า อบายมุข และปฏิบัติ สังคหวัตถุสี่ ฯลฯ อย่างนี้ก็เรียกได้ว่าปฏิบัติธรรมฝ่ายคฤหัสถ์ ขณะเดียวกันในการทำงานย่อมต้องพบปะปัญหา อุปสรรค และสิ่งที่มากระทบอารมณ์ ทำให้อารมณ์ปรวนแปรขุ่นมัวได้ง่าย การเรียนรู้จัดการกับสิ่งที่มากระทบอารมณ์ด้วยการฝึกปฏิบัติละ ปล่อยวางอารมณ์ชนิดต่างๆที่มากระทบ เป็นการฝึกฝนในสมรภูมิที่ข้าศึกแกร่งกล้า นี่ก็เป็นหลักฐานว่าการทำงานย่อม เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งคือ เพียรฆ่าความโกรธ ความเกลียด ฯลฯ
การทำงานเพื่อปากท้องก็เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีโอกาสได้ทำงานที่สำคัญที่สุดคือ ทาน ศีล ภาวนา การทำงานประจำวันจึงไม่ควรขัดต่อหลักการของงานที่สูงส่งกว่า อย่างนี้จึงชื่อว่าการทำงานคือ การปฏิบัติธรรม
งานของฝ่ายภิกษุนั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา (ฝ่ายคฤหัสถ์ด้วยนั่นแหล่ะ) ก็เป็นงานสำคัญที่สุดของมนุษย์ คือ ข้ามพ้นวัฏสงสาร การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรมโดยไม่มีข้อสงสัย
ก็ตอบอย่างที่คิดครับ |
|
|
|
|
 |
|