Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มีความรู้สึก ตรึงอยู่หน้าผาก ระหว่างคิ้ว เป็นเพราะเหตุอะไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
korn_2502
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2005, 10:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่าระยะนี้ช่วงระหว่งคิ้วของกระผมรู้สึกตรึงอยู่ตลอดเวลา เลิกทำสมาธิก็แล้ว ก็ไม่หายบางครั้งจะรู้สึกเหมือนเป็นก้อนเท่าหัวแหวน บางครั้งก็เป็นก้อน

และเหมือนมีลมหมุนติ้วๆและเย็นนิดๆ บางครั้งเราก็ไม่ได้คิดอะไรมันก้เกิดขึ้นมาเอง อยากถามว่าเป็นเพราะมาจากเหตุอะไร และจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เพราะเป็นมาหลายปีพยายมทางแก้ไขหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเลยสักครั้ง อยากทราบว่า 1. เป็นสาเหตุมาจากอะไร 2. จะมีวิธีการแก้ไขได้อย่างไร 3. จะมีผลดี หรือผลเสียต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้าง 4. ที่เป็นก้อนเหมือนหัวแหวนนั้นหมายถึงอะไร.

หากท่านทราบกรุณาช่วยตอบ และวิธีแก้ไขให้กับกระผมด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง ขอบคุณครบั
 
ความคิดเห็นส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2005, 11:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่เคยพบสภาพดังกล่าวด้วยตนเองครับ ที่ผมเคยเป็นบ่อยหลายปีมาแล้วเช่นกันหลังจากปฏิบัติมาติดต่อทุกวันกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นบางครั้งคืออาการขนลุกชัน เคยเรียนถามพระบางท่าน ท่านจะบอกว่าเป็นอาการปิติ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเพราะมันเกิดไม่แน่นอนหลังสมาธิบ้าง ตอนแผ่เมตตาบางครั้งบ้าง โดยเฉพาะขณะรำลึกถึงจิตวิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อย่างเมื่อตอนรำลึกแผ่เมตตาให้ผู้เสียชีวิตจากสึนามิรู้สึกค่อนข้างแรงเหมือนเจ็บเล็กเล็กเลย แม้นกระทั่งสมัยผมดูหนังบ่อยบ่อยขณะยืนเคารพเพลงสรรเสริญทุกครั้งที่ถึงท่อนเดียวกันของเพลงท่อนนึงจะเกิดขึ้นเช่นกัน จนรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในเพลงท่อนนั้น แต่เมื่อไรวันไหนที่รู้สึกจิตตกต่ำลง หลงตามอารมณ์ทางโลกจะไม่เกิด

ผมจึงคาดเดาน่าจะเป็นด้วยสาเหตสองประการ ประการแรกอาจเป็นผลจากการปฏิบัติสมาธิมานานอันนี้ไม่น่าจะเป็นผลเสีย เพราะน่าจะเกิดจากจิตที่มีกำลังตามธรรมชาติอาจทำให้รู้สึกมีความแปลกขึ้นมาคิดว่าไม่น่าจะมีผลเสียอะไร ไม่คิดว่าควรจะพยายามกำจัดมันออกไปครับ ประการที่สองอาจจะมาจากความตึงหรือเพ่งเพียรพยายามเคร่งเครียดในการปฏิบัติ มากเกินไปอันนี้น่าจะเกิดผลเสีย เพราะหากสะสมมากมากอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตในชีวิตประจำวันก็ได้ แนวทางการปฏิบัติสำหรับผมคิดว่า ควรทำให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเราเอง ลักษณะของจิตน่าจะเป็นสภาพของการรับรู้มากกว่าที่จะส่งออกไปให้เกิดกำลัง ดังนั้นการเพ่งหรือคาดหวังเพื่อให้ได้ผลตามต้องการ เป็นการเพิ่มงานให้สมองความคิดจึงทำให้ได้รับอารมณ์ที่ตึงหรือเครียดมากกว่าการได้รับความนิ่งสงบของจิต หากเป็นเช่นนี้อยากให้ปล่อยวางการปฏิบัติไม่ใช่ให้ปฏิบัติน้อยลงแต่หมายถึงไม่ให้ยึดติดหรือคาดหวังผลสำเร็จของสมาธิในการปฏิบัติเหมือนกับที่เราละการมองสภาพร่างกายของมนุษย์ให้เห็นสภาพจริงแทนการเห็นความสวยงามได้ ( ซึ่งผมเองยังไม่เคยฝึกละเรื่องนี้เลยหลายครั้งถูกดึงทำให้จิตต่ำลงแต่ก็ไม่เคยหยุดปฏิบัติ ก็สนุกดีเห็นระดับของจิตตัวเองขึ้นขึ้นลงลงเหมือนหุ้นกระมังครับ ) การปฏิบัติอยากให้เน้นเป้าหมายอย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะทำให้เรารักษาการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องให้มากที่สุดเป็นพอ อย่างน้อยได้ทุกวันวันละนิดก็ยังดี ที่สำคัญควรมีกำลังสนุบสนุนให้จิตตัวเองด้วย เช่นการสวดมนต์ทุกวัน การถือศีล ทำทาน การทำวิปัสนาในชีวิตประจำวัน คิดว่าจะส่งผลให้จิตขึ้นสูงไวลดปัญหาต่างต่างได้ครับ

เขียนมากไปหน่อยและไม่มั่นใจว่าให้คำตอบได้ตรงที่ต้องการเท่าไหร่ด้วยอาจเพราะความสามารถในการปฏิบัติของผมยังไม่สูงมากพอ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แล้วกันครับ อย่างไรก็อยากให้รักษาการปฏิบัติพร้อมกับหาการปฏิบัติธรรมอย่างอื่นมาเพิ่มควบคู่กันไปคิดว่าช่วยให้ดีขึ้นได้ครับ เพราะสังเกตสภาพความรู้สึกตัวเองหลังทำเพียงไม่ถึงปีเหมือนก้าวหน้ากว่าที่ตนทำมาแล้วหลายปีอีก
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2005, 1:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณkorn_2502



อาการที่คุณเล่ามา เกิดจากจิตรวมตัว และเหมือนมีลมหมุนติ้วๆและเย็นนิดๆ ก็คืออาการของปิติ ให้แก้ไขโดยเมื่อรู้สึกว่าเย็นๆ ให้เลื่อนจิตที่ไปรวมอยู่ที่หน้าผากนั้น มาไว้ที่ท้ายทอย แล้วปล่อยให้กระแสจิตนั้นไหลลงภายในกาย ภายในก็จะเกิดความเย็นเหมือนกับการได้อาบน้ำ



จากนั้นให้เลื่อนจิตขึ้นมาไว้ที่บนศีรษะหรือกระหม่อม แล้วปล่อยให้ไหลลงในกายอีก อย่าปล่อยจิตออกมาภายนอก จิตก็จะไหลเวียนอยู่ภายในเหมือนน้ำ การปล่อยจิตนั้นควรอยู่ในสภาวะให้เป็นอุเบกขา เมื่อจิตซึ่งอยู่ในสภาวะอุเบกขาไหลเวียนอยู่ในกาย คุณก็จะพิจารณาเห็นธรรมภายในเอง



อะไรๆถ้าไม่รู้จักน้อมเข้าพิจารณาแทนที่จะเป็นผลดี ก็จะเป็นผลเสีย ปล่อยใจให้สบาย ไม่นึกคิดปรุงแต่ง แต่มีสติรู้ตัวอยู่ ให้รู้สัมผัสพื้นตลอดเวลา และมีสติระลึกอยู่ที่กาย จิตก็จะผ่องใส กายใจก็จะเอิบอิ่มเอง



ธรรมะสวัสดี



มณี ปัทมะ ตารา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
korn_2502
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2005, 1:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับคุณ มณี ปัทมะ ดารา ที่ช่วยแก้ไขปัญหาและแนะนำในทางที่ดี แต่ว่าผมพยายามแล้วแต่ไม่ประสบผลมันจะตรึงอยู่ที่เดิม หรือไม่เช่นนั้นก็จะวนอยู่ระคิ้วทั้งสองข้างแล้วก้มารวมอยู่ที่จุดเดิมไม่ยอมไปทางใหนเลย บางครั้งก็เหมือนมีอะไรมาครอบที่บนศรีษะ ศรีษะ0tรู้สึกเบาหวิวมาก เวลาที่รู้สึกตึงตรงระหว่างคิ้วมักจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ไม่ถึงง่วงนอนคุณพอจะมีวิธีอย่างอื่นอีกไหมครับ



ขอบคุณครับ



http//www.mr.narog@thaimail.com/
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2005, 9:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณkorn_2502



อือม.....หลายสาเหตุ เปลี่ยนการกำหนดให้มารวมอยู่ที่ทรวงอก กำหนดจิตไว้ที่ใจจนเกิดพลังงานความร้อนเหมือนกับดวงอาทิตย์ เมื่อเปลี่ยนการกำหนดได้ เวทนาทั้งสิ้นก็ดับหมด เพราะจิตแยกจากกาย เหมือนดวงอาทิตย์แยกจากแผ่นดิน กายนั้นก็เปรียบเสมือนกับแผ่นดิน



เวลาเช้าจะเห็นพระอาทิตย์พ้นจากแผ่นดินโผล่ขึ้นมาลอยเด่นอยู่ ความมืดก็หายไป จิตก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ เมื่อทำจิตให้เป็นเอกได้ จิตก็จะหลุดพ้นจากกาย เวทนาก็จะดับไป เหมือนความมืดที่หายไป



อีกวิธีหนึ่งคือการเจริญสติ เมื่อคุณใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ ให้มีสติอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกในทุกอิริยาบทเป็นปัจจุบันให้สั้นที่สุด ลองพิจารณาดูซิ มือคุณกำลังจับ กำลังทำอะไรอยู่ ให้มีสติอยู่ที่มือ เคลื่อนไหวนิ้วอย่างไร ก็ให้รู้ว่านิ้วมือกำลังเคลื่อนไหวอย่างไร ธรรมดาเลยธรรมชาติของอิริยาบททุกอิริยาบท เดินก็ธรรมดาเลย แต่ให้มีสติรู้ว่ามันคลาย หย่อน เบา ตึง ขณะก้าวเดินอย่างไร



นั่งมันไม่หาย ก็เปลี่ยนมาเจริญสติ จิตมันวิ่งไปยึดรูปที่เป็นทุกข์ ว่าถูกครอบ ว่าเบาก็ให้ปล่อย มันอยากจะครอบ อยากจะเบาก็ช่างมัน ลองพิจารณาตามคำแนะนำดูนะคะ



เจริญในธรรม



มณี ปัทมะ ตารา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
korn_2502
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2005, 12:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขอบพระคุณกับ คุณมณีอีกครั้งที่ให้ความกระจ่างกับอาการของผมอีกครั้งหนึ่งผมจะลองทดสอบทำตามคำแนะนำของตคุณดูอีกครั้งน่ะครับได้ผลอย่างไร มากน้อยแค่ไหนผมจะกลับมาบอกคุณมณีอีกทีหนึ่ง



ขอบคุณในธรรม



korn_2502
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง