Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 (คำถามคาใจ) Question about ชีวิต นิพพาน และเกย์?? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตวง
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 ก.ย. 2008
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 7:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คือ..ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง??

----

จริงๆ แล้วเป็นคนช่างสงสัย มีคำถามมาก แต่ไม่ใช่คำถามประเภทกวนโอ๊ยหรือถามไปเรื่อยเปื่อย เป็นคนคำถามจริงจังซะมากกว่า ซึ่งถ้าเปีรบกับเลขแล้วก็คือต้องการ "ความเข้าใจ" มากกว่าการท่องจำ แล้ววันนี้ก็ได้อ่านนิตยสาร Secret บวกกับที่เคยอ่านตามบอร์ด internet และที่อื่นๆ เกี่ยวกับธรรมมะ กับการใช้ชีวิต ซึ่งเคยมีคำถามในใจมานานมากโดยไม่มีคำตอบ มันค้างคา จนวันนี้ไปอ่านนิตยสารนั้นและคะ ..ก็เกิดอยากหาคำตอบหรือใครที่จะมาอธิบายอะไรๆ ได้ เลยลองหาเว็บดู ก็หวังว่าเว็บนี้จะมีคนใจดีมาอธิบาย หรือแสดงความคิดเห็น นะคะ ^____________^

----

ฉันเป็นคนที่ เชื่อ เรื่องการดำรงชีวิตในแบบ-คนทั่วไป- ซะมากกว่าเรื่องดำรงชีวิตแบบศาสนาต่างๆ จะบอกว่าไม่เชื่อคำสอนก็ไม่ใช่ เพราะยังเชื่อและพยายามปฏิบัติอยู่ แต่บางครั้งก็อดสงสัยอะไรในชีวิตหลายๆ อย่างไม่ได้ อย่างเช่น

เหตุการณ์หลังจากที่ทุกอย่างหมดสิ้นกันแล้ว ทุกสรรพสิ่งนิพพานกันหมด โลกก็จะว่างเปล่า?? มนุษย์สูญพันธ์ ใช่ไหม?? แล้วมัน...จะดีหรอ? -__-?

ก่อนที่ทุกคนจะได้บรรลุธรรมต่างๆ ก็จะไม่มีใครฆ่าสัตว์ ปลูกผัก ทำงาน ประดิษฐ์สิ่งของ-เครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตจริงๆ แล้วจะอยู่กันอย่างไร? โดยเฉพาะว่าการไม่มีอะไรเป็นอาหาร?

แล้วถ้าไม่มีใครทำอาหาร ที่หมายถึง "อาหาร" จริงๆไม่ใช่ผักหญ้าที่เก็บเอาตามป่า จะได้สารอาหารครบหรือ? ไม่กลายเป็นโรคขาดสารอาหารกันหมดหรือ?

งั้นทุกคนที่มี "ความฝัน" ก็สมควร-อย่างยิ่ง-ที่จะฝันว่าอยากนิพพาน จะฝันว่าอยากเป็น ศิลปินระดับโลก อยากเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง อยากเป็นนักคอมพิวเตอร์ นักโปรแกรมเมอร์ ก็ไม่ควร เพราะว่าทำให้เกิดกิเลศอย่างนั้นนะหรือ? ยิ่งที่บอกว่าไม่ควรฟังเพลงหรือดูละครภาพยนต์ต่างๆเพราะจะทำให้เกิดกิเลศ อย่างนี้ความฝันของคนที่อยากเป็นนักดนตรี ก็เป็นความฝันที่ไม่มีทางได้นิพพานนะสิ? เพราะว่าเค้าต้องฟังเพลงและใช้อารมณ์สร้างงานที่ดีให้โลก

ทำไมเกย์จะนิพพานไม่ได้ อ่านในนิตยสาร secret แล้ว...งุนงงมาก ฉันเชื่อมาตลอดว่า ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่มีเหตุผล แต่วันนี้อ่านในนิตยสารนั้นแล้วรู้สึกแปลกไป.. ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อนะคะ!! แต่ยังไม่เข้าใจมากกว่า เลยอยากเข้าใจ ถ้าบอกว่าเป็นเกย์เพราะอะไร อย่างงี้ก็อีกเรื่อง แต่บอกว่า-ไม่มีทาง-จะปฎิบัติธรรมแล้วได้ผลจริงๆ อย่างนี้ดูไม่ค่อยแฟร์เท่าไร หรืออาจจะเป้นเพราะฉันคิดเอาเองมาตลอดว่า สาสนาพุทธไม่เกี่ยงเรื่องเพศที่คนๆนั้นเป็นอยู่

อีกอย่าง เรื่องเกย์ในความคิดฉันมันเหมือนเรื่องรสนิยมมากกว่า คนหนึ่งคนชอบสีส้ม อีกคนขะชอบสีตรงข้ามไม่ได้เชียวหรือ? จะไปชอบสีน้ำเงิน หรือสีเขียวก็ไม่ได้ ไยจึงต้องตีกรอบไว้เพียงเท่านั้น ทั้งที่ไอ้สีเขียวหรือสีนำเงินนั้นมันไม่ได้เป้นของๆ ใคร มันก็อยู่ตรงนั้น แค่เค้าชอบสีนั้นแค่นั้นเองนี่นา~?

อย่างนี้ทุกคนก็ต้องชอบสีเดียวกันทั้งโลกสิ?

แล้วในเมื่อสุดท้าย "การเกิด" ก็คือบ่วงแห่งกรรม แล้วทำไมไม่หยุดการเกิดมันซะละ? นี้ไง เป็นเกย์- ไม่มีลูก- ไม่มีบ่วงแล้ว...-_- (อันนี้อาจจะคิดเองเออเองไปหน่อยนะ แต่เป้นคำถามจิริงๆคะ ไม่ได้กวนประสาท) แถมบางรายยังรับเลี้ยงเด็กที่มาจากพวกไม่รับผิดชอบในการกระทำด้วย คือไปช่วยเค้ารับเลี้ยงเด็ก บางรายก็ได้ดีไป เป็นการช่วยเหลือสังคม ไม่เพิ่มบุคลากรโลกที่จะทำมาซึ่ง "ทุกข์" อีกร้อยแปดอย่าง

------

V_________________V

คือมันยังมีที่สงสัยอีก ถ้าพิมพ์ต่อจะยาวกว่านี้ หลายท่านที่อ่านอาจจะคิดว่ามันดูเป้นคำถามงี่เง่าไปก็คงไม่ผิดมั้งคะ? แต่จะว่าไปฉันเป้นนักคิดมั้งคะ ชอบหาเหตุผลเพื่ออธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจจริงๆ ก็หวังเป้นอย่างยิ่งนะคะว่า จะมีคนใจดีที่พอมีคำอธิบายมาตอบหรือจะแสดงความคิดเห็นก็ได้คะ อย่างอ่านมากๆ

ขอบคุณคะ* :))
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตวง
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 ก.ย. 2008
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 7:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปล. สงสัยในพุทธศาสนามากนี้บาปเปล่าคะ? เคยได้ยินมาว่าห้ามเคลือบแคลงสงสัยในพุทธศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า...

ถ้าเป็นจริง ฉันคงเป็นบาปอย่างแรงเลยละสิ TT^TT"

แค่อยากรู้เองTT__________TT"

ตื่นเต้น ยังมีที่สงสัยอีก แต่เดี๋ยวจะมีคนหาว่าบ้า แฮ่ๆ~

คือ... เท่านี้ก่อนละกันนะคะ
...
...
...

((คนขี้สงสัย))
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 9:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตวง พิมพ์ว่า:
คือ..ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง??

----

จริงๆ แล้วเป็นคนช่างสงสัย มีคำถามมาก แต่ไม่ใช่คำถามประเภทกวนโอ๊ยหรือถามไปเรื่อยเปื่อย เป็นคนคำถามจริงจังซะมากกว่า ซึ่งถ้าเปีรบกับเลขแล้วก็คือต้องการ "ความเข้าใจ" มากกว่าการท่องจำ แล้ววันนี้ก็ได้อ่านนิตยสาร Secret บวกกับที่เคยอ่านตามบอร์ด internet และที่อื่นๆ เกี่ยวกับธรรมมะ กับการใช้ชีวิต ซึ่งเคยมีคำถามในใจมานานมากโดยไม่มีคำตอบ มันค้างคา จนวันนี้ไปอ่านนิตยสารนั้นและคะ ..ก็เกิดอยากหาคำตอบหรือใครที่จะมาอธิบายอะไรๆ ได้ เลยลองหาเว็บดู ก็หวังว่าเว็บนี้จะมีคนใจดีมาอธิบาย หรือแสดงความคิดเห็น นะคะ ^____________^

----


- ดีครับ ตรงจริตผมเลย ผมชอบอวดรู้
คนอยากรู้ เจอคนชอบอวดรู้
น่าจะสนุกนะครับ

ตวง พิมพ์ว่า:
ฉันเป็นคนที่ เชื่อ เรื่องการดำรงชีวิตในแบบ-คนทั่วไป- ซะมากกว่าเรื่องดำรงชีวิตแบบศาสนาต่างๆ จะบอกว่าไม่เชื่อคำสอนก็ไม่ใช่ เพราะยังเชื่อและพยายามปฎิบัติอยู่ แต่บางครั้งก็อดสงสัยอะไรในชีวิตหลายๆ อย่างไม่ได้ อย่างเช่น

เหตุการณ์หลังจากที่ทุกอย่างหมดสิ้นกันแล้ว ทุกสรรพสิ่งนิพพานกันหมด โลกก็จะว่างเปล่า?? มนุษย์สูญพันธ์ ใช่ไหม?? แล้วมัน...จะดีหรอ? -__-?


- อันนี้ยาว
พระพุทธศาสนาเรามีขอบเขตความสนใจ แตกต่างจากศาสนาอื่น
ศาสนาอื่นสนใจจะตอบคำถามว่าจักวาลกำเนิดอย่างไร จบอย่างไร
โลกเกิดอย่างไร จบอย่างไร
แต่ศาสนาพุทธไม่ใช่อย่างนั้น

พระพุทธศาสนามีจุดยืนที่ชัดเจนว่าเราต้องการพ้นทุกข์
ดังนั้นคำถามอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพ้นทุกข์ เราไม่สนใจ

ดังนั้น คำถามประเภทที่ว่า "จักรวาลมีที่สิ้นสุดไหม โลกเกิดอย่างไร ดับอย่างไร"
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่ให้สนใจ เพราะถึงรู้ได้ก็ไม่มีผลอะไรกับการพ้นทุกข์
เป็นผลเสียมากกว่าผลดี ดังแสดงใน .."จูฬมาลุงโกยวาทสูตร"

ลองอ่านลิงก์นี้ดูนะครับ มีทั้งอ้างอิง และตีความ
เข้าใจได้ง่าย http://www.nkgen.com/796.htm

ตวง พิมพ์ว่า:
ก่อนที่ทุกคนจะได้บรรลุธรรมต่างๆ ก็จะไม่มีใครฆ่าสัตว์ ปลูกผัก ทำงาน ประดิษฐ์สิ่งของ-เครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตจริงๆ แล้วจะอยู่กันอย่างไร? โดยเฉพาะว่าการไม่มีอะไรเป็นอาหาร?

แล้วถ้าไม่มีใครทำอาหาร ที่หมายถึง "อาหาร" จริงๆไม่ใช่ผักหญ้าที่เก็บเอาตามป่า จะได้สารอาหารครบหรือ? ไม่กลายเป็นโรคขาดสารอาหารกันหมดหรือ?


- หมายถึงว่า ถ้าเป็นคนดีตามแบบพระพุทธศาสนากันหมด
ไม่มีใครฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดปด
บวชหัวโล้นกันหมดแล้วใครจะจะพัฒนาอาหาร ใครจะปลูกผัก แล้วเราจะอยู่กันยังไง
..... ถามแบบนี้ใช่ไหมครับ

เพราะเรื่องที่เราคาดเดานี้...มันเป็นไปไม่ได้ไงครับ
เป็นไปไม่ได้เลยในโลกที่เราอยู่นี้

ถ้าห้ามแสงอาทิตย์แสงจันทร์ไม่ให้ส่องได้
ถ้าห้ามไฟไม่ให้มีควันได้
ห้ามอย่างนั้นได้ก้จะสามารถห้ามคนไม่ให้ทำความเลวได้

ศาสนาพุทธเน้นให้มองตามความเป็นจริงที่เป้นอยู่จริงๆ
ไม่ใช่คาดเดาว่าจะเป็นจริง จำลองสถานการณ์ว่าน่าจะเป็นจริงขึ้นมา แล้วนำมายึดเป็นสรณะ สงสัย หาคำตอบ

เช่นถ้ามีคำพูดว่า "จำนวนดวงดาว มีเท่ากับเมล็ดทรายในท้องทะเล"
เราคงพยักหน้าเห็นด้วยว่า น่าจะจริง
แต่เอาเข้าจริง เราจะมานั่งนับดาวให้หมด นับเม็ดทรายให้หมด แล้วมาดูว่าเท่ากันไหม ?!?!?!?!
เราอยากจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ!?!?!?!

ตวง พิมพ์ว่า:
งั้นทุกคนที่มี "ความฝัน" ก็สมควร-อย่างยิ่ง-ที่จะฝันว่าอยากนิพพาน จะฝันว่าอยากเป็น ศิลปินระดับโลก อยากเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง อยากเป็นนักคอมพิวเตอร์ นักโปรแกรมเมอร์ ก็ไม่ควร เพราะว่าทำให้เกิดกิเลศอย่างนั้นนะหรือ? ยิ่งที่บอกว่าไม่ควรฟังเพลงหรือดูละครภาพยนต์ต่างๆ เพราะจะทำให้เกิดกิเลศ อย่างนี้ความฝันของคนที่อยากเป็นนักดนตรี ก็เป็นความฝันที่ไม่มีทางได้นิพพานนะสิ? เพราะว่าเค้าต้องฟังเพลงและใช้อารมณ์สร้างงานที่ดีให้โลก


- ศาสนาพุทธไม่มีสภาพบังคับนะครับ มันมีสภาพเป็น "ทางเลือก"

แม้แต่ในสมัยพระพุทธเจ้ามีชีวิต ท่านก้ไม่เคยบังคับใครมาบวช ไม่บังคับใครมาศรัทธา
โลกทั้งสอง ... ก็ดำเนินไปด้วยกัน

โลกทั้งสองคือ
1. โลกของคนที่ต้องการมุ่งนิพพาน เราเรียก โลกุตรสุข (ความสุขแบบ เหนือ-โลก)

2. ส่วนโลกอย่างเราๆท่านๆ ที่ทำอะไรต่างๆ นาๆ
ดูหนังฟังเพลง กินของอร่อย ..... เราเรียกว่า โลกียสุข (ความสุขแบบชาวโลก)

ถ้าใครอยากจะอยู่ในโลกียะสุข ขอเพียงน้อมนำคำสอนเพียงเล็กน้อยของพระพุทธเจ้ามาใช้ในชีวิต
เราก็จะมีความสุขเหนือคนธรรมดา


แต่ความสุขความทุกข์ของคนไม่เคยพอครับ
คนรวยมากๆ ที่เราคิดว่าเขาไม่มีความทุกข์ ..ก็ยังมีความทุกข์ในแบบของเขา
คนจนมากๆ ที่คิดว่าคงหาความสุขไม่ได้ ... เขาก้ยังมีความสุขได้ในแบบของเขา
แปลว่า ทุกข์สุข มีกันอยู่ทุกข์คน

ถ้ามีใครทุกข์มากๆ หรือสุขมากๆ ...มันจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้น
คนสนใจศาสนาก็มีแค่สองแบบนี่แหละครับ
ถ้าไม่ทุกข์มากๆ ก็สุขมากๆ ...อย่างพระพุทธเจ้า ... เลยหน่าย เลยเบื่อ
ถ้าเบื่ออย่างนี้ หน่ายอย่างนี้ เขาถึงสนใจความสุขประเภทเหนือโลก

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของแต่ละคนว่าจะต้องการศาสนาพุทธแค่ไหน
ก็เป็นไปตามอัธยาศัย ว่าจะมองเห็นประโยชน์แค่ไหน

มันเหมือนเราปรุงอาหารชั้นเลิศขึ้นมา มีคุณค่าทางอาหารดีที่สุด แพงที่สุด
แล้วเที่ยวเอาไปให้คนกิน ... ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนจะกินดังนั้น
- บางคนกินเพราะ ..ชอบกิน/ไม่กินเพราะไม่ชอบ ..
- บางคนแค่อยากลอง ... เกิดติดใจก็มี ... เข็ดแล้วไม่เอาอีกก็มี
- บางคนไม่ใช่ว่าสนใจรสชาดนะ... เขาเห้นว่ามันอุดมเลอค่า
เขาก็กินเพราะอยากได้คุณค่า แตเจอรสชาติขมปี๋ (การปฏิบัติธรรม) เขาก็ขยาดเลย ไม่เอาอีก ก็มี

ดังนั้น วิธีคิดที่ว่า...
นิพพานดี งั้นทุกคนก้ต้องเอานิพพาน ต้องทำทุกคน... จึงเป็นความคิดแบบที่ต้องการเปลี่ยนคนอื่น .... เราไม่เห็น "ใจ" คนอื่น
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่า ... เรามองไม่เห็นธรรมชาติของจิตใจ (ของคน)
ถ้าจะพูดให้ถูกที่สุด ต้องพูดว่า... "เรามองไม่เห็นธรรม มองไม่เห็นความจริงตามธรรมชาติของสรรพสิ่งต่างๆ (ในที่นี่คือ เราไม่เห็นธรรมชาติของจิตใจคน)"

ศาสนาพุทธมีเอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งคือ
เป็นศาสนาที่สอนให้วุ่นวายกับตัวเองเท่านั้น
หมายถึงว่า ธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนไว้ให้เราเอาไปเปลี่ยนใคร
แต่สอนให้เราเอาไว้ใช้เปลี่ยนตัวเอง แก้ไขตัวเอง
ต่อให้พระพุทธเจ้ามาโปรด ถ้าเราไม่ทำตาม มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ตวง พิมพ์ว่า:
ทำไมเกย์จะนิพพานไม่ได้ อ่านในนิตยสาร secret แล้ว...งุนงงมาก ฉันเชื่อมาตลอดว่า ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่มีเหตุผล แต่วันนี้อ่านในนิตยสารนั้นแล้วรู้สึกแปลกไป.. ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อนะคะ!! แต่ยังไม่เข้าใจมากกว่า เลยอยากเข้าใจ ถ้าบอกว่าเป็นเกย์เพราะอะไร อย่างงี้ก็อีกเรื่อง แต่บอกว่า-ไม่มีทาง-จะปฏิบัติธรรมแล้วได้ผลจริงๆ อย่างนี้ดูไม่ค่อยแฟร์เท่าไร หรืออาจจะเป็นเพราะฉันคิดเอาเองมาตลอดว่า สาสนาพุทธไม่เกี่ยงเรื่องเพศที่คนๆ นั้นเป็นอยู่

อีกอย่าง เรื่องเกย์ในความคิดฉันมันเหมือนเรื่องรสนิยมมากกว่า คนหนึ่งคนชอบสีส้ม อีกคนขะชอบสีตรงข้ามไม่ได้เชียวหรือ? จะไปชอบสีน้ำเงิน หรือสีเขียวก็ไม่ได้ ไยจึงต้องตีกรอบไว้เพียงเท่านั้น ทั้งที่ไอ้สีเขียวหรือสีนำเงินนั้นมันไม่ได้เป้นของๆใคร มันก็อยู่ตรงนั้น แค่เค้าชอบสีนั้นแค่นั้นเองนี่นา~?

อย่างนี้ทุกคนก็ต้องชอบสีเดียวกันทั้งโลกสิ?


- อีกอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเอาไว้
ดักคอพระองค์เองด้วย คือ การอย่าเชื่อ ทั้ง 10 ประการ

ศาสนาอื่นๆ มีแต่บอกให้เชื่อ แล้วห้ามสงสัย
แต่พระพุทธเจ้าตรงกันข้าม ท่านบอกว่า อย่าเชื่อเด็ดขาด
หนังสือพูดก้ห้ามเชื่อ อาจารย์พูดก็ห้ามเชื่อ
น่าเชื่อแค่ไหนก็ห้ามเชื่อ
แต่จงเชื่อเมื่อได้ประสบพบความจริงนั้นด้วยตนเอง

อย่างมีคนบอกว่า น้ำมันร้อน ตอนแรกเราไม่รู้
พ่อแม่กลัวจะเป้นจะตายว่าเราจะโดนน้ำร้อนบ้าง เล่นมีดบ้าง
เลยปากเปียกปากแฉะอีกทั้งสารพัดวิธีในการป้องกันเราจากอันตรายของน้ำร้อน
วันนึงเราโดนน้ำร้อน ลวกเข้าไป 1 ที
..... ทั้งชีวิตนี้ เรากลัวน้ำร้อนไปเลย ไม่เอาอีก
.... พ่อแม่ไม่ต้องสอนอีกแล้ว สักคำเดียว
นี่คือตัวอย่างของการรับรู้เพราะประสบการณ์ตรง ...
พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติ แล้วจะ"รู้"...ท่านไม่สอนให้"เชื่อ"
พุทธแปลว่า"รู้"

การฟังอะไร อ่านอะไร จึงควรให้คุณค่ามันมากที่สุดแค่ว่าความรู้นั้นเป็น "แผนที่"
หรือเป็น "ประเด็นที่ต้องการรู้"
แต่เราต้องลงมือหาความรู้นั้น (ปฏิบัติ)
แล้วจึงจะเกิดความรู้แจ้ง แทงตลอด แบบโดนน้ำร้อนลวก (ปฏิเวธ)

ถ้ามีคนพูดว่า เกย์นิพพานไม่ได้
ก้ไปถามคนเขียนว่า เอาอะไรมาพูด ตรงไหนพระพุทธเจ้าเขียนไว้
รับประกันได้ว่าตอบไม่ได้ ... อย่างมากก็แค่แสดงความเชื่อของตัวเองว่าอย่างนั้นอย่างนี้

ที่สำคัญคือไปถามคนเขียนก่อนว่า นิพพานคือะไร
ถ้าเขารู้ว่านิพพานคืออะไร
ถึงจะพึงบอกได้ว่าใครบ้างนิพพานได้ ใครบ้างนิพพานไม่ได้ ..ถูกไหมครับ

ถ้าเขารู้ว่านิพพานคืออะไร เราต้องยกว่าเขาเป็นพระอรหันต์
แต่แปลกว่าพระอรหันต์ที่เราเคารพนับถือกัน ... ไม่มีใครเลยพูดเรื่องนิพพาน
ท่านเหล่านั้นไม่พยามจะแตะต้อง

เหมือนเราพูดเรื่องแคลคูลัสกับเด็กๆ มันรับไหม เข้าใจไหม
ถ้าเราไปพยามบังคับมันให้เข้าใจ แปลว่าเรานี้ บ้า น่าเป็นห่วง
พยามจะสอนเรื่องที่เด็กรับไม่ได้ ให้มันเข้าใจให้ได้
ผมจัดว่า.. บ้านะ.... คนคนนี้บ้า

ยกตัวอย่างว่า มีฝรั่งคนหนึ่ง มันสงสัยมากกว่า "รสชาดต้มยำเป็นยังไง"
แต่มันไม่เคยชิมนะ

มันคิดเรื่องรสชาดต้มยำนี้เป็นตุเป้นตะ มันคิดขนาดที่ว่าเรียนปริญญาเอกเรื่องรสชาดต้มตำได้เลย
เขียนหนังสืออกมาเป็นภาษา 180 ภาษายังได้เลยนะ การคิดๆไปว่ารสชาดต้มยำเป้นยังไงเนียะ

ส่วนเราคนที่รู้จักรสชาดต้มยำอย่างแท้จริงๆ
เราก็ไม่น้อยหน้า พยามอธิบายให้มันฟังด้วยการพูดเหมือนกัน
อธิบายด้วยหนังสือเหมือนกัน เอาให้มันละเอียดยิบอย่างกับปริญญาเอกก้ยังได้

แต่คนสองคนนี้มันโง่
ถ้าคนไทยจัดต้มยำให้ฝรั่ง แล้วฝรั่งมันชิมสักคำนึง
ฝรั่งไม่ต้องพูดสักคำ คนไทยก็ไม่ต้องพูดสักคำนึง
แล้วทั้งสองคนก็เข้าใจตรงกัน ไม่มีพิดเพี้ยนเลย
รู้รสที่ชิมต้มยำถ้วยเดียวกันนั้นได้แจ่มแจ้งแก่ใจไม่ผิดเพี้ยนคลาดเคลือนกันไปเลย
พยักหน้าหงึกๆ.... ไอ ซี ไอ ซี

อย่างเพิ่งไปพูดถึงนิพพานเลยนะ ดูเอาง่ายๆแค่รสชาดต้มยำ
ลองเขียนอธิบายสิ ว่ามันเป็นยังไง แล้วเขียนให้คนอ่านได้รับรสเหมือนชิมเลยเลยนะ
คือเรียกว่า อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วได้รับรสเช่นเดียวกับการชิม?!?!?!
ตลกนะผมว่า ตลกมากๆ

จบเรื่องนิพพาน มาต่อเรื่องเกย์

ที่คุณอ่านมานั้น ต้องใช้วิจารณญานมากๆ
มันเป็นตันหาของคนเขียน ว่าเกย์อย่างนั้น อย่างนี้ บรรลุธรรมไม่ได้อย่างโน้น
ต้องกลับไปถามคนเขียนว่า "บรรลุธรรมคืออะไร"
"บรรลุแล้วเหรอ ถึงรู้ว่าใครบ้างบรรลุได้ ใครบ้างบรรลุไม่ได้"
"ตรงไหนในพระไตรปิฏกที่แจกแจงว่าเกย์บรรลุธรรมไม่ได้"

ลองนึกถึงองคุลีมาลนะครับว่า ชั่วขนาดไหน ทำไมสำเร็จเป็นอรหันต์?

คนที่ชั่วขนาดบรรลุธรรมไม่ได้ ท่านเขียนล๊อกเอาไว้แล้ว ระบุไว้แล้ว
เพื่อล๊อกหกันพวกนักเขียนอวดดีพวกนี้ ท่านเรียกว่า อนันตริยกรรม
คือกรรมหนักมาก

อนันตริยกรรม กรรมหนัก, กรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด ตัดทางสวรรค์ ตัดทางนิพพาน, กรรมที่ให้ผลคือ ความเดือดร้อนไม่เว้นระยะเลย
มี ๕ อย่าง คือ
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิตุฆาตฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป
๕. สังฆเภททำสงฆ์ให้แตกกัน
จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ของพระธรรมปิฎก

ลองดูสิครับว่า มันอยู่ข้อไหน ที่ว่านิพพานไม่ได้

แต่กรรม มีหนักกว่านี้นะ มีพระสูตรที่กล่าวไว้ ว่ามีหนักกว่านี้
แต่ออกแนวเล่นคำ ... ถ้าคนเราเข้าใจผิด เห็นผิด คิดผิด ...
มันก็แปลว่าเข้าใจผิด ย่อมผิดอยู่แล้ว
ซึ่งผมคิดว่า เจ้าคนเขียนที่คุณไปอ่านมานี่ น่าจะเข้าข่ายนี้นะครับ ลองดู

พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 192
[๑๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่ง ซึ่งจะมีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.


ทีนี้ คนสงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าห้ามกระเทยบวช
ลองดุในพระสูตรเอาเองนะครับ
อรรถกถาจำแนกบัณเฑาะว์ออกไว้หลายประเภท
มีบางประเภทบวชได้

ข้อสังเหตุคือ ถ้าพวกที่มีลักษณะเพี้ยนไปแล้ว คุมตัวเองไม่อยู่ ท่านไม่ให้บวช
แต่ประเภทคุมตัวเองได้ ท่านให้บวช ลองอ่านลิงก์นี้ ละเอียดยิบ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16073

ตวง พิมพ์ว่า:
แล้วในเมื่อสุดท้าย "การเกิด" ก็คือบ่วงแห่งกรรม แล้วทำไมไม่หยุดการเกิดมันซะละ? นี้ไง เป็นเกย์- ไม่มีลูก- ไม่มีบ่วงแล้ว...-_- (อันนี้อาจจะคิดเองเออเองไปหน่อยนะ แต่เป้นคำถามจิริงๆคะ ไม่ได้กวนประสาท) แถมบางรายยังรับเลี้ยงเด็กที่มาจากพวกไม่รับผิดชอบในการกระทำด้วย คือไปช่วยเค้ารับเลี้ยงเด็ก บางรายก็ได้ดีไป เป็นการช่วยเหลือสังคม ไม่เพิ่มบุคลากรโลกที่จะทำมาซึ่ง "ทุกข์" อีกร้อยแปดอย่าง

คือมันยังมีที่สงสัยอีก ถ้าพิมพ์ต่อจะยาวกว่านี้ หลายท่านที่อ่านอาจจะคิดว่ามันดูเป้นคำถามงี่เง่าไปก็คงไม่ผิดมั้งคะ? แต่จะว่าไปฉันเป้นนักคิดมั้งคะ ชอบหาเหตุผลเพื่ออธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจจริงๆ ก็หวังเป้นอย่างยิ่งนะคะว่า จะมีคนใจดีที่พอมีคำอธิบายมาตอบหรือจะแสดงความคิดเห็นก็ได้คะ อย่างอ่านมากๆ


"การเกิด" ที่คุณเข้าใจ มันผิดอยู่นะ
ถ้าคนเราไม่มีลูก แปลว่าพ้นทุกข์ .??!!!
พระพุทธเจ้ามีลูกนะ ... ทำไมพ้นซะแล้วล่ะ

ผมคิดว่าคุณอย่าเพิ่งรีบเอาคำตอบข้อนี้เลยนะครับ
ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ สบายๆ อย่ารีบร้อนเอาคำตอบ
จนเมื่อเข้าใจว่า "การเกิด" คืออะไร แล้วจะหายสงสัย

แต่เอาง่ายๆ ตรงนี้ว่า
การเกิดเป็นความทุกข์ประเภทหนึ่ง
ยังมีความทุกข์อีกนานับประการ ไม่ใช่แค่การเกิดเท่านั้น

ทุกข์เหล่านี้ มันมีเหตุครับ มันมีที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน
สิ่งนั้นเรียกว่า อวิชชา

พระพุทธเจ้าสอนให้เรามองเห็นทุกข์ รู้จักทุกข์ แต่ไม่ได้สอนให้ทำลายทุกข์
คุณทำลายความตายได้หรือ ทำลายความเกิดได้หรือ
ไม่มีใครทำลายได้

ท่านสอนให้เราหาเหตของุมันให้เจอ
แล้วทำลายที่เหตุ คืออวิชชา

เราต้องรู้จักทุกข์ มองเห็นทุกข์ - ทุกข์
แล้สเราจึงมองเห็น เหตุแห่งทุกข์ - สมุทัย
เมื่อรู้เหตุแล้ว จึงรู้ทางดับเหตุแห่งทุกข์นั้น - มรรค
ทุกข์นั้น ดับลง - นิโรธ

ทุกข์- ไฟกำลังไหม้
สมุทัย- เหตที่ไฟไหม้อยู่ได้ เพราะมีเชื้อไฟ ไฟจึงไหม้ต่อไป
มรรค - ทำอย่างไรให้เชื้อไฟหมดไป คือทำให้มันเปียก จะได้ไม่เป้นเชื้อไฟ
หรือเอาเชื้อออกไปจากกองไฟ ... แล้วลงมือดังนั้น
นิโรธ - ไฟดับ

อย่าถามนะ ว่าอวิชชาคืออะไร
ผมอยากรู้แจ้งเรื่องนี้เหมือนกัน
เรื่องพวกนี้ ปากพูดพูดได้ แต่รสชาดต้มยำจริงๆ เป็นยังไง
ต้องชิมก่อน ถึงเรียกว่ารู้จริง
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ


แก้ไขล่าสุดโดย คามินธรรม เมื่อ 29 ก.ย. 2008, 10:20 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 10:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำว่าสงสัย ... ไม่เป็นบาป ในศาสนาพุทธนะครับ
แต่ท่านสอนให้เราสงสัยในสิ่งที่เป็นประโยชน์
อย่างที่ทำอยู่นี้ ดีแล้วครับ

ขอให้เราสงสัยอย่างมีปัญญา
ก็ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าบอกว่า ท่านไม่สนใจนะ เรื่องจักรวาล
แต่เรายังไม่เลิกสงสัย ก็แปลว่าในเรื่องที่กำลังสงสัยนี้ ศาสนาพุทธไม่เกี่ยวด้วยนะ
ดังนั้น จะบุญหรือบาป ศาสนาพุทธไม่เกี่ยวจ๊ะ


เรื่องบาป บุญ นี้ยาว
ศึกษาไปเรื่อยๆ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เมธี
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 12:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 3:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบได้ดีมากครับท่านคามินธรม.. สาธุ สาธุ
ยังไงซะถ้าได้ชิมต้มยำแล้วก็แบ่งกระผมชิมบ้างนะครับ....ซะช้อนก็ยังดีครับ เผื่อจะได้ต้มกินเองได้บ้าง ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
ตวง
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 ก.ย. 2008
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 04 ต.ค.2008, 8:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณคุณคามินธรรมมากๆ เลยคะ

คุณทำให้ความเข้าใจดีขึ้นมาก 55+

และก็มีลิ้งค์ให้ด้วย วู้ว...แสดงว่าคุณนี้ศึกษามามากเลยนะเนี่ย

ยังไงขออนุญาติเอาลิ้งค์ไปโพสอีกเว็บด้วยดีกว่า?^^

ถึงมันจะได้ได้เคลีย แต่มันก้อทำให้โล่งขึ้น 55+

อืม..เพิ่มเติมนิดนะคะเรื่องเกย์ที่บอกว่าอ่านจาก secret อะคะ คือไม่ได้อ่านหรือหาข้อมูล (ที่ทำให้มานั่งสงสัย) อยู่ที่เดียว เจอหลายที่คะ ในเว็บไซค์ต่างๆ ก้อมี บอกแรมานว่าเกย์นี้บรรลุธรรมไม่ได้ เวลาที่ฉันสงสัย ฉันมักจะหาข้อมูลก่อนเสมอแหละก่อนถามคนอื่นนะคะ ก้อเลยยิ่งสงสัยหนักเลยว่าทำไมเกย์ถึงจะบรรลุธรรมไม่ได้ ซึ่งที่คุณคามินธรรมบอกตอบมานี้ก้อมีเหตุผลนะ ?? ตัวอย่างชัดเจนดี เรื่องพระองคุลิมาลยังเป็นพระอรหันต์เลย :)

ขอบคุณคะ* ขำ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 07 ต.ค.2008, 3:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง