Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ภัยสังคมกับกฎแห่งกรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กงจักร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ต.ค.2005, 9:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยุคสมัยนี้ มีภัยสังคมเกิดขึ้นใหม่มากมายหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกับเหยื่อที่เป็นผู้หญิง ทำให้เกิดปัญหาคาใจว่า เมื่อเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมาแต่ละครั้ง เราจะต้องคิดเสมอว่า มันเป็นกรรมเก่าของเหยื่อทุกครั้งไป อย่างนั้นเลยใช่หรือไม่ หรือว่าจริงๆแล้ว มันอาจจะเป็นกรรมใหม่ของผู้กระทำความผิดนั้นเองก็ได้



แล้วเราจะหาวิธีป้องกันภัยเหล่านี้ ให้แก่ตนเองและคนที่เรารักได้อย่างไร ในเมื่อผู้ที่ประพฤติตนดี ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง ก็ยังต้องตกเป็นเหยื่อมาแล้วนับไม่ถ้วน ส่วนคนที่เป็นเหยื่อเข้าแล้ว ควรจะมีวิธีคิดอย่างไร เพื่อไม่ให้ตนเองต้องเป็นทุกข์ทรมาน



ขอท่านทั้งหลาย ช่วยๆกันแสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่คนทั่วไปด้วย



-----------------------------------------------



ภัยทางอินเตอร์เนต คำสารภาพจากชายคนหนึ่ง



ตอนนี้ผมเพิ่งได้ลูกสาวมันทำให้ผมรู้สึกสำนึกบาปที่เคยทำกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง

ผมหวังว่าเรื่องที่ผมจะเล่านี้จะเป็นประโยชน์กับน้องๆ

ผู้หญิงนักแชตนะครับ

อย่างน้อยก็จะได้รู้จักธาตุแท้ของผู้ชายบางประเภทก่อนแต่งงาน



ผมกับแฟน (คนที่ผมแต่งงานด้วย) คบกันมานาน

เธอเป็นกุลสตรี ผมให้เกียรติเธอ

ไม่คิดจะล่วงเกินอะไรเธอจนถึงวันแต่งเพื่อรักษาความรู้สึกดีๆ

ที่มีให้กัน แต่ธรรมชาติของผู้ชายมันมีความต้องการ

ผมก็เลยหาเอาในเน็ตนี่แหละ

ผมรู้จักน้องนักศึกษาคนนึงในเน็ต คุยกันถูกคอมาก

และผมก็รู้สึกได้ว่าเธอรู้สึกอะไรๆ กับผมเหมือนกัน

จนในที่สุดเราก็นัดพบกัน

หลังจากพบกันก็สนิทกันมากขึ้นเพราะเธอก็รู้ว่าผมไม่ใช่พวกต้มตุ๋น

เพราะฐานะ การศึกษา หน้าที่การงานผมจัดว่าดี

ผมไม่ได้หลอกลวงเธอเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย

ผมบอกเธอด้วยว่าผมมีแฟนแล้วแต่เค้าก็ดูเหมือนไม่แคร์และมั่นใจในตัวเองมาก

ส่วนผมก็โอเคเพราะถึงเธอจะไม่ถึงกับใสซื่อบริสุทธ์แต่ก็ดูไม่ใช่พวกเด็กเที่ยวมั่วเซ็กซ์หรือขายตัวอะไรแบบนั้นเจอกัน

2-3 ครั้งผมก็บรรลุจุดประสงค์โดยความยินยอมของเธอ

มันเร็วกว่าที่คิดด้วยซ้ำ



จากนั้นเราก็มีอะไรกันมาเรื่อย

ผมยอมรับว่านอกจากเพื่อเรื่องอย่างว่าแล้วผมไม่ได้มีความรู้สึกรักชอบแบบแฟนกับน้องเค้าเลย

ทุกครั้งที่คุยกันหรือนัดกันก็เพื่อเรื่องอย่างว่าตลอด

แต่น้องเค้าคงเข้าใจผิดและมั่นใจไปเองว่าซักวันเราจะเป็นแฟนกันได้

เพราะเราเข้ากันได้ดีมากในเรื่องอย่างว่าและอีกอย่างผมมักจะแสดงความห่วงใยน้องเค้าตลอดเรื่องการเรียน

การคบเพื่อน การเที่ยวกลางคืน ซึ่งจริงๆ

แล้วผมถามถึงเพราะผมห่วงเรื่องความสะอาดของเค้า

กลัวเค้าจะไปมั่วกับคนอื่นแล้วเอาอะไรมาติดผม

ก็มีบ้างที่ผมปะเหลาะเค้าไปตามเรื่องเวลาเค้าน้อยใจเพราะกลัวเค้างอนแล้วไม่ยอมมีอะไรกับผม



แต่ผมก็ไม่เคยหลอกลวงเค้าหรือสัญญากับเค้านะว่ารักเค้าจะแต่งงานกับเค้า

ผมเคยบอกเค้าด้วยซ้ำว่าถ้าเจอคนที่ดีก็บอกผมได้

เพราะผมเองก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่ (แต่จริงๆ

แล้วเวลามีคนมาจีบเค้าแล้วเค้ามาปรึกษา

ผมก็จะพยายามถ่วงเวลาเค้าไว้ว่าให้ดูไปก่อน

ตินู่นตินี่ไปเรื่อย

เพราะผมกลัวว่าถ้าเค้ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วผมจะอด)



จนในที่สุดผมกับแฟนก็มีแผนจะแต่งงานกันแน่นอน

ผมก็เริ่มตีตัวออกห่างจากน้องเค้า

ช่วงหลังน้องเค้าเคยถามนะว่าถ้าเค้าท้องจะทำยังไง

แต่ผมก็บอกเค้าไปว่าก็คงต้องเอาออกเพราะเค้าน่าจะรู้นะว่าผมไม่พร้อมกับเค้า

และผมก็เตือนเค้าให้ระวังเรื่องนี้มาตลอด

ผมไม่เชื่อว่าเค้าจะปล่อยให้เกิดขึ้น

(แต่ต่อให้จริงผมก็คงยืนยันแบบนี้

เพราะผมถือว่ามันเป็นข้อตกลงที่เราเข้าใจกันตั้งแต่แรก)

ผมก็ยังคงตีตัวออกห่างจนเลิกติดต่อไปในที่สุด

ผมอยากจะบอกน้องๆ นักแชตว่า

ถึงแม้ว่าน้องจะได้เจอกับหนุ่มที่คุยกันทางเน็ตแล้วรู้ว่าเค้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋นหรือโรคจิต

มันก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะรอดพ้นจากอันตรายไปได้

ยิ่งเจอคนที่ดีพร้อม ก็อย่าคิดว่าถูกหวยหรือเป็นบุพเพ

น้องอาจกลายเป็นอีหนูปลอดเชื้อที่เค้าเอาไว้แก้ขัดชั่วคราวโดยไม่รู้ตัวก็ได้



---------------------------------------------



เตือนภัย .. เดินห้างระวัง



สืบเนื่องมาจากข่าวที่มีห้างดังแถวพระราม 4 ข่มขู่

ยัดเยียด ตบทรัพย์



รปภ.และแคชเชียร์ แก๊งโฉดในห้างสรรพสินค้า

ผมซึ่งมีโอกาสทำงานในห้าง---สาขามีนบุรี

ขอพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ให้สังคมได้รับรู้

และเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เพราะผมได้เจอะเจออยู่ทุกวัน

จนผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

ถ้าหากวันไหนไม่ได้เห็นการกระทำของห้างนี้จะแปลกมาก ๆ

ใหม่ ๆ ผมก็แปลกใจและสงสาร

แต่เดี๋ยวนี้เราต้องร่วมมือกับเขาด้วย

ไม่งั้นก็อยู่หรือทำงานที่นี่ไม่ได้



กลุ่มคนเหล่านี้จะทำกันเป็นทีม

คือมีคนที่เรียกตัวเองว่าสก็อต

ซึ่งคือพนักงานของทางห้างฯ แต่งกายทั่ว ๆ ไป

ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ มีนาย--เป็นผู้จัดการทั่วไป

เป็นผู้ควบคุมดูแลและโต้โผการกระทำ

จะทำทีถือสินค้าชิ้นหรือสองชิ้นเดินไปเดินมา

แต่ตาจะคอยหาเหยื่อ จะมีทั้งผู้ชายและหญิง

ถ้าหากสังเกตดี ๆ

จะมีพวกเครื่องมือสื่อสารที่ตำรวจเขาใช้กัน

ต่อไปก็เป็นยาม พวกนี้จะมีทั้งชายและหญิง

ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ

ซึ่งจะมีบริษัทที่รับเข้ามาทำ จะต้องมีทหารยศสูง ๆ

พอสมควร พฤติกรรมจะเหมือนกัน

จะทำทีถือสินค้าเดินไปเดินมา แต่ตาจะคอยหาเหยื่อ

ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีมากเกือบทุกซอยหรือทุกหลืบของห้างด้วยซ้ำไป

และพนักงานแคชเชียร์ก็จะเป็นใจในการร่วมการกระทำครั้งนี้ด้วย



พฤติกรรมของคนเหล่านี้ คือ ถ้าเห็นผู้หญิงหน้าตาดี

จะทำทีเข้าไปขอค้นและเชิญตัวเข้าไปในห้องในสำนักงาน

เมื่อคุณถูกเชิญอย่างนั้น คุณต้องอับอาย

จนต้องเดินตามไปกับพวกเขา ถ้าหากไม่ตั้งสติให้ดี ๆ

คุณคือเหยื่อของพวกมัน เมื่อพาเข้าไปในห้อง จะมีพรรคพวก

3-4 คน หน้าตาxxxมเกรียมคอยขู่กรรโชกคุณตลอดเวลาว่า

คุณจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ หากไม่ยอม

คุณจะถูกทำมิดีมิร้ายในห้องนั้นเลย

หรือบางทีทั้งสองอย่าง

และมีการถ่ายรูปไว้แบล็กเมล์คุณภายหลังก็มี

แล้วจะพาคุณออกไปทางข้างหลังห้าง



หรือไม่ก็พาคุณไปส่งที่อื่น ๆ ก็มี

นี่คือกรณีสำหรับผู้หญิง ส่วนผู้ชายหากไม่เห็นว่าผิดจริง

ๆ จะไม่กล้ายุ่งส่วนเด็ก ๆ

ถ้ามาคนเดียวหรือแยกตัวกับพ่อแม่ผู้ปกครองก็จะถูกยัดข้อหา

และเรียกปรับจากผู้ปกครองเป็นมูลค่ากว่า 20

เท่าของสินค้า



ส่วนเรื่องของพนักงานที่นี่

ถ้าหากคุณไม่ทำตามกฏระเบียบที่ตั้งไว้แล้วละก็

คุณจะกลายเป็นคนตกงานทันที

หรือไม่ก็จะกลายเป็นผู้ต้องหาทันทีได้เหมือนกัน

โดยที่ผู้ชายหาไม่ทำตามกฏหรือไม่ทำตามที่นายสั่งไว้แล้ว

จะถูกตั้งข้อหายักยอกทรัพย์หรือขโมยของได้ง่าย ๆ

ทั้งที่พนักงานไม่ได้ทำ

แต่พวกเขาจะแจ้งความและเอาพนักงานคนนี้ติดคุกให้ได้

โดยที่ตำรวจเป็นใจด้วยทุกครั้ง

หากเราจะไปแจ้งความจะถูกซ้อม

ชนิดที่ว่าไม่ต้องพูดอะไรได้

ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอย่างเดียว

และส่วนผู้หญิงหากคนไหนถูกใจนาย

ก็จะถูกเรียกไปพบที่ห้องส่วนตัวและหลาย ๆ คน

ถูกทำมิดีมิร้าย ซึ่งบางคนก็อายไม่กล้าบอกใคร

บางคนเพิ่งเข้ามาจากต่างจังหวัด



ทำงานเป็นครั้งแรกก็ไม่รู้จะทำไงได้

ได้แต่ยอมให้มันทำมิดีมิร้ายตามใจชอบ

บางคนจะยัดข้อหาให้เหมือนผู้ชาย คือ ยักยอกทรัพย์

หรือขโมยของ ซึ่งพนักงานไม่กล้าปริปากพูด

หากพูดมากจะโดนทำให้ตกงาน ใครทนไม่ได้ก็ต้องลาออก

บางคนยังเรียนอยู่ด้วย อนาคตเขาต้องพังทันที

เพราะพวกมันเสมอ บางทีสงสารเพื่อนพนักงานด้วยกัน

แต่พวกเราต้องกิน ต้องใช้



พวกเราทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองตาปริบ ๆ คือต้องทน

และทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง



-----------------------------------------------



มอมยาสาว...ด้วยโดมิคุ่ม



เค้าว่ากันว่าผู้หญิงน่ะรักแบบโรแมนติก(Romantic)

แต่ผู้ชายกลับมีแบบฉบับเชิงอีโรติก (Erotic)

อันนี้จริงไม่จริงอย่างไรนายแฉไม่ฟันธง

พิจารณากันเอาเองแล้วกันท่านแฟนานุแฟนทั้งหลาย

แต่xxxที่จะมาเตือนกันวันนี้

มันสืบเนื่องจากอารมณ์อีโรติกของคุณผู้ชายทั้งหลายนั่นแล



สมัยนี้อาชญากรรมทางเพศเกิดขึ้นแทบทุกวัน

นี่ยังไม่นับจำนวนสาวๆ

ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วไม่กล้าแจ้งความเพราะความอาย

กลัวเสียชื่อเสียง

เรายังเห็นกันบนข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ต่างๆ

ทุกวี่ทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นการข่มขืนกระทำชำเรา

และอันว่าการข่มขืนกระทำชำเราก็มีหลายรูปแบบ เช่น

ข่มขืนทั้ง ๆ ที่เหยื่อยังมีสติ

แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ใช้วิธีการที่นายแฉจะมาแฉวันนี้

นั่นคือการ “มอมยา”



อันนี้ยังไม่พูดถึงบรรดายาใต้ดินจำพวกยาปลุกเซ็กซ์แบบที่แอบขายกันในตลาดมืดนะ

เอาแค่ยาบนดินที่อย.รับรอง

ซึ่งใช้ในวงการแพทย์แบบถูกกฎหมายก็มีไม่หวาดไม่ไหว

ซึ่งหากพวกมิจฉาชีพหื่นกามทั้งหลายนำไปใช้ในทางไม่ดีล่ะส่งผลเสียหนักทีเดียว

แม้ว่ายาพวกนี้จะขายตามใบสั่งของแพทย์เท่านั้น

รวมทั้งมีกฎหมายห้ามร้านขายยาจำหน่ายยาประเภทนี้

แต่ก็ยังมีการลักลอบนำมาขายในราคาสูงเพื่อจุดประสงค์

ในการก่ออาชญากรรมโดยเฉพาะ

แหล่งข่าวที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศของเรากล่าวว่า

ถูกหลอกให้กินยาประเภทนี้

ทั้งในรูปแบบของการผสมกับแอลกอฮอล์และการหลอกให้กินโดยตรง

โดยอ้างว่าเป็นยาแก้หวัด ยาแก้เมา เป็นต้น

และส่วนใหญ่ที่โดน โดนจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่นแฟน

เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมสถาบันการศึกษา เพื่อนแฟน

เจ้านาย ตลอดจนเพื่อนข้างห้อง (กรณีอยู่อพาร์ทเม้นต์

คอนโด หอพัก) เป็นต้น



“กี้” (นามสมมติ) สาวออฟฟิศวัย 25

กล่าวว่าเธอถูกแฟนของเธอเองข่มขืน

หลังจากที่ชายหนุ่มคนนั้นเฝ้าพากเพียรเวียนขอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอมาตลอด

2 ปีเต็มๆ ที่คบกัน แต่กี้มาจากครอบครัวหัวโบราณ

เธอปฏิเสธทุกครั้งที่แฟนขอนอนด้วย

ซึ่งหลายต่อหลายครั้งนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งของทั้งคู่

แต่เธอก็ยอมให้แฟนหนุ่มสัมผัสภายนอกได้บ้าง เช่นการกอด

จูบ แต่ไม่มีการกระทำอื่น

จนสุดท้ายคืนหนึ่งหลังจากที่เธอและแฟนกลับมาจากงานเลี้ยงแต่งงานของเพื่อน

ซึ่งต่างคนก็ต่างดื่มมาจากงานบ้างพอหน้าตึงๆ

แฟนของเธอชวนเธอมาดื่มต่อที่อพาร์ทเมนต์ของเขา

โดยให้เหตุผลว่า พรุ่งนี้เป็นวันหยุดขอดื่มซักวัน

ซึ่งเธอก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไร

แฟนเธอซื้อเบียร์ขึ้นไปอีก 4 ขวด

แล้วก็ชวนเธอดื่มด้วยกัน

แต่ก่อนที่จะดื่มเขาได้ส่งยาเม็ดสีฟ้าเล็กๆ

ให้เธอหนึ่งเม็ด บอกว่าเป็นยากันแฮงค์

ตอนเช้าจะได้ไม่ปวดหัว

ด้วยความที่เธอไว้ใจเขามากและไม่ได้คิดอะไร

ทำให้กี้ตัดสินใจกินยาเม็ดนั้นเข้าไป ไม่เกิน 5

นาทีหลังจากนั้น

เธอก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกจนกระทั่งสายของอีกวัน

โดยที่มีแฟนหนุ่มเปลือยกายนอนกอดเธออยู่บนเตียง

ซึ่งตัวเธอก็ไม่ได้ใส่อะไรเช่นกัน



...หลายคนคงอยากรู้ว่าหลังจากที่แฟนหนุ่มของกี้มอมเหล้ากับยา

จนหญิงสาวหลับไม่รู้เรื่อง

และตื่นขึ้นมาพร้อมกับรับรู้ว่าตัวเองได้เสียท่าแฟนหนุ่มตัวแสบไปแล้ว

มันเป็นยังไงต่อไป กี้ก็คงเหมือนผู้หญิงทั่วๆ

ไปที่คิดว่าเสียแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้

นอกจากปล่อยเลยตามเลยโดยหวังว่าแฟนของเธอจะรับผิดชอบ

แต่หลังจากที่เธอ “เสียท่า”

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนไปแล้ว

แต่กลับกลายเป็นว่าไม่นานนัก เขาก็ทิ้งเธอไป

โดยไม่สนใจที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นใดๆ ทั้งสิ้น



นายแฉเชื่อว่าคงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงหลายๆ

คน แต่คงจะไม่มีใครกล้าบอกเล่าหรือเอาเรื่อง

สังคมไทยยังเป็นสังคมของผู้ชายแม้ว่าจะเปิดกว้างเพื่อสิทธิของสตรีมากขึ้นก็ตาม

แต่ถ้ากี้ไปแจ้งความ คนที่จะโดนครหา ติฉินนินทา

ก็คือตัวเธอเอง











 
sorrow
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 ต.ค.2005, 11:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้สึกแย่กับเรื่องเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ก็ขอขอบคุณที่นำเรื่องเล่านี้มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อหาทางป้องกันตนเอง โดยเฉพาะคุณผู้หญิง

หากว่าเราทุกคนเชื่อในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อในกฏแห่งกรรม ดำรงตนในศีล 5 ก็จะไม่เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ในสังคม แต่คนในยุดล่วงเลยกึ่งพุทธกาลมาแล้ว ศีลธรรมก็ย่อมเสื่อมทรามลง คนจึงกล้าทำชั่วมากขึ้น

"ศีล" แปลว่า ปกติ คนที่ไม่มีศีล หรือสังคมปราศจากศีลธรรมจึงไม่ปกติ ดังที่เราเห็นๆ กันอยู่



"พึงละความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม และรักษาจิตของเราให้บริสุทธิ์"

ธรรมย่อมรักษาผู้รักธรรม

 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง