Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 HEART BOMB.....(ระเบิดจิตด้วย "โอ มะ สิ ริ") อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2008, 9:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เรื่องของกรรมเวรยังเป็นประเด็นยอดฮิตที่ถูกนำมาตั้งคำถามถกเถียงกันอยู่เสมอ เวรกรรมมีจริงหรือไม่? สิ่งที่เราเป็นอยู่คือผลจากกรรมที่ก่อไว้เมื่อชาติที่แล้ว และเจ้ากรรมนายเวรที่ยังคงติดตามเราอยู่นั้นมีจริงหรือ? หลายคนอาจจะเชื่อบ้าง ขณะที่อาจมีบางคนไม่เชื่อกับเรื่องดังกล่าว...!!!

อย่างไรก็ตามเมื่อคืนวันอังคารที่ 8 ม.ค. รายการตีสิบ ทางช่อง 3 ได้นำอาจารย์จุฬาพร้อม 4 อาสาสมัครมาท้าพิสูจน์ความจริง ซึ่งอาจารย์ท่านนี้บอกว่า สามารถดูได้ว่าใครมีเวรกรรมกับใคร กรรมที่ก่อคืออะไร ก่อไว้เมื่อชาติไหน ด้วยพิธีที่เรียกกว่า "การระเบิดจิต"

โดยในการพิสูจน์ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมพิธี 4 ท่าน คือ ภูชิชย์ อัครฐานาชีวะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทมีทิเน่ คอมพันนี ของนางแบบสาวลูกเกด เมทินี, พีระดา สิทธิธรรม พนักงานขายด้านวิศวกรรมอุตสาหกรรม, ทีมงานของรายการตีสิบ และจอห์น ม๊กจ๊ก ภรรยาของตลกแคระ โจ๊ ม๊กจ๊ก ที่โดนมือดีขว้างหินใส่รถจนเสียชีวิตเมื่อปี 2549

พิธีการระเบิดจิตเริ่มด้วยการให้ผู้เข้าบริกรรมคาถาตามว่า

"โอ มะ สิ ริ"

โดยหลังจากท่องไปได้สักครู่นายภูชิชย์ก็เริ่มพูดลิ้นรัวไม่เป็นภาษา ทำท่าทางเหมือนโดนเข้าสิง ระหว่างนั้นอาจารย์จุฬาก็ได้พูดแทรกเป็นระยะๆ สุดท้ายนายภูชิชย์ก็ล้มลงไปนอนร้องครวญคราง พูดไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งอาจารย์ต้องท่องคาถาจึงได้สติ ภายหลังได้บอกว่าห้ามเข้าพิธีภาณยักษ์อย่าเด็ดขาด


หลังการระเบิดจิต นายภูชิชย์ ยอมรับว่า ตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่พอไปพิสูจน์แล้วก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง ระหว่างพิธีรู้ตัวแต่บังคับตัวเองไม่ได้ เหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง เป็นทหารอยู่ภาคเหนือ สมัย ร. 5 แล้วไปฆ่าช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ทำให้กรรมติดมา อาจารย์ให้แก้กรรมโดยการปล่อยปลา 100 บาท ใส่บาตร ถวายภัตตาหารพระสงฆ์ เอาปัจจัยไปถวายพระสงฆ์ที่อาพาธ และทำบุญโรงศพ หลังจากทำแล้วก็รู้สึกดี มีสติ มีสมาธิมากขึ้น

ต่อมาพีระดา เป็นรายที่สองที่ร่วมพิสูจน์ ซึ่งอาจารย์จุฬาให้เริ่มบริกรรมคาถา หลังจากภาวนาไปครู่หนึ่ง จากเสียงก็หญิงสาวก็กลายเป็นเสียงเด็ก ซ้ำยังออกอาการทำท่าทางเหมือนเด็กอีกด้วย อาจารย์จุฬาจึงเผยว่าชาติที่แล้วเป็นทหารเมืองหริภุญชัย ออกไปรบกลับมาเห็นภรรยามีชู้ จึงบันดาลโทสะฆ่าลูก เด็กที่ตายมากับเราตั้งแต่เกิด กรรมหนักคือไปทำลายศาสนสถานที่เวียงกุมกาม

ด้านอิทธิพล น้ำจันทร์ พนักงานตัดต่อรายการตีสิบ ผู้ร่วมพิสูจน์อีกรายยืนยันว่า ไม่มีการเตี๊ยมแต่อย่างใด เพราะได้เตรียมตัวอย่างดี รู้ต้วทุกอย่าง หลังท่องคาถาแล้วก็เกิดอาการผิดปกติ คือภาวนาไม่ออก เหมือนมีอะไรติดคอ หมอจุฬาอธิบายว่าเพราะไปกินหมูป่าซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่ใช่อาหารมนุษย์ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนคาถาภาวนาใหม่ คราวนี้ทีมงานเริ่มพูดไม่เป็นภาษา พูดไปก็แลบลิ้นไป ซึ่งหมอจุฬาได้เผยว่า นายอิทธิพล เคยก่อกรรมกับงูไว้เมื่อชาติก่อน แล้วไม่ได้อโหสิกรรม ผลกรรมทำให้ปวดเอวบ่อย ให้แก้กรรมด้วยการทอดผ้าป่า

ขณะที่ทีมงานที่รับอาสาพิสูจน์ครั้งนี้ก็ยอมรับในรายการว่า สมัยเป็นเด็กอยู่บ้านต่างจังหวัด งูชอบเข้ามาในบ้าน ตนชอบตีงู เห็นที่ไหนไม่ได้เป็นต้องตี และเคยมีปัญหาปวดหลังจริงๆ นอกจากนี้ก็ยอมรับว่าตนทานหมูป่าจริงและทานบ่อยอีกด้วย

สุดท้ายคือตลกแคระ จอห์น ม๊กจ๊ก ซึ่งหมอจุฬาได้นำผนังกั้นไว้ไม่เพื่อไม่ให้เห็นว่าเป็นใคร โดยฟังแต่เสียงเท่านั้น หลังจากท่องคาถาแล้ว หมอจุฬาได้บอกว่ามีจิตของเด็กติดตามตัวอยู่ และมีกรรมเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์พวก ไก่ กบ หนู อีกด้วย ส่งผลให้ชาตินี้มีอาการปวดขาปวดตัวบ่อยๆ ภายหลังจอห์น ม๊กจ๊ก ยอมรับว่าตนเป็นคนชอบกินกบมากและจับกบมากินบ่อยๆ

สาธุ สาธุ อาจารย์และพี่ๆ ทุกท่านครับ....ช่วยวิเคราะห์.....วิจารณ์.....หน่อยครับ สาธุ สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2008, 9:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณฌานคับ

อย่าไปยุ่งเลย มันเป็นของนอกกำมือ
มีหรือไม่มี จริงหรือไม่จริง ก็ไม่เป้นไปเพื่อการพ้นทุกข์แต่อย่างใด
ผมว่ามันเป็นแค่จิตที่ดิ่งลงสมาธิ จนนิ่ง นิ่งแปีบเดียวความนิ่งก็เสื่อม
กลายเป็นนิมิตมากมาย

ผมมีสมมุติฐานอยู่ว่า
ลองเอาคนตาบอดแต่กำเนิดไประเบิดดูสิคับ
คนตาบอดไม่มีจักษุวิญญาน ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับภาพตั้งแต่กำเนิด
โลกของคนตาบอดมีแต่เสียง นิมิตก็เต็มไปด้วยเสียงต่างๆ นาๆ
จะไม่มีทางเห็นภาพแน่นอน

ถ้าการทดลองออกมาว่าคนตาบอดนิมิตได้แต่เสียง
แปลว่าจริงอย่างสมมุติฐานของผม
กล่าวคือ มันเป้นแค่นิมิตที่เกิดจากการปรุงแต่งของคนคนนั้น
ถ้าหนุทดลองเป็นคนหูหนวก ในนิมิตก็จะไม่มีเสียง

็แปลว่าปาหี่ครับ
ฝรั่งมันก้นิมิตแบบแบบฝรั่ง นรกฝรั่ง ยมบาลแบบฝรั่ง
ไทยมันก้นิมิตแบบไทย
ญี่ปุ่นมันก้นิมิตแบบญี่ปุ่น นรกญี่ปุ่น เทวดาญี่ปุ่น ผีญี่ปุ่น
หาความจริงอันเป้นสากลไม่ได้เลย

คนสอนนั่งสมาธิเขายังสอนให้ไม่หลงไหลได้ปลื้มกับนิมิต
นิมิตเอาไว้แค่รับทราบแล้วผ่านๆไป ไม่ใช่เป้าหมาย
แต่ตาคนนี้ สอนให้เชื่อในนิมิตว่าเป็นจริง สวนกระแสพระพุทธศาสนา

ถามว่า ... ระเบิดจิตแล้วเกิดนิมิตขึ้นมาให้รู้ ...
รู้แล้วทำไม รู้จนสิ้นทรากแล้วจะได้อะไร
นอกจากกลับมากังวลสำนึกผิดบาป แล้วไม่ทำบาปอย่างนั้น (เพราะกลัววิบากอย่างนั้น)

กลายเป็นว่า คนก็จะเลือกทำบุญทำบาป
เลือกไม่ทำบาปอย่างนั้น เพราะกลัวผลอย่างนั้น
(แต่ไม่กลัวบาปอย่างอื่น ผลอย่างอื่น)

แต่การละวางอันเกิดจากการละวางนิมิตได้ ทั้งที่น่ายินดีเป้นสุข เรายังละได้
ความรู้สึกของการละวาง ที่ได้เรียนรู้อันเกิดจากการปฏิบัติ มันมีกำลังมั่นคงแข็งแรงมาก
เพราะแม้แต่ใจ ผู้ปฏิบัติยังชนะได้
บาปอื่นๆ เขาสามารถละได้อัตโนมัติ
เรียกว่าเกรงต่อบาปทั้งปวง... ไม่เลือกบาปที่จะเกรงกลัวแบบพวกระเบิดจิต

ชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชช

คุณน้องสนใจเนื้อหาธรรมแบบเดิมดีแล้วคับ อ่านมาก ฟังมาก
ผมก็ได้อานิสงฆ์ด้วย คือได้พึ่งพาแบบที่คุณฌานสามารถบูรณาการความรู้ได้
สามารถหยิบยกมาได้คล่องแคล่วว่องไวตรงประเด็น

ผมจะได้เอาความรู้ไว้ด่าคนอื่นได้เนียนขึ้น
เป็นทายาทอสูรคนต่อไป

ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2008, 10:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ระเบิดจิต แก้กรรม


วัวห้าขา ม้าสี่หู หมูสามหาง

แมวเหมือนค่าง งูมีขา น่าฉงน

ดกดาษดื่น ตื่นกล่าว ข่าวมงคล

แสนสับสน สังคมไทย ไกลแสงธรรม


ล้างวิบาก ระเบิดจิต ด้วยฤทธิ์เดช

ผู้วิเศษ อวดอ้าง ช่างน่าขำ

ไม่ไตร่ตรอง มอง ชั่ว-ดี ที่ตนทำ

จึงถลำ ไกลร้าง จากทางตรง


อันพระธรรม คำสอน ให้ย้อนคิด

ดุลย์พินิจ ตรองไตร่ มิไหลหลง

เชื่อวิบาก และกรรม ย้ำมั่นคง

เลิกงุนงง งมงาย น่าอายเอย



ตรงประเด็น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2008, 10:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฝากพิจารณาประเด็นนี้กันด้วยน่ะครับ

ว่า เรา-ท่าน มีส่วนในการ "เปลี่ยนพุทธศาสนา ให้เป็นศาสนาอื่น" กันไหม

โอวาทธรรม หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_poot/lp-poot_50.htm


การบำเพ็ญสมาธิภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิบัติสมาธิ เมื่อสมาธิเกิดขึ้นแล้วมันเป็นดาบ ๒ คม เพราะสมาธิเป็นของกลางๆ ผู้ทำสมาธิเก่งแล้วสมารถที่จะน้อมเอาสมาธิไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ตามที่ตนต้องการได้

จะเอาสมาธิไปเป็นเครื่องมือ แสวงหาชื่อเสียงลาภผล อามิส หรือจูงใจผู้คนให้เกิดความเลื่อมใส สามารถที่จะน้อมนำไปใช้ในสิ่งต่างๆ ได้ ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น ไม่ได้ฝึกอบรมสมาธิเพื่อประโยชน์อย่างนั้น

ฝึกอบรมสมาธิเพื่อให้จิตสงบมีสมาธิ มีพลังสติปัญญา พอที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาธรรมให้รู้ตามความเป็นจริง เพื่อจิตจะได้ถ่ายถอนราคะความกำหนัดยินดีและกิเลสต่างๆ ตัณหา มานะ ทิฐิ ให้น้อยลงหรือหมดไปเท่านั้น

นักทำสมาธิบางทีถ้าหากยึดหลักไม่ถูกต้องตรงตามจุดหมาย คือปฏิบัติไม่มุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง มีโอกาสที่จะเปลี่ยนศาสนาใหม่อย่างไม่รู้สึกตัว

นักสมาธิที่เปลี่ยนพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาอื่นในปัจจุบันนี้มีอยู่ถมไป การเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาอื่น เราทำได้อย่างไร?

เราทำได้อย่างนี้ เมื่อฝึกจิตให้มีสมาธิ ทำจิตให้สว่างลงไปพอเป็นอุปจารสมาธิ สามารถที่จะส่งจิตไปติดต่อกับวิญญาณต่างๆ ในโลกอื่น บางทีก็ส่งจิตไปติดต่อกับวิญญาณของผู้วิเศษ หรืออาจจะสำคัญว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณของพระพุทธเจ้าได้

เมื่อนึกถึงพระพุทธเจ้าในขณะนั้น จะเกิดมีภาพนิมิตเป็นพระพุทธรูปปรากฎขึ้นแล้วก็เดินเข้ามาหา ผู้ทำสมาธิน้อมจิตน้อมใจรับเอาภาพนิมิตนั้นเข้ามาอยู่ในตัว โดยเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าจะมาช่วยญาณช่วยฌานให้แก่กล้าขึ้น ช่วยปัญญาให้คล่องแคล่วว่องไวขึ้น

แล้วก็น้อมเอาภาพนิมิตนั้นเข้ามาไว้ในจิตในใจ พอภาพนิมิตนั้นเข้ามาถึงตัวเมื่อไร สมาธิซึ่งกำลังสงบสว่าง มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ พอนิมิตนั้นเข้ามาเท่านั้นสภาพของสมาธิที่ถูกต้องซึ่งประกอบด้วยองค์ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จะเปลี่ยนทิศทางทันที

จะทำให้ผู้ภาวนารู้สึกหนักตัว หัวใจเหมือนกับถูกสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาบีบคั้น ทำให้หนักหน่วงเหน็ดเหนื่อยลงไป คล้ายๆ กับว่าแบกบรรทุกสิ่งของหนักๆ เอาไว้ที่กาย

จิตซึ่งกำลังเป็นอิสระแก่ตัวจะตกอยู่ในอำนาจของนิมิตที่จะเข้ามาแทรกสิงอยู่ในตัวทันที สมาธิที่ปลอดโปร่งจะเปลี่ยนไปเป็นสมาธิที่หนักอึ้ง แม้ความรู้สึกทางสายตาจะสว่างไสวอยู่ก็ตาม แต่จิตได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนิมิตที่เข้ามาแทรกสิงแล้ว

แม้นิมิตนั้นจะเป็นรูปพระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นพระพุทธเจ้าปลอมๆ โดยมโนนึกของตนเองสร้างขึ้นมา ผู้ภาวนาจึงกลายเป็นเหมือนหนึ่งว่าถูกผีสิง จิตไม่เป็นไปตามลำพังของตัวเอง ไม่ได้เป็นไปโดยพละกำลังของตัวเอง แต่ถูกพละกำลังของสิ่งที่เข้าครอบให้เป็นไปตามอำนาจของสิ่งนั้นๆ

ผู้ภาวนาจะเปลี่ยนศาสนาพุทธให้กลายเป็นศาสนาอื่นทันที จะเรียกว่าศาสนาผีสิงก็ได้ แต่ถ้าหากภาพนิมิตนั้นเป็นภาพเทวดาแล้วน้อมเข้ามาสู่จิตในเมื่อภาพนิมิตนั้นเข้ามสู่จิต จิตเปลี่ยนสภาพไปตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้นท่านผู้นั้นยึดเอาเทพเจ้าเป็นใหญ่ในจิตในใจของตนเอง ก็เปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาเทพเจ้า

ถ้าภาพนิมิตนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นพระอิศวร นายรายณ์ ที่เราเข้าใจกันว่าเป็นผู้วิเศษปรากฏขึ้นแล้ว ผู้ภาวนาน้อมเอาภาพนิมิตนั้นเข้ามาในจิตในใจ ในเมื่อนิมิตนั้นเข้ามาสู่จิต จิตเปลี่ยนสภาพไปเป็นอย่างอื่น ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้น ท่านผู้นั้นก็เปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาพระอิศวร นารายณ์

ถ้าหากเป็นภูตผีปีศาจแสดงกายให้ปรากฏ ผู้ภาวนาสำคัญว่าภูตผีปีศาจจะช่วยดลจิตให้มีสมาธิ มีฌานมีญาณแก่กล้าขึ้นมาได้ น้อมเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่จิต จะกลายเป็นคนทรงแล้วก็เปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาภูตผีปีศาจ เป็นการเดินทางผิดทั้งนั้น

ดังนั้น นักภาวนาทั้งหลายควรจะได้ระมัดระวังตัวให้ดี อย่าไปหลงติดไปยึดนิมิตที่เกิดขึ้นในสมาธิ นิมิตที่เกิดขึ้นในสมาธิเป็นเพียงมโนภาพ มโนภาพที่จิตของเราสร้างขึ้นมาเองในขณะที่จิตมีสมาธิอย่างอ่อนๆ นึกถึงอะไรมันจะเป็นภาพนิมิตขึ้นมาทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นทางปฏิบัติให้กำหนดรู้อยู่ที่จิตเท่านั้น

ถ้าจิตมันจะหลงไปก็นึกว่าอันนี้คือมโนภาพที่จิตของเราสร้างขึ้น เป็นแต่เพียงอารมณ์สิ่งรู้ของจิต เป็นแต่เพียงสิ่งระลึกของสติเท่านั้น เราจะไปยึดเอาเป็นสาระแก่นสารไม่ได้ ภาพนิมิตนั้นๆ ก็เปรียบเหมือนสิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาธรรมดาๆ ภาพนิมิตนั้นถ้าเปรียบเทียบก็เปรียบเหมือนเวลาเรานอนหลับฝันเห็นไปเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ควรระมัดระวังอย่าไปเผลอเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาอื่นตามแนวทางดังที่กล่าวมา

สมาธิตามแบบแห่งศาสนาพุทธนั้น เราต้องยึดหลักตรงที่ว่า จิตต้องเป็นอิสระแก่ตัวเอง

จิตสงบลงเป็นสมาธิแล้วกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็น "อัตตะทีปา" มีตนเป็นเกาะ "อัตตะสะระณา" มีตนเป็นที่พึ่ง "อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ" มีตนเป็นที่พึ่งของตน

จิตสงบตั้งมั่น เด่น รู้ตื่นเบิกบาน ไม่ยึดเกาะติดอารมณ์ใดๆ ในขณะนั้น เป็นจิตสมาธิที่เป็นตัวของตัวเองโดยเด็ดขาด เป็นจิตสมาธิที่เป็นที่พึ่งของตน สมาธิก็ไม่ใช่ที่พึ่งของตน แต่เมื่อตนมีความสงบนิ่งเด่นเป็นอิสระแก่ตัวเอง เรียกว่าตนเป็นสมาธิ

ในเมื่อตนเป็นสมาธิแล้ว ตนจึงเป็นที่พึ่งของตน อันนี้สมมติว่าตนไปก่อน ตนที่เป็นที่พึ่งของตนเพียงแต่ยืนหยัดอยู่ในความเป็นหนึ่ง เป็นอิสระไม่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งใด แม้แต่อารมณ์จิตเกิดขึ้นก็ไม่ตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์จิต

แม้เห็นภาพนิมิตอะไรต่างๆ ก็ไม่หลงติดหลงยึด มีแต่รู้อยู่ที่จิตอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อสมาธิอันเป็นตนของตนโดยมั่นคงแล้ว กลายเป็นตนคือจิตที่มีพลัง สามารถที่จะเกิดความคิดอ่านอันเป็นตัวปัญญาขึ้นมาได้เองโดยอัตโนมัติ

เมื่อจิตไหวไปเกิดมีความคิดอ่านขึ้นมา มีสติรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิตที่มีความรู้ผุดขึ้นมา แม้แต่ความรู้นั้นก็ไม่หลง ไม่หลงความรู้ของตัวเอง ไม่หลงปัญญาของตัวเอง แม้ความรู้จะผุดขึ้นเป็นภาพนิมิตให้มองเห็นด้วยสายตา เพราะอาศัยความเป็นตนของตน จึงไม่หลงติดในนิมิตนั้นๆ

มีสติ สัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะที่มีสิ่งเกิดขึ้นดับไป มีสติคอยเตือนคนอยู่ทุกขณะจิต "อัตตะนา โจทะยัตตานัง" จิตของท่านผู้ภาวนาทำสมาธิ จึงสามารถเตือนตนด้วยตนเอง เป็นอันว่านักภาวนาท่านนั้นได้มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาเป็นเครื่องเตือนตนด้วยตนเอง ไม่หลงติดหลงยึดในอารมณ์จิตที่เกิดขึ้นดับไปในสมาธิ เพราะอาศัยพลังสติเข้มแข็ง

เมื่อเป็นเช่นนั้นอารมณ์จิตที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตมีสติเพียรเพ่งอยู่ "โยนิโส มะนะสิกาโร" นั่นคือโยนิโสมนสิการ การกระทำในใจโดยแยบคาย ความรู้ที่เกิดขึ้นไม่ยึดไม่ติด สักแต่ว่ารู้ รู้แล้วก็ปล่อยวางไป

เพราะสมาธิจิตของท่านมีวิชชาความรู้แจ้งเห็นจริงอยู่ทุกขณะจิต จึงไม่หลงยึดไม่หลงติดในอารมณ์และนิมิตนั้นๆ เพราะจิตรู้จริงแล้วว่าสิ่งนี้เป็นเพียง "ญาณะมัตตายะ" เป็นสิ่งรู้ของจิต "ปะติสสะติมัตตายะ" เป็นแต่เพียงที่ตั้งของสติ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2008, 1:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

55555
อนุโมทนาครับกับบทความหลวงพ่อพุทธด้วยนะครับคุณตรงประเด็น

ที่ผมเห็นแน่ๆ คือ กรุงเทพนี่ล่อแหลมแล้วล่ะครับ
เพราะมีผู้สมัครคนหนึ่ง บอกว่ามาสมัครพราะ "นิมิต"

สมชื่อ "กรุงเทพ" กันสักที
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2008, 1:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณฌาณครับ (ขออนุญาตร่วมสนทนาครับ)

ลักษณะที่คุณเล่ามามีอยู่ดาษดื่นเลยครับ(บังเอญเพิ่งคุยเรื่องลักษณะนี้กับท่านกรัชกายมาไม่นานครับ)

เป็นอาการเดียวกันเหมือนๆ กัน

สรุปว่าเป็นอาการที่เราถูกปลูกฝังลงไปในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ต้วหรือไม่ผมก็ไม่กล้ายืนยัน

เหมือนกับที่ท่านกรัชกายเคยอธิบายว่า

ผู้ที่ถูกกระทำอยากเชื่อ อยากทำอย่างนั้นอยู่แล้ว

และผมก็เชื่อเช่นนั้น

ในอีกลักษณะหนึ่งที่เป็นจริง

เป็นญาณทัศนะ เป็นการรู้แจ้ง

เป็นอีกลักษณะหนึ่ง

ไม่ค่อยพิสดาร

แต่เป็นจริง

ผมเพียงแต่อยากบอกว่า

ที่ไม่เป็นจริงก็มี

แต่ไม่มีใครหลอกใคร

ที่เป็นจริงก็มี

แต่คนที่รู้ด้วยญาณทัศนะ จะรู้ด้วยว่าไม่ควรเปิดเผยจากญาณทัศนะ

อย่าถามผมว่าผมรู้มาจากไหน

ต้องขออภัย

ผมตอบไม่ได้

เอาเป็นว่าเป็นเพียงความนึกคิดของคนๆ หนึ่งแล้วกันครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2008, 4:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับพี่ๆ และอาจารย์ทุกท่านที่แนะนำ สู้ สู้

สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 10:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ซึ้ง สาธุ ดีมากๆครับให้1คะแนน
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 4:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
ZERO
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ต.ค. 2008
ตอบ: 18
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงราย

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 4:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่จริงผู้ที่มีระดับจิตสูงสามารถกระทำให้ได้ระดับจิตตั้งแต่อุปจารถึงจตุตญาณก็สามารถที่จะล่วงรู้หรือปฎิบัติได้อย่างอาจารย์ท่านนี้ อีกประการหนึ่งในโลกนี้มีเป้าหมายอยู่ 2 วิถีคือความเป็นผู้นำกับผู้ตาม คนที่จะเป็นผู้นตามกฎธรรมชาติต้องเรียนรู้ธรรมทุกอย่างเพื่อเจนจบและสั่งสมบารมีเพื่อนำผู้อื่นได้อย่างถูกต้องแน่วแน่ อีกวิถีคือสาวกเรียนตามครูอาจารย์ผู้เจนจบแล้วซึ่งวิชาทั้งหลาย สาวกนี่ไม่เหนื่อยมากมีศรัทธาและเชื่อมั่นในครูอาจารย์ให้มาก ก็จะจบได้แต่ไม่เก่งเท่าอาจารย์ ความฟุ้งซ่านขี้สงสัยเป็นวิตกจริตคือนิวรณ์กวนใจทำให้ไม่ได้รับความเจริญ ถ้าต้องการแจ้งเรื่องเหล่านี้ควรฝึกกำหนดลมหายใจและระลึกถึงความตายไว้ให้เป็นอารมณ์
ไม่ช้าได้ผลอย่างไรค่อยว่ากัน

ในโลกนี้มีอุปทานมีสมมุติเป็นปกติคนไม่ปกติย่อมไหลไปตามสมมุติแต่คนที่รู้แล้วย่อมใช้สมมุติและอุปทานเป็นโดยไม่ไหลไปตามสมมติและอุปทานแต่เป็นไปเนื่องสมมุติและอุปทาน
 

_________________
เราเป็นทรัพย์ของโลก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง