Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
พอดี...พอดี..สายกลาง....กลางสาย
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
เด็กฝากมาถาม
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2005, 1:20 pm
อย่างไรถึงจะเรียกว่า พอดี ๆ
และทางสายกลาง
อารมณ์ความรู้สึก
นำมาด้วยได้หรือไม่
ถ้าทำได้ จะมีผลกับการดำเนินชีวิตอย่างไรคร๊าบ
max
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2005, 3:58 pm
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประกาศทางสายกลางเป็นองค์แรกก่อนศาสดาใดๆ ในโลก พระองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง พระองค์เคยทรมานร่างกาย จนเกือบสิ้นลมหายใจ เพื่อต้องการตรัสรู้ธรรม แต่ก็ไม่สำเร็จ เริ่มตั้งสติพิจารณาถึงความจริงจึงได้รู้ว่า จะทำอะไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่ที่ความพอดีคือทางสายกลาง ตึงเกินไปมันก็ขาด หย่อนเกินไปมันดีดไม่ดัง ต้องสายกลางพอดีๆ ดีดังไพเราะและก็ไม่ขาดด้วย พระองค์ทรงเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรมของพระองค์ พระองค์เหมือนพิณสามสาย ทางสายกลางนี้ทำให้พระองค์ตรัสรู้ธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราก็ควรยึดทางสายกลางนี้เป็นเครื่องดำเนินชีวิต ทางสายกลางก็ให้รู้ว่าขนาดไหนจึงจะเป็นทางสายกลาง มันขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน เราต้องกำหนดเอาเองตามกำลังมันสมอง และความสามารถของเรา เด็กจะเดินสายกลางของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะเดินสายกลางของเด็กไม่ได้ มันเป็นของใครของมัน
จะทำอะไรก็ตามเถิด ให้ยึดทางสายกลางไว้เป็นพอ จะทำงานใหญ่งานเล็ก จะนั่งสมาธิภาวนา จะเทศน์จะบรรยายธรรม ก็ควรเดินตามทางสายกลาง เพราะทางสายกลางนำไปสู่ความสุขใจ ที่มันทุกข์ใจวุ่นวายใจจะเป็นบ้ากันอยู่ทุกวันนี้ เพราะทำอะไรเกินตัว อย่างงานบางอย่างมันเกินความสามารถของตนก็ไม่ต้องทำเพราะมันเกินความสามารถของเรา รู้จักประมาณตน รู้จักฐานะของตนนั้นแหละคือทางสายกลาง เราพูดกันแต่ปากว่าทำอะไรให้ยึดสายกลางไว้ ดึงไปมันก็ขาด หย่อนไปมันก็ดีดไม่ดัง แต่ไม่ได้พากันปฏิบัติให้มันเป็นบุญเป็นคุณขึ้นมา ในครอบครัวก็เหมือนกันทำอะไรก็ให้ยึดสายกลางไว้ ถ้าตึงเกินไปคนในบ้านก็ปั่นป่วน หย่อนเกินไปก็เหลิงได้ใจ ธรรมข้อนี้ช่วยแก้ปัญหาได้
ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเถิด แล้วความสุขที่เราฝันหาก็จะมาเป็นของเรา พวกเราต้องการแต่ความสุข ต้องการแต่ความสำเร็จในชีวิตกัน แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นเหตุที่จะนำความสุขหรือความสำเร็จมาให้ เหมือนอยากให้ต้นไม้งามออกดอกออกผล แต่ไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ต้นไม้เลย จะไปโทษต้นไม้ก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเรา เพราะไม่ได้ดูแลต้นไม้ มีอยู่คนหนึ่งเขาปรับทุกข์ให้ฟังว่า ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ อายุก็มากขึ้นทุกวัน เพื่อนๆ มีหลักมีฐานทุกคน มีแต่เขาเท่านั้นยังไม่มีอะไรเลย ให้พระดูหมอให้ ท่านก็ว่าอายุเท่านั้นจะตั้งตัวได้ จะมีเงินมีทองมีบ้านเป็นของตัว ผ่านอายุที่ท่านว่ามาหลายปีแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรดีขึ้น ทำให้เขากลุ้มใจมาก จะไปตั้งตัวอะไรได้ละคุณโยม เพราะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เอาแต่เที่ยวเตร่ หย่อนยานต่อการปฏิบัติการงาน ทำไม่เหมาะไม่สมกับการงาน มันจะสำเร็จได้อย่างไร ต้องมีความขยันหมั่นเพียร ควรแก่การงาน จึงจะประสบผลสำเร็จสมความตั้งใจ เหมือนพระพุทธดำรัสที่ตรัสว่า ผู้ที่ทำเหมาะสม มีความเพียร ย่อมหาทรัพย์ได้ ทางสายกลางเป็นธรรมที่ทุกคนควรให้ความสนใจ
ตึงมากมันต้องขาดแน่นอน หย่อนมากก็ล้มเหลวไม่มีหลักยึด พบกันครึ่งทางนั่นแหละดี ตึงเกินไปหย่อนเกินไปก็เป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง ความขัดแย้งกันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ เราต้องเรียนรู้มันว่าทุกข์มาจากเหตุอะไร พอมีสติพิจารณาก็จะเห็นของจริงคือมาจากตึงเกินไปหรือไม่ก็หย่อนเกินไป มีบางครั้งเราทะเลาะกันเรื่องลูก ปล่อยลูกให้ไปตามใจ ตามใจลูกทุกอย่าง ในที่สุด ลูกได้ใจ ทำอะไรตามใจตนทุกอย่าง อยากได้อะไรก็จะเอาให้ได้ดังใจ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วพ่อแม่ต้องทะเลาะกันเพราะลูก แต่ละวันปวดหัวเพราะลูก ไปทำงานก็ไม่มีความสุขเพราะเรื่องลูกมันกวนใจ กลับบ้านก็ไม่มีความสุขเพราะเรื่องของลูกมันค้างใจอยู่ จะมีบ้าน ๑๐๐ ชั้นสูงเท่าตึกเซียร์ มันก็ไม่มีความสุข ตึงเกินไปก็เหมือนกันนั่นแหละคุณโยม
รู้จักตน รู้จักฐานะของตน แล้วดำเนินชีวิตไปตามความเป็นจริงของตนนั่นแหละ ท่านเรียกว่าผู้รู้จักประมาณตน ผู้เดินทางสายกลาง หรือจะเรียกว่าผู้รู้ธรรมก็ได้ ผู้ไม่รู้จักประมาณตน ไม่เดินสายกลาง มักทำอะไรเกินตัว แม้แต่การช่วยเหลือผู้อื่น มันก็มีขอบเขต มีขีดจำกัด ทั้งๆ เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ควรเห็นใจ แต่มันก็มีวงจำกัด ไม่ว่าจะทำอะไ ร ท่านให้ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนแล้วจึงทำ ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรม หรือผู้มีธรรมเป็นเครื่องดำเนินชีวิต
