Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 วิปัสสนาภูมิ ตอนที่ 9 ญาณ 16 อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
ผู้ตั้ง ข้อความ
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 4:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณกรัชกราย คุณปรุงแต่ง เกินไป

คุณไปอ่านข้อความของผมดีๆ ว่า มันหมายถึงอะไร และอ่านข้อความของคุณดูซิว่า จริงดังผมบอกไหม

คุณไม่ต้องถอย คุณ เอาความจริงมาโต้ได้เลย
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 4:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตัวอย่างนั้นนำมาจากลิงค์นี้ครับ

http://board.palungjit.com/showthread.php?t=150704

กรัชกายบอกกับคุณ mes ก่อนหน้าแล้วว่าจะไม่ร่วมสนทนาประเด็นข้อ

ปฏิบัติจริงนี้ด้วย เพราะต้องการถนอมน้ำใจของทุกฝ่ายไว้

ที่ยกมาก็ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ได้บอกใบ้ให้ผู้ปฏิบัติจริง ซึ่งอาจเข้ามาอ่านแสวงหาทางพ้นจากอาการนั้น
ถ้าไม่มีก็ปล่อยเลยไป เรื่องนี้จะยัดเยียดกันไม่ได้ แล้วก็ไม่เคยยัดเยียดสิ่งนี้ให้ใคร ถ้าไม่เต็มใจ ยิ้ม

เชิญสนทนากับคุณ mes และคุณ guest เถอะครับ ไปล่ะ ยิ้ม
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 5:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

ขอบคุณท่านกรัชกายด้วยครับ
ทำให้ได้ทราบว่า
วิปัสสนูกิเลสก็คือ

ธัมมุธัจจ์ - ความฟุ้งซ่านธรรม หรือ ตื่นธรรม
ธัมมุธัจจ์ มาจากคำว่า ธัมมุทธัจจะ หรือ ธรรมุทธัจจะ

mes - : 29 ก.ย. 2008, 10:48 am



คุณmes มีหนังสือพุทธธรรมเปิดไปหน้า 326

แล้วจะเห็นสิ่งที่กรัชกายนำมานั้น

อยู่ในวิธีปฏิบัติ 4 อย่างที่ท่านกล่าวไว้ในบาลี คือ (สังเกตข้อที่ 4)

1. สมถปุพพังคมวิปัสสนา - วิปัสสนามีสมถะนำหน้า

2. วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ - สมถะมีวิปัสสนานำหน้า

3. ยุคนัทธสมถวิปัสสนา - สมถะและวิปัสสนาเข้าคู่กัน

4. ธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส–วิธีปฏิบัติเมื่อจิตถูกชักให้เขวด้วยธรรมุธัจจ์

คือความฟุ้งซ่านธรรม หรือตื่นธรรม


คำว่า ธัมมุธัจจ์ หรือธรรมุทธัจจ์ มีอธิบายหน้า 327

ธรรมุทธัจจ์ = ธรรม+อุทธัจจะ - อุทธัจจะ แปลว่า ความฟุ้งซ่าน

นึกออกไหมในนิวรณ์


คัมภีร์ชั้นอรรถกถาเรียก ธรรมุทธัจจ์ว่า วิปัสสนูปกิเลส ๆ แปลว่า เครื่อง

เศร้าหมองแห่งวิปัสสนา หรือ จะแปลว่า สิ่งที่ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง

ก็ได้

เมื่อโยคีรู้ว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลส ก็กำหนดรู้สิ่งนั้นตามเป็นจริงเสีย วิปัสสนูปกิเลส

นั้นก็เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาไปเลย คือ กลับกลายเป็นประโยชน์ไป

(วิปัสสนูปกิเลส= วิปัสสนา+อุปกิเลส)


ธรรมุทธัจจ์ ที่ว่า ความฟุ้งซ่านธรรม เพราะโยคีประสบกับสิ่งทั้ง 10

อย่างๆใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆอย่างในขณะที่ปฏิบัติอยู่นั้น เมื่อตนไม่รู้

ว่าเป็นอะไร คืออะไร ?

ก็หลงดูสิ่งนั้นเพลินไป ฟุ้งซ่านพล่านปรุงแต่งไป ก็เป็นอันคลาดจาก

กรรมฐาน

พูดง่ายๆว่า เพลินต่อธัมมุทธัจจ์นั้นจนลืมว่าตนกำลังกำหนดรู้รูปนามอยู่

ดังตัวอย่าง 3 ตัวอย่างที่นำเสนอนั้น
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 7:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ ขันธ์

ปีติ ก็คือ ปีติ สิ
แล้วปีติของคุณต่างกับของคนอื่นอย่างไร
ก็บอกลักษณะมาสิ
ผู้ปฏิบัติรู้จริงเห็นจริงบอกได้หมดนั่นล่ะ
เล่าเหตุการณ์ได้ด้วย
ไม่เป็นเหมือนคุณหรอก

ถ้าอย่างนั้นคุณบอกอาการมาว่าปีติแต่ละอย่างต่างกันอย่างไร
ผู้รู้จริงเห็นจริงบอกได้อยู่แล้ว

ไม่ใช่ไปอุปมาอย่างนั้นอย่างนี้
มันเข้าทำนองไปอ่านไปจำมา
ก็เอามาพูดไปเรื่อย

ผมยกเหตุผลมาแล้วว่า
ในขั้นสมาธิ ก็เกิดวิปัสสนูกิเลสได้
ในกรณีขององค์หลวงตามหาบัว ที่ท่านได้เทศน์ไว้
ถ้าคุณจะค้านตรงไหนให้ค้านมา

ไม่ใช่ไปยกโคตรภูอะไรของคุณมา

แล้วคุณไปเกิดวิปัสสนูกิเลสอะไรมาก็เล่ามา
เป็นวิปัสสนูกิเลสประเภทไหน
ไม่ใช่เล่ามั่ว ๆ อย่างนี้ มันครุมเครือที่คุณพูด

"ทีนี้ การที่จะเป็นวิปัสสนูกิเลส ก็แน่นอนว่า จะต้องเกิดจาก วิปัสสนาญาณเห็นแจ้งรู้จริงอะไรบางอย่างที่ เปลี่ยนวิถีชีวิตได้ จึงเกิดอาการปีติ ในทัสนะนั้น ในการเห็นจริงอันนั้น จึงจะสังเกตุได้ว่า สิ่งที่ตามมาของวิปัสสนูกิเลสคือ ปัญญาแตกฉาน วางอุเบกขาได้อย่างเหลือเชื่อ สุข อย่างไม่เคยมี"

ธรรมะที่คุณเอามาพูดนั้นผมจะบอกให้
ไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่ผู้ฟังเลย
มีแต่ความอวดตัวเท่านั้นล่ะ
ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใดเลย

พระอริยะท่านจะกระทำสิ่งใดท่าน
เล็งประโยชน์ตนและของคนอื่น
แต่คุณนี่ประเภทหาฟืนไฟใส่คนอื่น

ถ้าแน่จริงก็เปิดมา

แล้วถ้าคุณว่าคำว่า "ทุเรศ" ไม่หยาบ
แล้วคุณใช้คำ ๆ นี้พูดกับ พ่อ กับ แม่ คุณหรือเปล่า
หรือว่าครอบครัวของคุณใช้แต่คำว่า "ทุเรศ" กัน
มันชักจะเพี้ยนไปใหญ่แล้ว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 7:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ธรรมะที่คุณเอามาพูดนั้นผมจะบอกให้
ไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่ผู้ฟังเลย
มีแต่ความอวดตัวเท่านั้นล่ะ
ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใดเลย


นี่อ่านแล้วคุมประเด็นหน่อย ไอ้ที่ว่าไม่ได้ประโยชน์ก็เห็นจะมีแต่พวกอ่านจับผิดนั่นแหละ อ่านดูให้ดีว่ากำลังพูดพรรณนาหรือว่า บรรยายธรรม ดูให้ดีว่าเป็นธรรมประกอบหรือหลัก

ส่วนเรื่องคำว่าทุเรส มาถามผมว่า เอาไปใช้กับพ่อแม่ไหม นี่ก็ส่อให้เห็นความสุดโต่ง พวกคุณเป็นพ่อแม่ผมหรือ ถึงไปเทียบแบบนั้น คำพูดมันก็ขึ้นกับบุคคล คุณไปพูดกับเพึ่อนก็อย่างหนึ่งกับครูบาอาจารยก็อย่างหนึ่ง แต่แปลกว่าที่ด่าว่าไอ้สัตว์สัตว์นรกนี่คุณไม่เดือดร้อนหละ ผู้ พิทักษคำสุภาพ

ส่วนพระอริยะจะทำอย่างไร เหตุผลอย่างไรนี่คุณรู้หรือ
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 8:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขันธ์ คุณตอบมาให้หมดที่ผมถาม
อย่าบ่ายเบี่ยง

พระอริยะท่านมีองค์แห่งเมตตา
แต่คุณมีอะไรคิดเอาเอง
มีแต่ความคลุ้มคลั่ง
สำคัญว่าตนอยู่เหนือคนอื่น
มันก็ได้แค่สำคัญตนเท่านั้นล่ะ
ความจริงไม่มีหรอกสำหรับคนอย่างคุณ

คุณนี่หยาบหนาจริง ๆ
เห็นคำว่า "ทุเรศ" ใช้ได้ในที่สาธารณะ

ถ้าคิดว่าตัวคุณเองเป็นพระอริยะก็ให้พูดมา
ถ้าไม่ได้เป็นก็ยอมรับมาว่าไม่ได้เป็น

แล้วอย่าลืมตอบคำถามผมล่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 8:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


นำเสนออีกมุมหนึ่งครับ ยิ้ม ยิ้มเห็นฟัน



ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่ง

ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางใน
อานาปานสติสูตร

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ

แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่า
ลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา
ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ-

(ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่ รร. สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจ จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ สามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน
แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า

ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถะแบบอัปปมัญญา ๔ (รู้สึกแวบขึ้นเอง) แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ
ในทิศเบื้องหน้า ฯลฯ พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ

กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลก ที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ... ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก- (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน -(ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่า ลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่า คือ ลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปีติ คือปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้น รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาน หรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"

จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง -(คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปีติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปีติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 8:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถึงแม้เราจะสนทนากันไปอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคื

มีผู้คนอยู่กลุ่มหนึ่งรวมทั้งผมด้วยที่รู้ยังไม่ลึกซึ้ง

ผมอ่านพุทธธรรมมาหลายรอบแล้ว เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

จำได้บ้างไม่ได้บ้าง

ยิ่งนำมาผูกโยงกับการปฏิบัติจริงยิ่งไปกันใหญ่

ผมได้ความรู้ความเข้าใจจากผู้รู้จริงจริงหลายท่านที่ผมผูกไมตรีเป็น

กัลยาณมิตร

ผมได้ความรู้ได้ปัญญาจากท่านเหล่านั้นมาก

แน่นอนครับผมทราบดีว่าถ้าผมไม่โชคดีที่ได้ความรู้ที่เป็นสัมมาทิฐิ

ชีวิตการเดินบนสายธรรมะคงลำบาก

ผมไม่อยากให้ใครเป็นเช่นนั้นด้วย

ผมจึงเข้าใจท่านกรัชกาย ท่านguestที่ไม่ยอมให้ใครอ้างธรรมะผิดๆ

เพราะจะมีผู้ที่รับผลไป เป็นการน่าสงสารแก่ผู้นั้น

บางเอิญนิดหนึ่งครับ

ในด้านปริยัติ ปฏิบัติ ผมอ่อนมาก

แต่ด้นที่สามคือปฏิเวชนั้นไม่แน่ว่าจะต้องเดินตามตรอกออกตามประตู

อย่างเดียว

บางคนอาจบรรลุธรรมโดยไม่ตั้งใจก็มีได้เช่นกัน

ผมก็พอรู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ


ในทางความจริงที่เกิดไม่มีทางเหมือนกับที่บันทึกในตำราหรอกครับ

บางครั้งอ่านแล้วรู้ลึกงงเลย มันพิสดารไปมาก

ที่เกิดขึ้นจริงมีนิดเดียว

เหมือนตัวอย่างที่ท่านกรัชกายยกตัวอย่างเรื่องจริงมา

ผมจะบอกให้ว่า

ผู้ที่ผ่านวิปัสสนูกิเลสมา มาอ่านเรื่องวิปัสสนูกิเลสในหนังสือแล้วยังอาจจะ

ยังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าตนเองก็เจอและผ่านพ้นมาด้วยซ้ำไป

คุณขันธ์เองก็ไม่ต้องมายกตนเป็นดังมีอริยบุคคลในเวปนี้ที่พหูสูตรอยู่คน

เดียว ทุกคนควรเชื่อฟัง

ผมจะบอกอะไรให้

เส้นทางของอริยะบุคคลนะเขาคุยโม้ไม่ออก

จะร้องไห้ยังร้องไม่ออกเลย

เหมือนตอนพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนนั่นแหละ

ถ้าคุณเป็นอริยะบุคคลจริงคุณต้องเข้าใจความหมายนี้

หรือไปหาประวัติพระองค์อ่านอย่างละเอียดดูก็ได้

ชีวิตของอริยะบุคคลมีแต่ความวิบาก

หนักเบาแตกต่างกัน

แม้แต่พระพุทธเจ้า


ใครจะเข้าใจธรรมะก็ได้

เมื่อเข้าใจแล้วอาจจะคิดว่าตนบรรลุแล้วจึงวางตนแสดงเป็นอริยบุคคล

ก็อาจหลอกคนบางคนบางกลุมได้


แตผู้ที่เข้าถึงสัจจธรรม

บางครั้งตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวเลย ต้องอาศัยผู้อื่นมาทักให้ ผู้ที่จะมาทักก็คือ

อริยบุคคลนั่นแหละ


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมีคนพยายามแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนคื่อผู้บรรลุธรรม

แต่ไม่มีใครเชื่อ


ส่งท้ายนิดหนึ่งครับ

คุณขันธ์

ถ้าคุณไม่แสดงความก้าวร้าวด่าใครก่อน จะไม่มีใครด่าคุณแน่

เพราะคุณคิดว่าฐานะเพื่อนคุณจิกหัวด่าไอ้ทุเรศเพราะไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่

แม่ ไม่ใช่บุพการีตน จึงด่าได้ตามความพอใจ

คุณคิดอย่างนั้นจริงๆหรือครับ ไม่หน้าเชื่อ ว่าคุณจะคิดถึงขนาดนั้น

ไม่อยากจะเชื่อได้ว่าจะมีใครคิดอย่างนั้นได้ด้วยซ้ำไป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 8:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณขันธ์

ท่านกรัชกายครับ ไม่ใช่กรัชกราย

เรียกให้ถูกหน่อย

อย่าลืมตอบคุณguestด้วย



คุณGUESTเขียนถามว่า

คุณ ขันธ์

ปีติ ก็คือ ปีติ สิ
แล้วปีติของคุณต่างกับของคนอื่นอย่างไร
ก็บอกลักษณะมาสิ
ผู้ปฏิบัติรู้จริงเห็นจริงบอกได้หมดนั่นล่ะ
เล่าเหตุการณ์ได้ด้วย
ไม่เป็นเหมือนคุณหรอก

ถ้าอย่างนั้นคุณบอกอาการมาว่าปีติแต่ละอย่างต่างกันอย่างไร
ผู้รู้จริงเห็นจริงบอกได้อยู่แล้ว

ไม่ใช่ไปอุปมาอย่างนั้นอย่างนี้
มันเข้าทำนองไปอ่านไปจำมา
ก็เอามาพูดไปเรื่อย

ผมยกเหตุผลมาแล้วว่า
ในขั้นสมาธิ ก็เกิดวิปัสสนูกิเลสได้
ในกรณีขององค์หลวงตามหาบัว ที่ท่านได้เทศน์ไว้
ถ้าคุณจะค้านตรงไหนให้ค้านมา

ไม่ใช่ไปยกโคตรภูอะไรของคุณมา

แล้วคุณไปเกิดวิปัสสนูกิเลสอะไรมาก็เล่ามา
เป็นวิปัสสนูกิเลสประเภทไหน
ไม่ใช่เล่ามั่ว ๆ อย่างนี้ มันครุมเครือที่คุณพูด

"ทีนี้ การที่จะเป็นวิปัสสนูกิเลส ก็แน่นอนว่า จะต้องเกิดจาก วิปัสสนาญาณเห็นแจ้งรู้จริงอะไรบางอย่างที่ เปลี่ยนวิถีชีวิตได้ จึงเกิดอาการปีติ ในทัสนะนั้น ในการเห็นจริงอันนั้น จึงจะสังเกตุได้ว่า สิ่งที่ตามมาของวิปัสสนูกิเลสคือ ปัญญาแตกฉาน วางอุเบกขาได้อย่างเหลือเชื่อ สุข อย่างไม่เคยมี"

ธรรมะที่คุณเอามาพูดนั้นผมจะบอกให้
ไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่ผู้ฟังเลย
มีแต่ความอวดตัวเท่านั้นล่ะ
ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใดเลย

พระอริยะท่านจะกระทำสิ่งใดท่าน
เล็งประโยชน์ตนและของคนอื่น
แต่คุณนี่ประเภทหาฟืนไฟใส่คนอื่น

ถ้าแน่จริงก็เปิดมา




แล้วลองสรุปตัวอย่างที่ท่านกรัชกายยกมา

เอาของจริงอย่างนี้แหละดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 9:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


กรรมฐานเมื่อปฏิบัติถูกทางถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ต้องมากเพียงเข้าใจ

บ้างดังตัวอย่าง แล้วความคิด บุคลิกภาพจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี

เช่นตัวอย่างนี้ เป็นต้น =>



ในช่วงสุดท้าย ที่เดินจงกรมและนั่งสมาธิ
ฉันตั้งใจว่าจะเดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
ในตอนนั้น นั่งแล้วปวดมาก..กำหนดไปเรื่อยๆ ตายเป็นตาย
ทั้งที่ปวดมากกว่าปกติ พอปวดหนักเข้า มันก็หายปวดไปเอง
เมื่อหายปวดรู้สึกว่า จิตมันดิ่งลงสู่เบื้องล่าง เร็วมาก
ดิ่งแบบไม่ใช่วูบลงนะคะ เพราะกำหนดรู้ตลอดเวลา
ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับสนิมหนักๆ ที่เกาะอยู่ตามร่างกาย
(ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นรูปกายอย่างที่เห็น อธิบายไม่ถูก)

ก้อนสนิมหนักๆ พวกนั้นค่อยๆ หลุดออกมาทีละเปราะ ทีละเปราะ
รู้สึกว่าใจสว่างวาบ มีความสุข เป็นภาวะที่สงบสว่างค่ะ
เข้าสู่ภาวะนี้สักพัก ก็หมดเวลาทำสมาธิ

หลังจากนั้นพอกลับไปนอน ก็พยายามกำหนดรู้ตลอด
(การไปคนเดียวครั้งนี้ ตั้งใจมากๆค่ะ ไม่พูดไม่คุยกับใครเลย ถ้าไม่จำเป็น)

ในช่วงเจ็ดวันนั้นสงบมาก รู้สึกปลอดโปร่ง
เมื่อกลับมาที่บ้านก็อยากรู้สึก อยากกราบคุณพ่อคุณแม่มาก ซื้อพวงมาลัย
ไปสองพวง ไปกราบเท้าท่าน คุณพ่อคุณแม่ก็แปลกใจ ปกติลูกสาวคนนี้
ดื้อมาก ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่ความรู้สึกตอนนั้น- (และยังถ่ายทอดมา
ถึงปัจจุบัน) คือ รู้สึกรักคุณพ่อคุณแม่มาก แล้วก็รักทุกอย่างรอบตัวมาก
ขึ้น รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเราล้วนแต่มีคุณค่า ก็เปลี่ยนความคิดไปเลย


หลักมี ดังนี้


หลักการที่ว่า จิตที่บรรลุมรรคผลต้องเป็นอัปปนาสมาธินี้ เมื่อมองอย่างกว้างๆ ทำให้เกิด ความคิดว่า ความรู้เข้าใจ หรือ ความหยั่งรู้เห็นที่แจ่มแจ้งชัดเจน และแล่นลึกถึงขั้นเปลี่ยนแปลงพื้นจิตของคนได้ กำจัดกิเลส เปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพได้นั้น จะต้องเป็นประสบการณ์ภายในชนิดเต็มทั่วหมดทั้งจิตทั้งใจ หรือโพลงทั้งชีวิตทีเดียว
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 9:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นี่ ทางที่ถูกคึอคุณต้องไปอ่านของผมให้ดีก่อน ที่ผมพูดเรื่องวิปัสสนูกิเลส ไม่ต้องเอาเรึ่องอริยะมาปน

คำตอบทั้งหมดผมจะพูดอะไรให้ฟังอ่านแล้วก็เอาไปคิด

วิปัสสนูกิเลส เกิดในกรณีที่ มีวิปัสสนาญาณแล้ว และอยู่ยาวนาน ไม่ใช่ชั่วครู่ชั่วคราวตามที่บอกว่า เกิดในสมาธตอนเข้าฌาณ แต่ติดกับตัว ดังนั้นส่วนมากจะเป็นผรณาปีติ บ้างก็อุพเพงคาปีติที่ ยังกายให้สะท้านด้วยอำนาจจิตที่ครองสมาธิอยู่แทบตลอด ทีนี้ข้อที่แสดงว่าติดอยู่ก็คึอ ข้อที่ว่า มีปัญญาแก้วกล้า และมีศรัทธากล้าแสดงให้เห็นว่าคาบเวลาที่เกิดต้องอาศัยระยะเวลาที่ นานพอสมควร การที่บอกว่า เข้าสมถะแล้วเกิดจึงไม่ใช่วิปัสสนูกิเลส

เพราะไม่ใช่การหลงไปกับอำนาจอุปกิเลส แต่เป็นความไม่รู้อะไรเลย


 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 10:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ ขันธ์

ตกลงคุณจะตอบแค่นี้ใช่มั้ย
เอ้าเท่านี้ก็เท่านี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 10:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จะต้องพูดอะไรมากหละ คนไม่มีปัญญาอย่างมากก็เก่งแต่ตั้งคำถามหรือโต้แย้ง ก็ตอบมากกว่านี้มันก็มีคำถามมาตั้งใหม่ เอาเรื่องที่ผ่านมาให้เข้าใจเสียก่อน

ส่วนเรื่องปีติ ต่างกันหรือไม่ ก็ให้ทบทวนสิ่งที่ผมพูดไป เพราะคำถามเด็กอมมึอตั้งคำถามมันก็ตลก เปรียบดังถามว่า สมาธิ ของพระอริยะจะแตกต่างกับสมาธิของปุถุชนไหม คำถามแบบนี้จะพรรณนา มันก็มากมาย แต่สุดท้ายมันก็คือ สมาธิ
เด็กอย่างคุณจะไปรู้เรื่องอะไร
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 11:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่าผมจะต้งคำถามย้างดีกว่า เพราะปล่อยให้รุกกันมานานแล้ว ผมถามหน่อยเอาง่ายๆเห็นเก่งกันจัง ลองพูดเป็นความเข้าใจตนเองมาหน่อยซิว่า อุทัพยญาณมีอาการอย่างไร ได้แล้วจะมีผลอย่างไร และ อะไรจะเป็นตัวบอกว่าเราได้ญาณนนี้จริง

ถามสามคนเลย ให้ช่วยกันตอบ guest mes crashguy (กัดกาย)
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 11:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมจะรอคำตอบจากท่าน เชิญยิ้มทั้งสาม
mes mad en stupid
guest guess จอมเดา
กัดกาย จอมกัด

รวมไปถึง ซุปเปอร์โจ๊กอีกคนหนึ่งด้วย

คา มึน นอกจากคาแล้วยังมึนอีก

เชิญเหล่า กัด บ้า โง่ มึน เดา มาตอบคำถามได้ แล้วมันจะตอบถูกกันไหมเนี่ย แต่ะคนยังไม่สร่างสักคน
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 8:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

คุณขันธ์
ท่านกรัชกายครับ ไม่ใช่กรัชกราย
เรียกให้ถูกหน่อย

mes - เมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 8:57 pm



อ้างอิงจาก:
ผมจะรอคำตอบจากท่าน เชิญยิ้มทั้งสาม
mes mad en stupid
guest guess จอมเดา
กัดกาย จอมกัด



กัดกาย จอมกัด ยิ้มเห็นฟัน


คุณ mes ไม่ควรประท้วงคุณขันธ์เรื่องเขียน กรัชกาย เลย คุณขันธ์ เขียนกรัชกราย
ทุกครั้ง เคยแก้ให้ด้วยซ้ำ คิดว่าเขียนผิด แต่ท่านก็ยังเขียน กรัชกราย กรัชกราย ฯลฯ เหมือนเดิม เลยปล่อยเลยตามเลย เห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

เห็นมะคับน่า พอคุณทักท้วงแค่นั้นแหละ คุณขันธ์เขียนเพี้ยนเป็น “กัดกาย” ไปกันใหญ่เร้ยคราเนี่ย

เห็นทีแรกขำจนน้ำตาไหล ขำ แหมคุณขันธ์หัวตะแบงดีแท้
เขาบอกว่า ซ้าย แต่ท่านว่า ขวา
เขาว่า ข้างหน้า ท่านว่า ข้างหลัง เหมือนใครคนหนึ่งตัดผมเกรียนๆ ที่เป็นนักต้านสังคมน่า สงสัย
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 8:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์แสดงธรรมแก่ผู้ใดก็ตาม แม้แก่คนขอทานหรือพรานกระจอก ก็ทรงแสดงโดยเคารพทั้งสิ้น- (คือ ทำด้วยความตั้งใจ ให้ความสำคัญ มุ่งให้เป็นประโยชน์แก่เขาจริงๆ) ทั้งนี้เพราะทรงเคารพธรรม-
(องฺ.ปญฺจก.22/99/137)

การที่คนทั้งหลายแสดงความเคารพ สุภาพ อ่อนน้อมต่อกัน
ตามฐานะ ภาวะ และขนบธรรมเนียม ประเพณี ก็พึงยึดถือหลัก
เคารพธรรมเช่นนี้ จะได้ไม่เกิดปัญหาทั้งในแง่ไม่ทำเพราะมานะอหังการ
ถือสูงถือต่ำ ว่าเขาไม่ดีไปกว่าเรา และตั้งใจในแง่ทำเพราะประจบประแจง
เป็นต้น - (การแสดงความเคารพเกินควรหรือแสดงผิดฐานะ ผิดภาวะ
หรือไม่จริงใจ ก็กลายเป็นการไม่เคารพธรรมได้เช่นเดียวกับการไม่ทำ
ความเคารพ การไม่เอื้อเฟื้อต่อขนบธรรมเนียม เพราะมานะ
อหังการ)

อันที่จริง ด้วยความเคารพธรรม ทุกคนย่อมต้องเคารพซึ่งกันและกัน
เช่น เคารพในความเป็นมนุษย์ ในความเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ ในคุณธรรมที่แต่ละคนมีต่างๆกัน เป็นต้น แต่ความเคารพ กับการแสดงความเคารพเป็นคนละอย่างกัน

ความเคารพเป็นเรื่องชั้นใน
การแสดงความเคารพเป็นเรื่องชั้นนอก ซึ่งซ้อนเสริมเข้ามาเพื่อประโยชน์
ในระดับสังคม เป็นเรื่องของวิธีการแสดงออกที่ตกลงกันกำหนดขึ้นไว้สุด
แต่เหมาะสมเท่าที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของส่วนรวม มีความสงบ
เรียบร้อยดีงาม เป็นต้น ซึ่งว่าโดยหลักการก็คือ ความเคารพ
ธรรมในระดับที่มุ่งเพื่อการดำรงธรรมของสังคมนั่นเอง - (ในกรณีนี้ ผู้ได้
รับการแสดงความเคารพก็ต้องแสดงความเคารพเหมือนกัน โดยอาการ
ที่เรียกว่า เอื้อเฟื้อ เช่น แสดงความเอื้อเฟื้อต่ออาการแสดงความเคารพ
ของเขา เป็นต้น)

(จากพุทธธรรมหน้า 438)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 8:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ กัดกาย ดูก่อน

แม้พระพุทธองค์ก็เคยตำหนิหญิงซึ่งเป็นลูกของพราหมณ์ ด้วยเหตุที่ว่า ประโยชน์ในการตำหนินั้นมีต่อผู้อื่นจริงหรือไม่

และ อีกประการหนึ่ง แม้สิ่งที่ตำหนิ เป็นธรรมหรือไม่

คนที่ถูกตำหนิ เป็นจริงดังว่าหรือไม่ ลองไปตรองดู

ทั้งสามสี่คนนี่ มีอคติกับผมตั้งแต่ต้น มาจนถึงบัดนี้ แล้วไม่ให้ตำหนิ แล้วจะพูดอย่างไร

คนหนึ่ง ด่าผม ตั้งแต่ต้น อีกคนหนึ่งคอยชง อีกคนหนึ่งคอยก่อกวน

พระพุทธองค์ ทรงชนะมาร ด้วยฤทธิ์ ข้อนี้มีไหมที่พระพุทธองค์จะพูดธรรมด้วยเมตตาอย่างเดียว เรื่องเมตตานี้อยู่ในใจไม่มีใครเห็นได้ แต่ที่แน่ๆ คือ เมื่อใดมีมาร ก็ต้องมีการเอาชนะมาร ด้วยวิธีการแสดงอิทธิวิธี แสดง ปัญญา เมื่อมีหญิงประมาทและพวกนอกศาสนาที่อวดตัว พระพุทธองค์ท่านก็แสดงปัญญาตอบปัญหา

นี่ เอาไปตรองดูว่า มีสักข้อหนึ่งไหม ที่ใช้เหตุผลแล้วชนะผม มีแต่ด่านั่นแหละชนะ เพราะด่าเก่ง แต่ผมด่าไม่เก่ง
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 9:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขันธ์

คุณไม่แน่จริง
แน่จริงคุณตอบมาที่ผมถาม
คุณตอบไม่ได้แล้วมาทำบ่ายเบี่ยง
คุณมันจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์
แล้วมาพยายามพลิกเกมส์เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาถาม

ผมไม่ตอบคุณถ้าคุณไม่ตอบก่อนว่า
ปีติต่างกันอย่างไร
ที่ว่าปีตติในองค์ฌาณ
กับปีติในโคตรภูของคุณ
เอ้าตอบมาซะที
เอาอาการที่แท้จริงมาบอก
ที่คุณบอกมันเอาตำรามาพูดมั่ว ๆ

บอกว่าในสมถะไม่ได้ติดวิปัสสนูกิเลส
เนื่องจากคาบเวลาไม่นาน
เพียงแค่ผ่านปีติเฉย ๆ

ผมจะบอกให้องค์พระหลวงตามหาบัว
องค์ท่านติดสุขอยู่ในสมาธิเป็นปี
ไม่ใช่เวลาสั้นอย่างคุณคิด

คุณไม่รู้จริงเห็นจริงแล้วทำเป็นเอามาเล่า
ธรรมชั้นอนุบาลยังไม่รู้เลย
อย่างเช่น สติ สัญญา ก็ยังไม่เข้าใจ

แต่ผ่าไปรู้ธรรมขั้นมหาลัย
เรื่องโคตรภู
มันเป็นไปได้ยังไง

คุณนี่มันลวงโลกจริง ๆ

แถมยังมาพูดอีกว่า
สมาธิของพระอริยะต่างจากสมาธิของปุถุชนอีก
ผมไม่เคยเจอ
คุณนี่แก้ตัวจนมั่วไปหมดแล้ว
อุปจาระสมาธิ ก็ อุปจาระสมาธิ
อัปปนาสมาธิ ก็ อัปปนาสมาธิ
จะไปต่างกันตรงไหน
คุณจะเป็นกรรมหนักนะ
ถ้ามีคนหลงผิด
แล้วคุณจะหลงในวัฏสงสารอีกนาน

เอ้าตอบมาก่อน
คุมประเด็นให้ได้แบบที่คุณพูด
ไม่ใช่เรื่องนี้ยังไม่จบจะไปอีกเรื่องแล้วมันสับสนไปหมด
อย่ามาเอาตัวรอดด้วยวิธีนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 9:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ guest จอมเดา

คุณ นี่ มองเป็นอยู่ไม่กี่มุมนะ เอาแบบนี้ผมตอบคุณแล้ว คุณต้องตอบผม ตามที่ถามข้างต้น

ปีติ ในฌาณ มีกำลัง ชั่วขณะ ที่เข้าฌาณ
แต่ ปีติ ในกำลังแห่งโคตรภูนั้น มีอยู่แทบตลอดเวลา
บ้างก็ อิ่มอกอิ่มใจ บ้างก็ เบาสบาย บ้างก็ดังตัวลอย บ้างก็ร้อนไหวๆ ดังไอข้าว บ้างก็ จิตกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
ถ้าไม่ระงับด้วยปัสสัทธิ ดังนั้น ในองค์ธรรมที่เกื้อหนุน ความสำเร็จของพระอริยะั ได้แ่ก่ โพชฌงค์ 7 ประการจึงกล่าวให้ มีปัสสัทธิ เพื่อระงับอาการ แห่งปีติ นี้ด้วย

คุณมาถามผม นี่ถามในคุณธรรม ระดับ พระอริยะ หรือ ระดับสูง คุณจะรุ้เรื่องหรือ ไปหัดนั่งสมาธิ ให้ชำนาญเสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกับผม เรื่องนี้
เอา เรื่องของปีติในองค์ฌาณให้ดีเสียก่อน

และใครกันแน่ ที่เอาตัวรอดด้วยวิธีการถามในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับ การโต้แย้ง การโต้แย้งเราคืออะไร หัวข้อก็คือ วิปัสสนูกิเลส เกิดขึ้นแต่ ผุ้ที่ผ่านโคตรภูญาณ ใช่ไหม แล้วไฉน มันกลายมาถึงปีติได้หละ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ไม่อาจจะแย้งธรรมของผมได้ จนกลายมาเป็นถามนั่นถามนี่เพื่อเอาตัวรอด และที่สำคัญผมตอบให้คุณไปแล้วแต่คุณไม่อ่านให้ดี

ผมตอบไปแล้ว คุณตอบคำถามผมบ้าง
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง