Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
อนิจจาชีวิต (อ.ดวงอมร กฤษนำพก)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ผู้ตั้ง
ข้อความ
๛ สายลม ๛
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2004, 2:39 pm
อนิจจาชีวิต
รวบรวมโดย อ.ดวงอมร กฤษนำพก
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขี้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งนำมาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกท่านได้ทราบว่า บาปกรรมนั้นมีจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำไว้กับบุพการีของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องของคุณทักษพร ได้บอกให้ผู้เขียนให้นำเรื่องนี้มาเล่าให้ผู้อื่นฟังว่า
เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๓ เดิมทีแม่ของดิฉันป่วยเป็นโรคไขข้อที่บริเวณเข่า หรือเรียกว่าเข่าชำรุด ไปหาหมอ หมอแนนำให้ผ่าตัด แต่ติดตรงที่ว่าแม่ของดิฉันอายุมากแล้ว ถ้าตัดสินใจผ่าตัดก็จะกลัวเดินไม่ได้รับรองผล ๑๐๐ % แถมบอกเป็นนัยๆ ว่า ๕๐ % ที่จะเดินได้แน่ แม่เลยตัดสินใจไม่ผ่าตัด และมารักษาแบบแผนโบราณ คือใช้สมุนไพรรอบตัวทุกวัน
และมีวันหนึ่งที่แม่มีอาการทรุดหนักมากจนเดินไม่ได้ได้แต่นอนอยู่กับที่เกือบเดือน ขาไม่มีแรงเดิน ขาก็รีบลงทุกวัน จากที่แม่เป็นคนค่อนข้างจะอ้วน จนกระทั้งผอมลงจนผิดหูผิดตา ทั้งบ้านก็มีกันอยู่ ๓ คน พ่อแม่ลูก ส่วนพี่สาวและพี่ชายของดิฉันต่างก็ไปอยู่ที่ต่างอำเภอและที่กรุงเทพ เพราะพี่ชายรับราชการที่กรุงเทพ ส่วนพี่สาวได้แวะมาเยี่ยมเยียนและดูแลคุณแม่เป็นครั้งคราว เพราะอำเภอที่พี่สาวอยู่ไม่ไกลนักห่างจากบ้านประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง พี่สาวและพี่ชายฝากให้ดูแลแม่ และอยู่เป็นเพื่อนพ่อและแม่ ดิฉันยอมรับว่าดิฉันไม่ค่อยสนใจแลดูแลแม่สักเท่าไหร่
ดิฉันเป็นคนนอนตื่นสายเที่ยวแตร่ และค่อนข้างจะขี้เกียจทำงานบ้าน มีแต่พ่อคนเดียวคอยดูแลแม่ หาข้าวปลาให้แม่กินคอยเช็ดตัว และรวมถึงทำงานบ้านด้วย ดิฉันไม่ได้สนใจอะไรเลย ดิฉันไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นดิฉันจึงเป็นลูกอกตัญญูอย่างนี้ แม่พยายามปลุกฉันให้ตื่นแต่เช้าเพื่อนำเอาผ้าขาวบางไปซับน้ำหมอกน้ำค้างที่ค้างอยู่กับกอหญ้าที่หน้าบ้าน เพื่อมาประคบที่หัวเข่าให้แม่ทุกเช้า (เป็นความเชื่อของคนโบราณที่ว่าน้ำหม อกจะช่วยดูดซับพิษและอาการเจ็บปวดได้) แม่ปลุกให้ฉันตื่นแต่เช้ามืดทุกวันเพื่อมาปฏิบัติเช่นนี้ตลอด
ดิฉันก็ได้แต่บ่นในใจว่าทำอย่างนี้มันจะหายได้อย่างไรกัน ดิฉันได้แต่ทำไปบ่นไปตามประสาคนขี้เกียจที่จะไม่คิดถึงอะไรเลย ไม่คิดถึงความเจ็บปวดของแม่ บ่นไปว่าทำไปทำไมทำไปก็ไม่หายหรอกไม่รู้จะตื่นแต่เช้ามาทำไม ไม่มีประโยชน์อะไร ดิฉันรู้สึกผิดมากที่ได้พูดออกไปอย่างนั้น ดิฉันไม่ได้ดูแลแม่ เท่ากับพ่อที่เคยปรนนิบัติแม่ พ่อคอยดูแลแม่ หาข้าวปลาให้แม่กิน รู้ไหมทุกวันนี้ดิฉันคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ดิฉันรู้สึกบาปที่ใจที่มันจะเป็นกรรมติดตามตัวดิฉันตลอดไป ไม่รู้ว่าชาติไหนดิฉันจะพ้นจากกรรมนี้ได้ ถ้าไม่มีพ่อ ทุกวันนี้ดิฉันคงจะเดินไม่ได้
และแล้ววันหนึ่งดิฉันก็ได้รับกรรมที่ดิฉันได้กระทำไว้ ดิฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. ดิฉันออกไปเที่ยวกับเพื่อน ดิฉันเป็นคนรักเพื่อนมากและติดเพื่อนมากที่สุด ขนาดที่ว่าพ่อแม่ไม่ชอบเพื่อนคนไหนของดิฉัน ดิฉันจะไม่พอใจมาก และออกรับแทนเพื่อนทุกอย่าง ถึงขนาดที่ว่า เพื่อนข้าใครอย่าแตะ
วันนั้นฝนตกปรอยๆ ดิฉันขับมอเตอร์ไซค์ได้กำลังจะสตารท์เครื่องออกไป ดิฉันได้ยินเสียงแม่ตะโกนร้องทักดิฉันว่า ฝนตกอย่างนี้จะออกไปไหน ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนแม่ ดิฉันไม่ได้ฟังอะไรทั้งนั้น รีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว และเหตุการณ์ที่ดิฉันไม่คาดคิดว่ามันเป็นกรรมที่ตามตัวดิฉันมาก็เกิดขึ้นแ ล้ว เพียงไม่ถึง ๑๐ นาที ดิฉันได้ไปชนกับรถจักรยาน โดยมีคนแก่ขี่ตัดหน้ารถดิฉัน ดิฉันพุ่งชนอย่างแรงและล้มลงรถมอเตอร์ไซค์ก็ได้ล้มทับหัวเข่าของดิฉัน ดิฉันเจ็บมากนอนอยู่กลางถนนเกือบครึ่งชั่วโมงฝนก็ตกหนักขึ้น
คนแก่ที่ดิฉันชนก็ล้มหัวฟาดพื้น ดิฉันกลัวมากกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรมาก กลัวไปต่างๆ นานา กลัวจะเป็นคนทำให้เขาตาย โชคดีที่เขาหัวแตกเย็บ ๓ เข็ม ดิฉันไปถึงโรงพยาบาล ผลปรากฏว่ากระดูกที่หัวเข่าของดิฉันแตก หมอให้ผ่าตัดและใส่น๊อตไว้ที่หัวเข่า และมันแปลกอีกอย่างหนึ่งคือมันเป็นข้างเดียวกับแม่ที่กำลังเจ็บอยู่คือ ข้างซ้าย ดิฉันต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกือบ ๒ อาทิตย์ และเดินไม่ได้นอนอยู่เฉยๆ เกือบเดือน มันทรมานมาก กิน นอน ปัสสาวะ อุจจาระ ต้องนอนบนที่นอน มีสภาพไม่ต่างจากแม่ที่เคยเป็น มีแต่แม่และพี่สาวที่คอยดูแลฉัน ส่วนพ่อก็ดูแลเรื่องอาหารการกิน และกว่าที่ดิฉันเดินได้โดยไม่ใช้ไม้เท้าก็ประมาณ ๖ เดือน
ดิฉันสำนึกขึ้นได้ทันทีว่านี่แหละบาปที่ดิฉันได้กระทำไว้กับแม่บังเกิดเกล้า ผู้คอยเลี้ยงดูเรามา เกือบ ๒๘ ปี กรรมมันตามทันจนไม่น่าเชื่อเลย และดิฉันคิดอีกว่าวันนั้นแม่เป็นคนร้องทักเสียงดังมาก (ขนาดจิ้งจกทักตามธรรมชาติของมนุษย์เราก็ยังคิดหรือกลัวบ้าง) และนี่แม่เราแม่บังเกิดเกล้า แม่ผู้ให้กำเนิดดิฉัน และมีความหวังดีให้ลูก ทำไมดิฉันไม่คิดฟังแม่บ้าง เชื่อแม่สักนิดและดูแลเอาใจใส่แม่ รักแม่ ห่วงแม่ให้มากกว่าที่ผ่านมา ดิฉันคงไม่ต้องมีสภาพเหมือนคนพิการ เพราะทุกวันนี้ ดิฉันวิ่งไม่ได้เดินได้แต่ก็ไม่เหมือนปกติ หัวเข่าก็งอไม่ได้ นี่แหละเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง มันเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันจะจดจำไปจนถึงวันตายเลยก็ว่าได้
ดิฉันอยากจะให้ทุกท่านที่มีพ่อแม่ที่กำลังไม่สบายอยากให้ดูแลเอาใจใส่ท่าน ให้ดีและรักท่านให้มากๆ และทุกวันนี้ดิฉันดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดิฉันเก็บตัวอยู่บ้านกับพ่อและแม่ ๑ ปีกว่าๆ แล้ว นับจากวันนั้นดิฉันคอยดูแลแม่ ทำกับข้าวเอาใจใส่แม่กว่าแต่ก่อน พาท่านไปวัดวันอาทิตย์ ทุกวันนี้ดิฉันพ่อและแม่มีความสุขดี แม่เริ่มแข็งแรง ดิฉันก็ทำกายภาพบำบัดเรื่อยๆ เพราะช่วงนี้อากาศเย็นแม่ดิฉันปวดหัวเข่ามาก ดิฉันอยากบอกให้ท่านทราบว่าดิฉันรักท่านมาก ถ้าไม่มีแม่แล้วดิฉันไม่รู้ว่าทำอย่างไร เพราะแม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของลูก สิ่งที่ดิฉันกลัวมากที่สุดตอนนี้คือ ทำให้พ่อแม่เสียใจ ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นลูกที่ดีของท่าน อยากให้ท่านมีความสุขมากที่สุด ต่อแต่นี้ไปดิฉันจะคอยดูแลท่าน และเชื่อฟังท่านทุกอย่างจะไม่ทำให้ท่านเจ็บช้ำอีกต่อไปแล้ว
ดิฉันหวังว่า เรื่องของคุณทักษพร คงเป็นอุทาหรณ์สอนเพื่อนมนุษย์ที่ดีมาก
เรื่องที่ปรากฎมาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ใครทำกรรมไว้กรรมนั้นย่อมตอบสนอง ส่วนเรื่องจะสนองช้าหรือเร็วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๖ ผ่านพ้นจบสิ้นไป พร้อมกับการมาถึงของปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๗ แม้มองด้วยใจของผู้สนใจในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมได้เล็งเห็นของการเกิดแล้วก็ดับ ไม่มียกเว้น แม้แต่เรื่องเวลาเรื่องของวันเดือนปี เมื่อวานผ่านไปวันนี้มีมา ปีก่อนที่ผ่านไปปีใหม่มาแทน และมิได้หยุดพักเพียงวันนี้ ปีก่อนนี้ว่าปีไหนก็มีการเกิดดับตลอดไป ที่เรียกว่าดับนั้น ที่จริงก็คือการเกิดขึ้นของปีใหม่
ความตายคือความเกิดมีขึ้นพร้อมกันทันที เช่นเดียวกับปีเก่าผ่านพ้นไปก็ถึงปีใหม่ทันที ทุกชีวิตที่ละโลกนี้ไป ไม่ว่าสัตว์ว่าคนจะมีชีวิตใหม่ ที่เรียกว่าเกิดใหม่ทันที เพียงแต่ว่าอาจไม่ได้เกิดเป็นเช่นเดียวกับเมื่อมีชีวิตอยู่ในภพปัจจุบันทุกชีวิตไป อาจจะมีบ้างเช่นที่ปัจจุบันเป็นคนละโลกปัจจุบัน มีกรรมที่สามารถนำให้กลับมีภพชาติเช่นปัจุบัน ก็จะได้เกิดเป็นคนได้อีกทันทีทันใด แต่จะเกิดสูง เกิดต่ำ เกิดดี เกิดไม่ดี ก็สำคัญที่กรรมอันนำให้เกิดแน่นอน กรรมจึงต้องสำคัญที่สุด
ขอให้มั่นใจในเรื่องของกรรม และการให้ผลแห่งกรรมที่เทียงแท้แน่นอนเสมอไป ไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เกินอำนาจของกรรม แพทย์ที่ว่าเก่งหนักหนา แม้คนไข้อยู่ในมือของกรรม แพทย์ก็หาเอาชนะโรคที่ดูน่าจะรักษาให้หายได้ง่ายๆ ไม่ ที่เคยปรากฎให้รู้ให้เห็นกันอยู่ แม้ใส่ใจคิดไปในเรื่องของกรรมที่มีเหนือชีวิต ทุกชีวิตก็ย่อมจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่งแน่ เพราะย่อมจักไม่มีผู้ใดไม่กลัวกรรม เมื่อกลัวกรรม คือกลัวผลของกรรมไม่ดี อย่างมีผู้รู้จริง เชื่อจริง ย่อมให้ความสนใจจริงจังในการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติตามคำสอนไม่มีเป็นอื่น นอกจากส่งให้ถึงความพรั่งพร้อมด้วยฐานะอันพึงได้ถึงทั้งปวง ทรงสอนไม่ให้ทำบาปทั้งปวง ทรงสอนให้ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทรงสอนให้ชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส สามประการสมบรูณ์จริงๆ ที่จะส่งให้ผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงฐานะสูงสุดเพียงไรก็ได้
ขอจงตั้งใจน้อมรับเป็นมงคลสูงสุดสำหรับชีวิต ปฏิบัติให้ได้ และจะปฏิบัติได้แน่ ตั้งหลักมั้นไว้ที่ความจงรักภักดี กตัญญูกตเวทีในเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สองพระผู้ทรง พระคุณล้นเศียรเกล้าชาวไทยทั้งปวง ในวันนี้ป็นต้นไปปีใหม่จะนำความสุขสดใส แก่ชีวิตคนไทยทั้งหลายด้วยแน่นอน ขออำนวยพร
พระบาลีแสดงกฎแห่งกรรม
กะตัญจะ สุกะตัง เสยโย ทำความดีไว้ดีกว่า
กะตัสสะ นัถิ ปะฎิการัง สิ่งที่ทำไปแล้ว ทำคืนไม่ได้
กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
กัลยาณะการี กัลยาณัง ปาปะการี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
จะ ปาปะกัง ตัญจะ กัมมัง กะตัง สาธุ ยัง กัตวา กระทำการใดแล้วย่อมไม่ร้อนใจ
นานุตัปปะติ ภายหลัง การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี
นะ หิ ตัง สุละภัง โหติ สุขัง คนทำความชั่วย่อมไม่มีความสุข
ทุกกะฎะการินา อะกะตัง ทุกกะฎัง เสยโย ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า
สานิ กัมมานิ นะยันติ ทุคคะติง กรรมชั่วของตนเอง ย่อมนำไปสู่ทุคติ
...................................................
ข้อมูลจาก
http://thaipost.com/lawyer/index.php?action=vtopic&forum=2
แมวขาวมณี
บัวบาน
เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307
ตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2006, 3:57 am
ยังไม่สายเกินไป
โชคดีที่คุณแม่ยังอยู่ให้ได้ตอบแทนและกลับตัวทันนะคะ
สา ...ธุ
_________________
พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์ เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
กฎแห่งกรรม
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th