Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ละความโกรธ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2004, 10:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ละความโกรธ






ในการแก้ความโกรธนั้น เป็นความยากลำบากอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีนิสัยมักโกรธ เพราะจะโกรธง่าย โกรธนาน และวันหลังกลับมาคิดอีก ก็โกรธใหม่อีก เป็นเรื่องทรมานมากสำหรับผู้มีนิสัยเช่นนี้ ฉันนี่เองแหละ ที่เป็นตัวอย่างของคนมักโกรธ และได้รับความทุกข์มากมายในใจที่ท่วมท้นไปด้วยความโกรธในแต่ละคราว นอกจากนั้นยังเป็นคนชอบคิดเท้าความถึงความหลังครั้งกระโน้น แล้วก็มาเจ็บช้ำในครั้งกระนี้อีก เรียกว่าเจ็บแล้วไม่รู้จักลืม เรื่องโกรธต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์จึงมักกลับฟื้นคืนชีพมาเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ๆ ให้ช้ำแล้วช้ำอีก





ในการแก้ไขและฝึกฝนเพื่อละความโกรธ ต้องใช้หลายขั้นตอนมาผสมผสานกัน แม้ฉันจะได้แบ่งลำดับออกเป็นหัวข้อ เพื่อแยกให้เห็นชัดเจนแล้วก็ตาม แต่เวลาฝึกต้องใช้ทั้งหมดรวมกันไม่ใช่ทำทีละข้อ ๆ ไป เหมือนกับเรามีผัก พริก โหระพา มะเขือ ไก่ แต่ก็ต้องต้มยำทำแกงกันให้เสร็จเรียบร้อย เป็นแกงเขียวหวานไก่ใส่ชามมาแล้ว จึงจะกินได้ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ส่วนรสชาติจะปรุงดุเด็ดเผ็ดมันหรือหวานอย่างไรก็แล้วแต่อัธยาศัย ถึงแม้ปัจจัยพื้นฐาน คือ นิสัยของแต่ละคนจะแตกต่างกันมาก แต่ฉันก็หวังว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ฉันจะพูดถึงต่อไป คงจะพอเป็นเส้นประให้เห็นเป็นประมาณได้ ( ที่จะเล่านี้ ประมวลจากประสบการณ์ส่วนตัว อาจไม่







 

_________________
สายลมเริ่มเปลี่ยนทิศแล้ว
ลมหนาวกำลังมาเยือนแล้ว

จันทร์ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๑
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2004, 10:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตรงกับตำราอื่น ) อาจจะปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เข้ากับบุคลิกของแต่ละคน นั่นก็ย่อมเป็นเรื่องทำได้โดยเต็มที่ ขนาดพิซซ่าสมัยนี้ยังมีรสต้มยำกุ้ง คงไม่มีสิ่งใดต้องกังวล





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2004, 10:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยอมรับในตัวเองว่าเป็นคนมักโกรธ






เมื่อสมัยที่เรียนหนังสือ อาจารย์จะบอกว่าสัตว์แต่ละชนิดมี “ อุดมคติลักษณ์ “ คือมีรูปแบบเฉพาะตัว เช่น วัว โฮลสไตน์ เฟรเชียน จะต้องมีสีขาวดำ ฉันนึกไปถึงหมีแพนด้า ที่สีดำของมันไม่เคลื่อนที่ไปไหน จนเอามาทำตุ๊กตาได้ง่าย เพราะสีขาวสีดำจะอยู่ประจำตำแหน่งไม่เคลื่อนย้าย หมาปักกิ่งหน้าไม่เคยเรียบ ช้างไม่มีงาเดียวนอกจากถูกตัด นิสัยคนก็มี ‘ อุดมคติลักษณ์ ’ เหมือนกัน คือ ควรจะมีนิสัยดี ไม่เกเร ไม่ใจง่าย ฯลฯ อุดมคติของนิสัยมีประมาณ 35 ล้านอย่าง แต่การที่จะมีนิสัยอย่างนั้นให้ครบก็ต้องใช้ 35 ล้านนิสัยมาหลอมรวมกันแล้วโขลก



แต่ตอนนี้จะพูดเรื่องเดียวคือเรื่องโกรธ





โกรธนั้นเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ในพระธรรมคำสอนบอกว่า คนมี 3 กิเลส คือ โลภ โกรธ หลง จึงเป็นประกันได้ว่า โกรธใหญ่จริง เป็น 1 ใน 3 ของมาเฟียคุมคน





คนที่มีนิสัยมักโกรธนั้นเป็นทุกข์นัก มันเริ่มไม่สบายตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อยคือ รำคาญ วัยรุ่นคือหงุดหงิด เป็นผู้ใหญ่ของมันคือโกรธ แก่ของมันคือพยาบาท คนเราก็มีเหล่าร้ายนี้ประดับประดา มากน้อยแล้วแต่เคราะห์กรรม แต่ใจก็ไม่สบายไปเสียทั้งหมด เมื่อประสบพบพักตร์ไม่ว่าจะตัวไหนก็ตาม





การจะแก้อะไรสักอย่าง จุดเริ่มต้นก็ต้องยอมรับว่ามีเรื่องต้องแก้ บางคนก็ไปมั่วสุมอยู่กับความโกรธโดยไม่รู้ตัว คือ รู้ตัวว่าโกรธเหมือนกัน แต่ไม่ยอมรับว่าเกิดมาจากนิสัยของตนเอง กลับไปโทษว่า เรื่องนั้นสมควรถูกโกรธต่างหาก สำหรับคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนมักโกรธ และอยากจะเลิกนิสัยนี้ ก็คงไม่มีอะไรจะเล่าให้ฟังอีกต่อไป คงต้องให้เขาอยู่ในความคิดของเขาต่อไปเท่านั้น เพราะเมื่อคิดว่าตนเองไม่ได้มักโกรธ ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไร





ส่วนคนที่อยากจะเลิกโกรธ ก็คือต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนมักโกรธ และไม่ชอบอารมณ์นั้น มีความปรารถนาจะเลิกมันเสีย การรู้ตัวเช่นนี้ ก็เป็นบันไดขึ้นแรก ในการที่จะฝึกปรือเพื่อหยุดความโกรธ





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2004, 10:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีความตั้งใจมากที่จะเลิกโกรธ






ดอกไม้สวยหลากสีบานแข่งกันอยู่ในร้านขายดอกไม้ มันหอบเอาหัวใจไปหมดจนอยากจะเหมามาทั้งร้าน แต่คงต้องไปช่วยขายต้นไม้ใช้หนี้อยู่นานเลยถ้าทำอย่างนั้น เลยซื้อมาต้นเดียว เป็นลั่นทม ต้นสูงเท่าหัวไหล่ คงจะตัดมาจากต้นใหญ่ ๆ สักต้นที่ไหนสักแห่ง เจ้าของร้านบอกว่าไม่ต้องรดน้ำมาก มันจะตาย ฉันถามอย่างห่วงใย





“ เหรอ มันไม่ชอบน้ำขนาดนั้นเชียว “





“มันไม่เอาอะไรมากหรอก หักปักก็ติด มันอยากอยู่จะตายไป “





คำนั้นติดหูกลับมาบ้าน “ มันอยากอยู่จะตายไป “ ฉันเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้ คนแก่ใกล้ตายไม่ยอมตาย เพราะรอลูกชายกลับบ้าน พอลูกกลับมาได้คุยเรื่องที่ค้างคาใจแล้วก็ตาย เป็นความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อรอ





ความตั้งใจมีอานุภาพนัก ถ้าใครปักมันติดเหมือนลั่นทม มันจะไม่ยอมตายง่าย ๆ แต่ความตั้งใจของคนปักติดยาก เหมือนไม้บางชนิดที่ต้องเริ่มที่เพาะเมล็ด เวลาคุยกัน “ ตั้งใจนะ ตั้งใจนะ “ มองตาแป๋วไปในอนาคตว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ดูยาวไกล พอพ้นไปได้วันสองวัน ความตั้งใจไม่รู้ไปไหน มันเบื่อ ไปเที่ยวดีกว่า ตั้งใจอะไรที ทำนานกว่าจะสำเร็จ รอนาน ไม่ชอบรอ





การหยุดความโกรธก็เหมือนกับการเพาะเมล็ด ต้องตั้งใจมากที่จะให้มันมีชีวิตอยู่ เราจะดำรง “ ความประพฤติไป









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2004, 10:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู่ความหยุดโกรธนี้ “ ให้ยาวนานและมีความมั่นคงอยู่ในใจมากทีเดียว จึงจะทำได้ เรียกว่าต้องเหนื่อยกันพักใหญ่ทีเดียวแหละ ต้องคอยเลี้ยงดูประคบประหงมให้ความตั้งใจนี้อ้วนพีมีแรง อย่าปล่อยให้มันเป็นอนิจจังไปโดยเร็ว คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป วันเดียวเบื่อ หมดความตั้งใจไปเสียแล้ว ก็เป็นอันต้องเลิกรา เราต้องมีความตั้งใจซ้อน คือ ตั้งใจที่จะตั้งใจหยุดโกรธให้ดี ก็จะผ่านไปได้ด้วยดี





ความตั้งใจนี้มีความสำคัญมาก เพราะว่าโดยธรรมชาติคนเราย่อมรักสบาย ทำอะไรง่าย ๆ ฉะนั้น ถ้าเราไม่ตั้งใจให้มั่น เราก็จะยกโทษให้ตัวเองทุกครั้งที่โกรธ บอกตัวเองว่าคราวนี้ขอโกรธก่อน ก็เรื่องนี้มันสมควรโกรธ เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้นแหละ สารพัดจะเข้าข้างบอกตัวเองไป





เราควรตั้งใจให้สูงว่า ไม่ว่าเรื่องสมควรหรือไม่สมควร ก็จะไม่โกรธ เพราะจุดหมายไม่ได้อยู่ที่ว่า มันสมควรโกรธไหม แต่จุดหมายอยู่ที่ใจจะไม่โกรธ ฉะนั้น แม้ว่าเรื่องนั้นมันน่าจะโกรธ ก็ต้องทำใจให้ไม่โกรธก่อน ฉะนั้น แม้ว่าเรื่องนั้นมันจะน่าโกรธ





บางทีเหมือนเสียดาย ที่ไม่ได้โกรธเรื่องนั้น มันไม่เท่ เสียเหลี่ยม เสียหน้า โกรธเสียหน่อย เพราะการไม่โกรธในเรื่องที่คิดอยู่ว่ามันน่าโกรธ ก็เหมือนกับการยอมแพ้คู่กรณี พอตั้งใจไม่โกรธ ดูเหมือนกับจะยอมอะไร ๆ ไปเสียหมด บางคนคิดเลยไปถึงการเป็นคนขี้แพ้ แพ้ทุกเรื่อง ความจริงไม่ใช่ หลวงพ่อพระพยอม กัลยาโณ สอนว่า “ ยอม หยุด เย็น “ เมื่อเรายอมฟัง เราจะไม่โกรธ การ









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2004, 10:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทะเลาะกันก็จะหยุดไป ความเย็นก็จะเข้ามาในใจ พอให้มีสติ มองเหตุการ์ณในมุมอื่น เหตุผลอื่นได้ เพราะความเย็นทำให้ตาสว่างมองอะไรได้กว้าง ไร้เมฆหมอกปิดบัง คนโบราณว่า ให้เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ลูบใคร ก็ลูบทั้งเราทั้งเขานั่นแหละ ถ้าโกรธมากเอาน้ำเย็น ลูบไม่ไหว เอาน้ำเย็นสาดก็ยังดี คงจะใช้แทนกันได้ ยังไงคงดีกว่าน้ำร้อน คือ พอมันเย็นไปฝ่าย อีกฝ่ายก็ต้องคลายลงด้วยไม่มีแรงปะทะ เหมือนตบมือข้างเดียวไม่ดัง





แม้เราจะมีความตั้งใจมาก แต่ใหม่ ๆ เวลามีเรื่องเข้ามาให้โกรธ ก็จะโกรธ คือจับไม่ทัน แต่อย่าได้กังวล ให้ตั้งใจต่อไป อะไรมันมีใหม่ได้มันก็เก่าได้ เก่าคือนาน คือทำไปนาน ๆ มันจะโกรธช้าลงและน้อยลงไปเอง แต่อย่าให้ความตั้งใจลดน้อยลงตามไปด้วยก็เป็นอันใช้ได้







 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 6:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตุ๊กตาล้มลุก




สมัยเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้นมัธยม เคยได้ยินอาจารย์พูดว่า “ สันดอนนั้นขุดง่าย แต่xxxขุดยาก “ ฟัง ๆไปก็นึกว่าเป็นคำคล้องจองกันเฉย ๆ ก็ขำกันไป พอแก่แล้วจะมาฝึกหัดเลิกละนิสัยมักโกรธของตัวเอง จึงได้สำนึกถึงคำโบราณคำนี้ โอ มันขุดยากจริง ๆ ว่าจะไม่โกรธแล้วเชียว ไม่ทันไรเลย โกรธไปเรียบร้อยแล้ว วิถีจิตนี่มันไวจริง ๆ ตามไม่ทันเลย นึกขึ้นมาได้ทีไรเป็นอดีตไปแล้วทุกที โกรธทะเลาะกันไปเรียบร้อยแล้ว บางทีน้ำตาแห้งแล้วจึงสำนึกได้ว่าโกรธอีกแล้ว





จึงได้นั่งนึกว่าจะทำอย่างไรหนอกับความโกรธของตัวเองเพราะโกรธแล้วก็เป็นทุกข์เหลือเกิน ทำให้มีเรื่องราวเกิดขึ้น และทำให้คู่กรณีของเราก็โกรธเป็นทุกข์ไปด้วยอีกคน ช่างไม่ดีจริง ๆ เลยความโกรธนี่





คุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เขียนเล่าไว้ในหนังสือประวัติชีวิตของเขาเองว่า “ วันหนึ่ง ผมก็ลุกขึ้นมาประกาศเลยว่า พรุ่งนี้ผมเลิกชั่วตลอดชีวิต แล้วผมก็เลิกเลย “





ช่างเป็นคนเข้มแข็งอะไรปานนั้น ฉันนึกนิยมในใจ ครั้นจะเลียบแบบบ้างก็คิดว่าคงไปไม่ได้ไกล สำหรับหัวข้อความโกรธนี้ เพราะจะเลิกโกรธพรุ่งนี้ไปตลอดชีวิตเลยได้ไง ในเมื่อโกรธแล้วยังไม่รู้ตัวเลย ตามไม่ทัน เห็นทีจะต้องเอาคุณเฉลิมชัยไปเป็นตัวอย่างแก่ตนเองในข้ออื่นจะดีกว่า คิดได้ดังนั้นแล้ว ฉันก็ย้ายวิก





ฉันไปดูตุ๊กตาล้มลุกเป็นตัวอย่างและเป็นกำลังใจ









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 6:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่เป็นไร วันนี้โกรธแล้วก็แล้วไป พรุ่งนี้ตั้งต้นไม่โกรธกันใหม่ ล้มแล้วก็ลุกไปเรื่อย ๆ ผ่อนคลายตัวเองหน่อย พระพุทธเจ้าสอนว่าทางสายกลาง แต่อย่าหย่อนเกินไปก็แล้วกัน ไม่งั้นจะเป็น “ โกรธได้ย่ะ “ “ จะโกรธย่ะ “ อันนี้คือล้มไม่ลุก





แล้วก็ไม่ต้องถึงกับหักคะแนนตัวเอง ตำหนิตัวเองว่า โอย ฉันแย่จังเลย ทำไม่ได้เป็นคนไม่เข้มแข็ง รู้สึกเศร้าหมองจนบั่นทอนกำลังใจตัวเอง ไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนั้น เอาแค่มองตรง คือตั้งใจใหม่ กับมองสูงว่าจะต้องทำได้ในที่สุด ไม่ต้องมองต่ำว่าเราทำไม่ได้ เพราะอะไรๆมันอยู่ที่เราจะเลือกคิด ฉะนั้น ก็เลือกคิดให้กำลังใจตัวเองเป็นดีที่สุด





พูดมาถึงตรงนี้ อาจจะรู้สึกขัดกับข้อที่แล้ว ที่ว่าให้ตั้งใจมาก ไม่เช่นนั้นจะยกโทษให้ตัวเองทุกครั้งที่โกรธ คราวนี้มาบอกให้เป็นตุ๊กตาล้มลุก คือโกรธได้โกรธแล้วเอาใหม่ แต่ตรงนี้มันต่างกัน





คือตุ๊กตาล้มลุกนี้ รู้ตัวว่าเสียท่าโกรธไปแล้ว ให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ยังดำรงความตั้งใจที่จะหยุดโกรธอยู่ ให้กำลังใจตัวเอง แล้วลองทำใหม่ คือตั้งใจที่จะเป็นตุ๊กตาที่ล้มแล้วลุกใหม่ได้ ถ้าไม่ตั้งใจ ก็คือตุ๊กตาที่ล้มแล้วเลิกเลย





ส่วนการยกโทษให้ตัวเองที่ว่านั้น คือ ฉันไม่ผิด เรื่องมันควรโกรธหรอก ฉันไม่ได้โกรธไปเอง ไม่เสียคะแนนว่างั้นเถอะ ถ้าเข้าใจนัยนี้ได้ ก็จะเห็นว่า 2 ข้อนี้ ไม่ได้ขัดกัน





ตอนหัดใหม่ ๆก็โกรธทุกวัน โกรธไปก่อน จับไม่ทัน มาคิดได้ทีหลัง แต่พอให้กำลังใจตัวเองว่าเป็นตุ๊กตาล้มลุก เอาใหม่ เอาใหม่ ไม่เป็นไร เอาใหม่ อยู่เรื่อย ๆ มันก็ค่อย ๆดีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือน





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 6:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กัน คือปรากฏว่ามันไวขึ้น จับความรู้สึกได้ไวขึ้น ว่ากำลังโกรธนะ ให้เลิกโกรธ กลับมาพิจารณาด้วยเหตุผล ต่อมาก็เป็นเกือบ ๆจะโกรธแล้วนะ จะรู้สึกตัวแล้วก็เลิกโกรธ หันไปฟังเหตุผลมากขึ้น ก็จะลืมความโกรธไปใส่ใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ต่อไป





พอนาน ๆเข้า มันไม่โกรธเร็ว ความโกรธมันค่อย ๆ ช้าลงเรื่อย ๆ ท่านพุทธทาสเคยสอนว่า ฝึกธรรมะเหมือนฝึกจักรยานค่อย ๆ เป็น มันสะสมไว้ไม่หายไปไหน พอเป็นแล้วก็สบายขี่ได้ดีและจะกลับไปขี่จักรยานไม่เป็นอีกก็ไม่ได้





มีเพื่อนบางคน เคยเล่าให้เขาฟัง และชวนให้ฝึกด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ฝึกไม่ได้นาน เขามีความรู้สึกว่ามันไม่ได้ผล เห็นตัวเองก็ยังโกรธอยู่ ก็บอกกับตัวเองว่า โอ้ย ทำไม่ได้หรอก แล้วก็เลิกไป





อันนี้น่าจะให้ไปขุดสันดอนเวลาโกรธ เป็นการระบายอารมณ์อัดอั้น และยังเป็นประโยชน์แก่เรือสัญจรในแม่น้ำ เพราะโกรธบ่อย ได้ขุดอยู่เรื่อย ๆ แม่น้ำจะได้ไม่ตื้น





กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ ไม่มีใครให้กำลังใจแก่เราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง แม้คนสักร้อยคนมายืนให้กำลังใจเรา แต่ถ้าตัวเราเองท้อถอยเสียแล้ว ก็ไม่ส่งให้เกิดผลอันใด วันที่เราไม่โกรธ เราอาจนึกชมตัวเองบ้าง ให้คะแนนตัวเองสักหน่อย เป็นการให้กำลังใจตัวเอง ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือน่าเกลียดอะไรเลย ที่จะชมผลงานของตัวเองบ้าง เราบอกแก่ตัวเองผู้ได้รับผลงาน ไม่ได้ไปอวดกับใครและไม่ได้ยกยอให้หลงอะไรไป เพียงรู้ตัวว่าเราทำได้สำเร็จครั้งหนึ่งก็ชื่นใจ เก็บคะแนนไปเรื่อย ๆ









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 6:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การสะสมความเย็นที่เกิดขึ้นในใจ ในระยะแรกเราจะไม่รู้สึกเหมือนกับว่ามันจะไม่ได้ผล ฉันคิดว่ามันอาจจะเหมือนน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ในแก้วน้ำร้อน ที่ทำให้น้ำเย็นไม่ได้ แต่พอใส่น้ำแข็งลงไปเรื่อย ๆ น้ำในแก้วก็เย็นขึ้น คือต้องมีปริมาณและคุณภาพที่พอเพียง มันจึงแสดงผลได้ เมื่อเราสามารถคุยกับใครหรืออยู่ในสถานการณ์ใดที่เราจะโกรธแล้ว เราจะแปลกใจที่ทำไมเราจึงไม่รู้สึกโกรธ เราจะมีคำถามกับตัวเอง แต่เป็นคำถามที่น่ายินดี





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 6:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีสติให้ทันความโกรธ








ท่านพุทธทาสได้กล่าวอยู่เสมอว่า ในการเรียนธรรมะ จะมีคำที่เป็นคำเดียวกันแต่คนละความหมาย เป็นความหมายในภาษาคนทั่วไปพูดกัน กับความหมายในทางธรรมะ





คำว่า สติ นี่ก็เหมือนกัน เราพูดคำว่าสติกัน มักจะกว้างไปถึง ยังมีสติอยู่ คือยังไม่หลับหรือสลบไป หรือพูดในความหมายว่า มีสติอยู่ก็คือยังไม่บ้า แต่ในทางธรรมนั้น บางทีทำงานอยู่ คิดอยู่ แต่ไม่มีสติก็มี คือไม่ระลึกขึ้นมา ไม่ตระหนักชัด ไม่รู้สึกตัว





ดังนั้น เวลาที่เราโกรธ แน่นอนว่า อารมณ์ของคนเรานั้นพุ่งเร็ว บางคนแถมมีหางเครื่องพ่วงมายาว เช่น โกรธปุ๊บ ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวโกรธ ยังมือไวหยิบข้าวของเหวี่ยงไปเลยก็มี อารมณ์เร็วขนาดนี้ สติที่ไหนจะไล่จับทัน เป่านกหวีดแล้วก็ยังไม่หยุดวิ่งเลยเชียว





พอเป็นอย่างนี้แล้ว อะไรต่อมิอะไรก็จะตามมายาว พร้อมด้วยเรื่องร้อนร้อยแปด ทั้งคำพูดจา การตัดสินใจ การกระทบกระทั่งไปจนถึงกระแทก





ดังนั้น สิ่งที่ต้องฝึกฝนในประการนี้ก็คือฝึกตั้งสตินั่นเอง ให้ระลึกรู้ตัว ว่าเรากำลังเป็นอะไร ใหม่ ๆก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไรใจเย็น ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ หลังจากเล่นซ่อนหากันสักระยะหนึ่งแล้วเราจะพบว่าหาสติเจอในที่สุด





เมื่อเจอแล้วต่อไปพอเรากำลังโกรธ โกร้ธ โกรธ อยู่ฉับพลันทันใดนั้น มันก็จะแว๊บมายืนตรงหน้า บอกให้เรามีสติ





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราจะรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ ! นี่เรากำลังโกรธอยู่นี่ พอนึกได้อย่างนี้อะไร ๆ แถว ๆนั้น ที่ครอบครองบรรยากาศอยู่ทั้งมวลก็จะเปลี่ยนไปเหมือนมีคนมายกกาน้ำที่กำลังเดือดลงจากเตา เปิดฝาให้ไอน้ำร้อนพุ่งออกมาตามสบาย แล้วหย่อนน้ำแข็งลงไป เราจะเริ่มเป็นคนที่พูดจารู้เรื่องขึ้น ทำให้คนอื่นพูดรู้เรื่องตามไปด้วย หรืออย่างน้อย ก็มีสติพอที่จะขอพักขอเวลานอก แยกย้ายกันไปสงบสติอารมณ์ แล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่ ในบรรยากาศดี ๆ ก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ คลี่คลายหรือตกลงกันได้ ในแนวทางที่ไม่มีความโกรธเข้ามาเอี่ยวด้วย





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิจารณาธรรม






หัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรม เพื่อความสงบเย็นของจิตใจ หรือเพื่อลด ละ เลิก โลภ โกรธ หลง แม้จะประกอบด้วยอุบายและวิธีต่าง ๆ ที่จะประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ความเข้าใจในธรรมและพิจารณาในธรรม เป็นสิ่งที่ต้องมีเสมออย่างแน่นอนที่สุดเพราะไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจ การให้กำลังใจ ความมีสติ แต่ก็ต้องมีหลักยึดด้วย เหมือนการก่อสร้างที่มีทราย หิน ปูน และน้ำ แต่ก็ต้องมีเหล็กไว้ให้ยึดเกาะ เป็นความมั่นคงแข็งแรง





เมื่อเราพิจารณาเห็นโทษเห็นทุกข์ของความโกรธในใจของเราแล้ว เราจึงจะเกิดความรู้สึกว่าอยากจะเลิกโกรธ เพื่อจะได้เย็นสบายเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง นอกจากนี้เรื่องของอนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน ก็ดูจะเป็นสิ่งสำคัญ





เมื่อเราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อไปถึงที่สุดแล้ว ก็คือความว่าง ความไม่ใช่ตัวตนใด ๆ ความยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งที่ใจเรายึดอยู่ มันก็ค่อย ๆ คลายตัวลง เราจะรู้สึกถึงความสงบในความว่างนั้น และความโกรธต่อเรื่องต่าง ๆ ก็ดูจะไร้สาระลงไปเรื่อย ๆ จนเหมือนกับว่าเราจะโกรธไปเพื่ออะไร เรื่องอะไร ๆ ในที่สุดมันก็จะมีทางออกที่ดีที่สุดตามเหตุตามปัจจัยเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แก้ไขกันไปตามกำลังและวิถีทางที่มี





ความโกรธไม่ได้ช่วยให้ทางที่ตันทะลุทะลวง ความโกรธไม่ได้ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้ขึ้นมา เมื่อมองไกลออกไปกว่าวันนี้ ที่นี้ บนโต๊ะนี้ สิ่งที่เราจับมั่นคั้นตาย มันจะยังเป็น





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อย่างนี้อยู่หรือ ไม่หรอก ในที่สุดมันก็อาจกลายเป็นสิ่งอื่นไปก็ได้ทุกอย่างก็อยู่ในกฎของความไม่เที่ยงทั้งนั้น แล้วเราจะไปยึดมั่นอะไรมากมาย ทำให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องโกรธไปด้วยได้ไหม





ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ สอนว่า อนัตตา คือสิ่งที่เกิดตามเหตุปัจจัย เช่น น้ำในแก้ว เอาไปใส่ตู้เย็นก็เป็นน้ำแข็ง เอาออกจากตู้เย็น มันก็เป็นน้ำธรรมดา เอาไปต้มก็เป็นน้ำร้อนเป็นไอ ดูสิว่าตัวตนมันเป็นอะไรแน่ อยู่ที่ไหน เป็นน้ำแข็ง หรือเป็นน้ำ หรือเป็นน้ำร้อน มันไม่มี คือมันเป็นไปตามเหตุที่ไปปรุง





หลวงพ่อปัญญานันทะ สอนว่า ไม่ใช่ตัวตนคืออะไร นี่คนหรือ ตรงไหนคน ตรงนี้หรือ ไม่ใช่ นี่หัว นี่คอ นี่ตัว นี่แขน นี่ขา ต้องรวมกันแล้วจึงจะเป็นคน ถ้าไม่รวมแล้วคนก็ไม่มี





ดังนั้น ถ้าตาเรามองแยกธาตุได้เมื่อใด เราก็จะมองทะลุสิ่งใด ๆ ได้ทั้งหมด





ถ้าหันมองไปรอบตัว ด้วยดวงตาเช่นนี้ โลกทั้งใบก็ว่างเปล่า แล้วชีวิตจะมีอะไรนักเล่า ก็ว่างเปล่าเช่นกัน





นัยหนึ่งก็เหมือนกับภาษาคนกับภาษาธรรมนั่นเอง การมองเช่นนี้ก็เป็นการมองด้วยสายตาคนกับสายตาธรรม เช่นกัน โลก 2 ใบมันซ้อนกันอยู่ แต่สายตาคนมองอย่างใจต้องการเห็น ส่วนสายตาธรรม มองสิ่งที่เป็นจริง กว้างลึกและยาวไกลกว่ากันมากนัก





เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้ว ความยึดมั่นในใจเราจะคลายจางลง พลอยทำให้ความเป็นคนมักโกรธถอยลงไปด้วย โดยอัตโนมัติ









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่ประสบมาด้วยตนเอง ได้พบว่า ขณะที่ปากยังคงเถียงอยู่อย่างเจื้อยแจ้วนั้น แต่ในใจกลับนิ่ง ไม่ได้ร้อนรุ่มแต่ประการใด บางครั้งในใจยังนึกขำอยู่ด้วยว่า นี่เราเถียงทำไม คือใจกับกายไม่ได้ไปด้วยกัน แต่ปากก็ไม่ได้เถียงอย่างดุเดือดเหมือนเมื่อก่อน เถียงไปอย่างนั้น ๆ ตามนิสัย ไม่ได้เป็นนัยรุนแรงอะไร แต่พอนาน ๆ ไป ใจกับกายก็ค่อยเข้ากันได้คือ ขณะที่ใจนิ่งปากก็ไม่ค่อยเถียงไปด้วย





อารมณ์นี้ก็สะสมได้เช่นกัน ความตระหนักในอนัตตาในใจเราดูคล้ายจะเป็นน้ำหนักที่ปูไว้ไม่ให้โคลงเคลง ยิ่งสะสมไปตามวันเวลามากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกเย็นลงเท่านั้น และยังจะรวมไปถึงอารมณ์อื่น ๆ และการฝึกฝนอารมณ์อื่น ๆ ก็พลอยได้ผลไปด้วยในตัว นับเป็นผลพลอยได้โดยรวมที่วิเศษยิ่ง







 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หยุดด้วยความคิด






สายลมเย็นของแม่น้ำพัดมาให้ชื่นใจ ชีวิตรู้สึกสวยงามน่ารักยามที่ได้นั่งพักผ่อนริมสายน้ำ เป็นความตระหนักที่ทำให้ต้องขอบคุณธรรมชาติ ที่ความสงบงามของมันสยบความพยศของเราลงได้ ทำให้ใจมีเวลาสงบสุข เรียกว่าเป็นช่วงพักหายใจ





ท่านพุทธทาสเคยสอนว่า “ ให้เข้มแข็งเหมือนสายน้ำ และให้อ่อนโยนเหมือนสายน้ำ “





อารมณ์ของเราก็เหมือนสายน้ำ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธยิ่งมีสภาพคล้ายสายน้ำ





ยามความโกรธหลับไหล ผิวน้ำสงบนิ่งเหมือนน้ำในอ่าวที่ไม่มีคลื่นลม มีเพียงปลายน้ำกระทบหาดเบา ๆ ส่งเสียงกระซิบ แซะ แซะ ขับกล่อมอ่อนหวาน





ยามความโกรธลงสู่ลูกหลานมาโลดเต้น เช่น พวกความหงุดหงิดรำคาญใจ ก็เหมือนยามมีคลื่นลมตามชายหาดสาดซ่า ที่พวกเด็ก ๆชอบไปเล่นเรือกล้วยหอมโต้คลื่นเบา ๆ กัน น้ำกระเพื่อมไม่มีวันหยุด เหมือนใจที่พอหงุดหงิดแล้ว ก็ไม่ยอมเลิก ค่อย ๆ ทำตัวเหมือนน้ำถูกต้ม





แต่ยามที่ความโกรธลุกขึ้นมาอาละวาด ใจเปลี่ยนเป็นยักขมูขี หน้าสีแดง ร้อนเหมือนน้ำต้มเสร็จใหม่ ๆ หินผาหรือฉันก็จะซัดให้พัง เขื่อนหรือฉันก็จะพุ่งชนให้ทลาย บ้านเรือนบนเกาะหรือฉันจะกวาดให้ราพณาสูร รู้จักไหม ฉันนี่คือน้ำผู้ยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งในสี่ขององค์ประกอบของจักรวาลเชียวนา





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนที่มาถึงจุดนี้ ใจจะร้อนทุรนทุราย ยิ่งโกรธมากก็ยิ่งสาหัสมาก จึงนับว่าเป็นบุญมาก ถ้าใครได้เกิดมาเป็นคนใจเย็นโกรธยาก เพราะความทุกข์ของอารมณ์โกรธนั้นสาหัสนัก บางคนมือไม้สั่น บางคนปวดหัวจี๊ด พวกที่ทำร้ายร่างกายกัน ก็เกิดมาจากอารมณ์ชั่ววูบของความโกรธนั่นเอง ถ้าไปไม่ถึงที่สุดจะไม่สามารถยับยั้งความโกรธได้ เราจึงมักพบเสมอว่า พอทำไปแล้วมานั่งเสียใจภายหลัง และนึกไม่ถึงว่าทำไปได้อย่างไร





ระดับของความโกรธของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนโกรธง่ายหายเร็ว บางคนโกรธง่ายหายช้า บางคนโกรธช้าหายช้า บางคนโกรธช้าหายเร็ว คนสองประเภทหลังนี่ ยังนึกยกตัวอย่างไม่ได้เลย แต่คนที่ทรมานที่สุดในกลุ่มก็คือ ประเภทโกรธง่ายหายช้า อะไร ๆ ก็คอยจะโกรธไปเสียหมดเพราะว่าโกรธง่าย แต่พอโกรธไปแล้วหายช้าอีก และมีความโกรธเก็บไว้เยอะอันนี้พอ ๆ กับรายจ่ายเลยบิลมาเต็ม แต่เงินเดือนออกช้าเหลือเกิน กว่าเงินเดือนจะออก ยอดบิลล้นเงินเดือนไปเสียแล้ว





เมื่อเราทุกข์ทรมานกับความโกรธ เราก็ต้องก้าวหนีออกจากจุดนั้นด้วยการหยุดโกรธ แต่อย่างที่บอกแล้วว่า ความโกรธเหมือนสายน้ำที่มีกำลังแรงถาโถมมา หากจะหยุดโกรธทันทีก็เหมือนปิดประตูน้ำ กั้นเขื่อน หรือใด ๆ ที่สกัดกั้น กระแสน้ำไว้ที่





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จุดหนึ่งโดยทันที ซึ่งผลก็คือการปะทะของอารมณ์อย่างรุนแรง ซึ่งในลักษณะนี้จะทำไม่ได้คือ หยุดโกรธไม่ได้ นอกจากคนนั้นจะอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าผู้ที่ทำให้โกรธ ทำให้ต้องหยุดอารมณ์ให้ได้ ซึ่งเป็นการเก็บได้เฉพาะภายนอก แต่ภายในใจแล้วไม่มีทางหยุดได้เลย เมื่อกายกับใจขัดกันเช่นนี้ ผลที่ตามมาก็คือความเก็บกด อาจจะหลบหน้าไปหลังบ้านแล้วเขวี้ยงจานสักโหลหนึ่ง พอระบาย แต่ถ้าไม่ได้ระบายเลย ก็จะกลายเป็นคนเก็บกด มีสิทธิ์ได้รับการดูแลจากจิตแพทย์ของรัฐบาล





การหยุดความโกรธจึงต้องใช้กลยุทธ์พอสมควร โดยเรียนรู้จากธรรมชาติของน้ำนี่เอง เมื่อน้ำถาโถมมาแรง และมีปริมาณมาก น้ำมันต้องหาทางไป ถ้ามีคูคลองที่ไหนกี่สายก็แล้วแต่ มันก็จะกระจายไปทุกคลองทุกสาย จนกำลังแรงลดลง





อารมณ์โกรธก็เหมือนกัน ไม่อาจหยุดด้วยการปิดกั้น แต่ทำให้อ่อนแรงลงได้ด้วยการระบายออกไปหลายทาง สิ่งนี้ทำได้ด้วยความคิด





คือคิดหาทางออกเพื่อใจของเราเอง ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ เปลี่ยนมุมมองใหม่





เพลงของวงดนตรี “เฉลียง “ เคยบอกไว้ว่า ให้ดูแลใจของเราเอง เพราะ “ เราก็คนหนึ่งคนเหมือนกัน “ คืออย่ามัวแต่ดูแลคน





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อื่นทั่วไปหมด ทิ้งไว้คนหนึ่งคือตัวเราเอง เออ ! ใช่ เราก็คนหนึ่งคนเหมือนกันที่จะต้องให้ตัวเราเองดูแลด้วย





อารมณ์ขัน มีส่วนช่วยมากในเรื่องละความโกรธนี้ คิดอะไรให้ขำเข้าไว้ช่วยได้เยอะ





มีอยู่วันหนึ่ง จู่ ๆ ร้านขายข้าวแกงข้างบ้านก็ย้ายไป มีร้านคาราโอเกะเข้ามาแทน ตกกลางคืนมีคนมาร้องเพลงตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 5 เสียงร้องอย่างนี้ไม่ต้องบอก “ คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง “ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ มาได้ยินเข้า ต้องรีบบอกเลยว่านี่ไม่ใช่เพลงของผม เสียงร้องก็ดังเหมือนมายืนเป่าไมค์อยู่บนระเบียงห้องนอน ทำให้ฉันนอนไม่หลับและก็โกร๊ธ โกรธ โกรธ โกรธ โกรธไปก็นอนไม่หลับไปอยู่หลายคืน





ฝาละมีทนไม่ไหว โทร”ไปหาตำรวจ เสียงถามกันเองขรมไปว่า





“ เฮ้ย แถวนี้มีคาราโอเกะด้วยหรือวะ “ อ้าว เป็นตำรวจยังไม่รู้เลย อย่างนี้จะตรวจตราให้ความสงบประชาชนได้ไง





ฝาละมีก็บอกว่าอยู่ริมถนนตรงนี้แหละ เสียงดังมาก ตำรวจตอบกลับมาว่า “ ยังหัวค่ำอยู่เลย “ จริงมั้ง นาฬิกาเพิ่งจะห้าทุ่มเองยังไม่ดึกของใครก็ไม่รู้ แต่แถวนี้ปิดไฟนอนกันทั้งถนนแล้ว ฝาละมีโมโหมาก บอกถ้าไม่มาจัดการ จะบอกไอทีวีเลย ตำรวจตอบกลับมาด้วยเสียงหล่ออย่างสุขุมว่า “ ก็ตามใจสิครับ “





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 4:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราเลยต้องนอนฟังเสียงไมค์หอนกันต่อไป





จนในที่สุด ฉันก็ตั้งสติได้ หลังจากล้มละลายทางจิตวิญญาณมานานเกือบเดือน





ฉันคิดใหม่ ลงไปนั่งตั้งสติ แล้วก็เพ่งจิตไปที่เจ้าของเสียงนั้น เหมือนโดเรมอนกำลังร่ายมนต์หาของวิเศษในกระเป๋าหน้าท้อง ฉันคิดหลายอย่างเลย เหมือนระบายน้ำไปหลาย ๆ ทาง





อย่างแรก คิดถึงตัวเอง เอ ! เรากำลังโกรธอยู่นี่ คุณเธอหรือไอ้หมอนั่นน่ะ ก็ร้องเพลงอยู่นั่น ไม่ได้รู้เลยว่าเราโกรธ เรารู้คนเดียว ร้อนจะแย่แล้วในใจเรานี่ เครียดมากเลย เราทำร้ายตัวเองแท้ ๆ นะ ไม่ช่วยตัวเอง ไม่เข้าข้างตัวเองเลย เราต้องเลิกโกรธใจจะได้สบายใจขึ้น เดี๋ยวก็เป็นไมเกรนหรอก ยาแพงนะ





ต่อมาก็คิดถึงนักร้องเสียงกระบอก เออ ไอ้หมอนี่ ชาติก่อนเราคงไปร้องหนวกหูมันแหง๋ ชาตินี้เลยต้องมาทนฟังมันกรอกหูเอาบ้าง เออน่า ชดใช้กรรมจะได้หมด ๆ ชาติหน้าไม่ต้องมาเจอกันอีกนะ ร้องเร็ว ๆ เข้า มีอีกกี่เพลงล่ะ





แล้วก็แผ่เมตตาว่า จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด เพราะเจ้าก็คงมาใช้กรรมเหมือนกัน ดูสิ ใคร ๆ เขาหลับกันมีความสุขทั้งตำบล เจ้ามีกรรมต้องมายืนร้องเพลงยันรุ่ง ไม่ได้หลับได้นอน อันเป็นความสุขของชาวโลก แถมยังมาก่อกรรมใหม่โดยไม่รู้ตัว คือรบกวนชาวบ้านเขาคืนหนึ่งก็หลายร้อยคน ยังไม่รู้ต้องไปชดใช้กรรมเอาเมื่อไหร่เลย คิดแล้วก็นึกถึงคำท่านสอน “ เราต่างเป็นเพื่อนทุกข์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น “ มองเห็นภาพสังสารวัฏเลย หมอนี่จะไปชดใช้กรรม ชาติไหนภพไหน สภาพไหนเนี่ย จะต้องยืนกัด





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง