Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ตามหลักพุทธปรัชญา ชีวิตมีการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 13 ก.ย. 2005, 2:50 pm
ช่วยตอบด้วยครับ
auteacher
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 13 ก.ย. 2005
ตอบ: 2
ตอบเมื่อ: 13 ก.ย. 2005, 11:49 pm
พูดแล้วยาวครับเรื่องนี้ เป็นเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาทคับ เรื่องนี้ค่อนข้างยากคับ ลองไปหาอ่านดูนะคับ...
ถ้าให้ผมตอบ ผมจะตอบว่า เพราะอวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงครับ ไม่รู้นี้คือไม่รู้อะไร
ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจในกฎธรรมชาติ ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลกัน และกฎแห่งกรรม พอรู้ และเข้าใจธรรมชาติแล้ว ก็ยอมรับในความจริง ตอบแค่นี้ละกันคับ...สาธุคับ
ป
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 ก.ย. 2005, 8:54 pm
ศาสนาพุทธไม่ใช่ปรัชญา ใครบอกว่าเป็นปรัชญาก็ไม่ใช่ชาวพุทธ
อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 ก.ย. 2005, 9:13 pm
งั้นถามใหมม่อีกรอบก็ได้ หลักพระพุทธศาสนา ชีวิตมีการเวียวว่าย ตาย เกิดอย่างไร มีอะไรเป็นตัวนำ
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 16 ก.ย. 2005, 1:08 am
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมใส่ใจด้วยดีโดยแยบคายใน ปฏิจจสมุปบาทธรรมในร่างกายและจิตใจที่ตถาคตกล่าวมาแล้วนั้น ว่า เพราะเหตุดังนี้เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ ปฏิจจสมุปบาทธรรม เมื่อผู้ปฏิบัติใส่ใจเข้าไปพิจารณาโดยแยบคายถึงธรรมชาติซึ่งปรากฏในลักษณะเป็นปฏิจจสมุปบาทธรรม คือธรรมที่มันเป็นปัจจัยเกี่ยวข้องกันอยู่
คือเข้าไปสัมผัสเห็นว่า เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด อ้าว
xxx
สิ่งนี้ก็เกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี
xxx
สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้ก็ดับ หมายความว่า สิ่งต่างๆ ที่มันประกอบกันมาเป็นสังขารคือร่างกายและจิตใจ ท่านใช้คำว่า สิ่ง เพราะว่ามันไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันคือธรรมชาติ เรียกว่า สิ่ง เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ เป็นสิ่งต่าง ๆ คือสิ่งนี้มีอีกสิ่งมันก็มีขึ้น มันเป็นปัจจัยกันอยู่ อ้าว สิ่งนี้เกิดอีกสิ่งหนึ่งก็เกิด สิ่งนี้ไม่มี สิ่งอีกสิ่งก็ไม่มี เมื่อสิ่งนี้ดับ อีกสิ่งนี้ก็ดับไป มันเป็นการเกี่ยวพันเกี่ยวข้องเป็นปัจจัยกันอยู่ ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาโดยลำพังโดยปราศจากเหตุปัจจัย
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละอย่างแต่ละธรรมชาตินั้นล้วนแล้วแต่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น สิ่งที่เป็นเหตุมีเป็นปัจจัยให้สิ่งที่เป็นผลมันเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นผลมันก็เกิดขึ้น สิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยมันไม่มี สิ่งที่เป็นผลมันก็ไม่มี สิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยมันดับ สิ่งที่เป็นผลมันก็ดับ ถ้าเหตุมันมีผลมันก็มี เหตุไม่มีผลมันก็ไม่มี มันเป็นปัจจัยกันเกี่ยวข้องกันไปอย่างนั้น นี่คือธรรมชาติจริง ๆ ในชีวิตนี้ เช่นว่ายกตัวอย่างว่า เพราะอาศัยผัสสะ ผัสสะคือการกระทบอันเป็นปัจจัยให้เกิดสุขเวทนา ผัสสะที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดสุขเวทนา เช่น ความเย็น ความร้อน ความนุ่มนวล เย็นพอดี ร้อนพอดี
สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยให้เกิดสุขเวทนา เมื่อผัสสะคือความเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึงที่มันพอดีๆเป็นปัจจัย คือมาผัสสะมากระทบมันก็เกิดสุขเวทนาขึ้น แต่พอเหตุปัจจัยคือผัสสะการกระทบของโผฏฐัพพารมณ์ที่ทำให้เกิดสุขเวทนาเหล่านั้นมันดับ สุขเวทนาเหล่านั้นก็ดับไปสงบไป อาศัยผัสสะที่เป็นปัจจัยให้ทุกขเวทนา มันก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น เมื่อผัสสะเป็นปัจจัยให้ทุกขเวทนานั้นดับ ทุกขเวทนาที่เกิดโดยอาศัยผัสสะนั้นก็ดับไป อาศัยผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาที่มันไม่สุขไม่ทุกข์คือเฉย ๆ มันก็เกิดอุเบกขาเวทนาขึ้น เมื่อผัสสะที่เป็นปัจจัยเหล่านั้นมันดับ อุเบกขาเวทนาคือไม่สุขไม่ทุกข์มันก็ดับ
ฉะนั้นความสุขความทุกข์ความเฉยๆที่มันเกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ เพราะมันมีเหตุมีปัจจัย มันมีการผัสสะมีการกระทบสัมผัสกัน อายาตนะภายนอกอายาตนะภายในมากระทบเกิดวิญญาณรับรู้ เกิดประชุมเกิดผัสสะขึ้นก็เกิดเวทนา จักขุสัมผัสสชาเวทนา เกิดการ กระทบขึ้นทางตาเวทนาเกิดขึ้น คือมีสี มีประสาทตา มีจักขุวิญญาณประชุมกันขึ้น มีสีมากระทบ มีการเห็น เกิดผัสสะขึ้นตรงนั้นน่ะ ตรงที่เห็นนั่นน่ะ ตรงที่เห็นนั่นน่ะมันมีผัสสะแล้ว มีการกระทบอารมณ์แล้ว สีต่าง ๆ นั้นเป็นอายาตนะภายนอก ตา ประสาทตาเป็นอายตนะภายใน การเห็นเป็นธาตุรู้ ประชุมกัน มันเกิดผัสสะขึ้นมา มันก็จะเกิดเวทนาขึ้น เกิดเวทนาขึ้นมา
เกิดเวทนาเดี๋ยวมันก็เกิดตัณหาต่อ ถ้าภาพที่เห็นสวยงามมันก็เกิดตัณหาความชอบใจติดใจ ถ้าปรุงแต่งว่าภาพนั้นไม่สวยไม่งามมันก็เกิดความไม่ชอบใจเกิดขึ้น ความชอบใจไม่ชอบใจมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ มันเกิดเพราะมันมีเวทนาเสวยอารมณ์ เวทนาก็เกิดขึ้นมาเพราะมันมีการผัสสะ มีการกระทบสัมผัสทางตาขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยนั่นคือ ปฏิจจ สมุปบาทธรรม พอมีการกระทบมีการเห็น เอ้า เวทนาเกิดขึ้น แล้วก็เกิดตัณหาความชอบใจหรือความไม่ชอบ อยากจะให้มันหมดไป อยากให้มันสิ้นไป เป็นวิภวตัณหา อยากไม่มีไม่เป็น ถ้ามันเป็นภาพดีสวยงามก็อยากมีอยากเป็น หรือว่าอยากเข้าไปรักใคร่ในสิ่งเหล่านั้น ถ้ามันไม่สวยงาม ปรุงแต่งว่ามันไม่สวยงามก็อยากให้มันไม่มีไม่เป็นให้มันหมดไปไม่ต้องการ
มีความอยากมันก็มีความยึดเข้ามา ยึดมั่นถือมั่นว่านั้นดีนั่นสวยนั่นงาม นั่นคือเรานั่นคือของของเรา เกิดความรักความหวงแหนเป็นอุปาทาน อุปาทานเหล่านี้มันก็เกิดจากตัณหา ตัณหาก็มาจากเวทนา เวทนาก็มาจากผัสสะ ผัสสะที่มันมีขึ้นมาได้มันก็มีอายาตนะ เพราะมันมีอายาตนะภายในภายนอก คือมันมีประสาทตา มันมีสีต่าง ๆ มันจึงเกิดผัสสะ มันก็เป็นปัจจัยกัน
อายาตนะภายในก็มาจากเพราะว่ามันมีรูปนาม รูปนามก็มาจากวิญญาณเกิดปฏิสนธิวิญญาณ วิบากวิญญาณ วิญญาณก็มาจากสังขาร สังขารมาจากอวิชชาความไม่รู้ความไม่รู้ในอดีตปรุงแต่งสังขารเป็นกุศล อกุศล ก็เกิดวิญญาณ มีนามรูป นามรูปก็สร้างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอายาตนะภายใน พอมีอายาตนะภายในมันก็กระทบอายาตนะภายนอก สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอายาตนะภายนอก เกิดผัสสะ พอผัสสะก็เวทนาเกิด เวทนาเกิดตัณหาเกิด ตัณหาเกิดอุปาทานเกิด อุปาทานเกิด เกิดภพเกิดกัมมภวะเกิดการกระทำกรรมลงไปอีก
แล้วก็เกิดอุปัตติภพเกิดการอุบัติขึ้นเกิดชาติ พอมีชาติการเกิดขึ้นมาก็มีชรา มีชรามีความแก่มีโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสมีความตาย โสกะคือความเศร้าโศก โทมนัสความเสียใจ ปริเทวะก็บ่นเพ้อรำพัน ทุกขะคือทุกข์กายทุกข์ใจ โทมนัสเสียใจ อุปายาสคับแค้นใจ ความเสียใจเต็มที่กลายเป็นความแค้นใจคับแค้นใจ คับแค้นใจมันก็เกิดขึ้นตามมา เพราะมันมีการเกิดมีชาติการอุบัติมันเกิดขึ้นก็จึงมีชรามีความแก่มีความเจ็บมีความตาย ในระหว่างที่มันมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา มันก็ยังแฝงด้วยอวิชชา ตัณหา มีอวิชชาอยู่มันก็เกี่ยวข้องกันไปอีก มีอวิชชามันก็สร้างต่อไปอีกเป็นวัฏฏจักรหมุนวนเป็นลูกโซ่เกี่ยงข้องกันไป
ฉะนั้นชีวิตนี้ถ้าพิจารณาโดยแยบคายลงไปแล้วก็จะเห็นว่าเป็นธรรมชาติที่มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน ไม่ได้เกิดจากใครมาดลบันดาลให้เป็นไป ความสุขความทุกข์ทุกขณะที่เป็นไปในชีวิตประจำวันมันเกิดจากเหตุปัจจัยในธรรมชาติของมันเอง ไม่ได้เกิดจากสิ่งใดมาดลบันดาลให้เป็นไป ฉะนั้นผู้ได้สดับได้ปฏิบัติก็เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้
http://www.mahaeyong.org/Dharma/patjai.htm
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ก.ย. 2005, 1:07 pm
มีความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นตัวนำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดน่ะครับ พอไม่รู้แล้วก็เกิดความอยาก (ตัณหา) พออยากแล้วก็ไปสร้างกรรมสนองความอยาก พอสร้างกรรม ก็มีวิบาก คือ ผลของกรรมมารองรับ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนกว่า จะรู้ (วิชชา) ขึ้นมาน่ะครับ
อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ก.ย. 2005, 7:53 pm
สาธุ สาธุ สาธุ
ครานี้กระจ่างแจ้งเลย
ขอขอบคุณและอนุโมทนา
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2005, 7:30 am
ทุกครั้งที่ได้รับคำชม ผมก็จะหันหลังกลับไปมองคุณครูครับ เพราะครูท่านสอนไว้ ผมก็จำมาบอกต่อ ขอบคุณเช่นกัน ที่ทำให้ย้อนนึกถึงพระคุณครูอีกครั้ง
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th