ผู้ดำเนินชีวิตด้วยธรรมย่อมประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา อยากมีความสุข อยากห่างไกลทุกข์ พึงยึดธรรมเป็นที่พึ่งเถิด มีสติเพ่งมองดูตัวเอง หรือจะส่องกระจกพูดกับเงาตนเองก็ได้ว่า คุณตึงไปก็ไม่ดีน่ะ หย่อนไปก็ไม่ดีน่ะ ต้องพอดีๆ ทางสายกลางน่ะ พระท่านว่า ทางสายกลางเป็นทางนำไปสู่ความสำเร็จ นำไปสู่สวรรค์ นำไปสู่นิพพาน นอกเหนือจากทางนี้แล้ว นำไปสู่นรก นำไปสู่เหวลึก นำไปสู่เมืองเปรต เมืองมาร ส่องกระจกเงาอย่าส่องดูแต่ความงามอย่างเดียว ส่องมองดูความไม่ดีไม่งามที่ใจด้วย ใจเรามันมีกิเลสตัวไหนค้างอยู่ที่ทำให้เราเดินสายกลางไม่ได้ แล้วกำจัดทำลายมันออกไป อย่าไปคิดด่าแต่คนอื่น ส่องกระจกด่าตัวเองบ้าง จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากการส่องกระจก
http://www.dhammaram.com/Data1/Article/nong/Dhamma/04.htm
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 12:17 pm
ทำอย่างไร ถึงจะเรียกว่า พอดี
ตอบ เมื่อใจรู้สึกว่า พอ พอแล้ว นั่นแหละครับ ดี
ส่วนเรื่องอารมณ์ต่างๆ เราเป็นฆราวาส ผู้มีกิเลสอยู่ ย่อมไม่อาจระงับได้ เอาเป็นว่า ค่อยๆ ทำไปในเบื้องต้นสิครับ
เหมือน การดูหนังสือสอบ ถามว่า ดูไปหัวเราะไป ร้องไห้ไป ได้หรือไม่ คำตอบคือ ก็ทำได้ แต่จะไม่มีสมาธิเท่า ดูหนังสือ เฉยๆ ใช่มั้ยครับ แล้วก็จะอ่านได้ไม่รู้เรื่องเท่าดูหนังสือเฉยๆ
เฟ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 12:30 pm
อย่างไรถึงจะเรียกว่า พอดี ๆ
และทางสายกลาง
คือการรู้จักพอ เช่น ทานข้าว 10 คำอิ่ม คำที่ 11 ก็ไม่ต้องหามาใส่ปากแล้ว แม้ว่าเราจะยังอร่อยอยากจะทานอีกก็ตาม
อารมณ์ความรู้สึก นำมาด้วยได้หรือไม่ นำมาได้ซิค่ะ แต่อารมณ์และความรู้สึกนั้น เราต้องควบคุมได้ และมีสติ รู้ อารมณ์ รู้ความรู้สึก
ถ้าทำได้ จะมีผลกับการดำเนินชีวิตอย่างไรคร๊าบ
เราก็จะมีชีวิตที่สงบสุข ไม่เหนื่อยกับการดิ้นรน ไม่ร้อนอกร้อนใจ ในการขวนขวายหาสิ่งที่รักที่พอใจ
พลอย
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 1:24 pm
ถ้าตั้งโปรแกรมได้ก็ดีนะครับ
นิพพาน
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 30 ต.ค. 2006
ตอบ: 34
ตอบเมื่อ: 03 พ.ย.2006, 12:05 am
จะทำอะไรก็ตามเถิด ให้ยึดทางสายกลางไว้เป็นพอ จะทำงานใหญ่งานเล็ก จะนั่งสมาธิภาวนา จะเทศน์จะบรรยายธรรม ก็ควรเดินตามทางสายกลาง เพราะทางสายกลางนำไปสู่ความสุขใจ ที่มันทุกข์ใจวุ่นวายใจจะเป็นบ้ากันอยู่ทุกวันนี้ เพราะทำอะไรเกินตัว อย่างงานบางอย่างมันเกินความสามารถของตนก็ไม่ต้องทำเพราะมันเกินความสามารถของเรา รู้จักประมาณตน รู้จักฐานะของตนนั้นแหละคือทางสายกลาง เราพูดกันแต่ปากว่าทำอะไรให้ยึดสายกลางไว้ ดึงไปมันก็ขาด หย่อนไปมันก็ดีดไม่ดัง แต่ไม่ได้พากันปฏิบัติให้มันเป็นบุญเป็นคุณขึ้นมา ในครอบครัวก็เหมือนกันทำอะไรก็ให้ยึดสายกลางไว้ ถ้าตึงเกินไปคนในบ้านก็ปั่นป่วน หย่อนเกินไปก็เหลิงได้ใจ ธรรมข้อนี้ช่วยแก้ปัญหาได้
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th