Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ขอคำแนะนำในการแก้ไขกรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
บัวใต้น้ำ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2005, 5:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉันเป็นโมหะจริต มีอาการเซื่องซึม ตั้งแต่จำความได้ สิ่งหนึ่งมาจากจิตโดยกำเนิด และอีกสิ่งหนึ่งคือปมด้อยที่ได้รับจากการอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว ดิฉันอยากจะแก้ไขกรรมของตนเอง ดิฉันรู้ดีว่าถ้าไม่แก้ไขในอนาคตย่อมไม่เป็นผลดีแก่ตนเอง ตอนนี้ดิฉันเป็นทุกข์มาก เคยรู้สึกนึกโกรธตัวเองจนคิดอยากจะฆ่าตัวตาย ดิฉันเคยอ่านหนังสือแนะให้ทำอานาปานสติ แต่ก็ไม่ได้ผล ทั้งนี้ยังขาดผู้รู้และผู้ที่ให้ความกระจ่างอย่างแท้จริง จึงอยากขอคำแนะนำจากทุก ๆ ท่านที่ได้เข้ามาอ่านในกระทู้ของดิฉัน

 
ดั่งวารี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2005, 6:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บทความนี้ผมคัดลอกมาจากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ครับ ขออนุโมทนากับคุณดังตฤณผู้แต่ง ด้วยนะครับ หวังว่าคงมีประโยชน์ต่อคุณนะครับ



ถาม – มักเป็นคนมีจิตใจหดหู่ รู้ทั้งรู้ว่าไม่เป็นมงคลกับชีวิต ควรจะแก้ไขอย่างไรดีคะ?



ตัวคุณคืออะไร? ลองตัดชื่อแซ่ ตัดตัวตน ตัดวิธีคิด รวมทั้งตัดเหตุการณ์ทั้งหลายที่รายล้อมคุณออกไปให้หมด เหลือแต่เพียงสภาพจิตอย่างเดียว จะพบความจริงประการหนึ่งนะครับ นั่นคือจิตเรามีเบิกบาน มีหดหู่สลับกันได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุร้ายแรงให้เศร้าใจมากมาย แค่เหนื่อยๆหน่อย นั่งรถเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จิตใจก็มีสิทธิ์หดหู่ลงได้แล้ว



ประเด็นคือแต่ละคนมีอาการ ‘ลาดลงต่ำ’ ของจิตใจผิดแผกแตกต่างกัน บางคนหดหู่เดี๋ยวเดียวก็กลับระเริงร่าได้ใหม่ แต่บางคนหดหู่แล้วกลายเป็นเรื่องยาว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเคยยิ้มให้แล้วมาไม่ยิ้มสักทีหนึ่งก็คิดมาก แช่อยู่กับความเสียใจว่าเขาไม่ยิ้มให้ อย่างนี้ก็มี และมีอยู่มาก เพียงแต่ไม่ค่อยเล่าสู่กันฟังเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือบางทีตัวเองก็เห็นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเสียจนจำไม่ได้ว่าเริ่มหดหู่ตั้งแต่เจอภาพเสียงชนิดใดกระทบกระทั่งจิตใจ เราถึงมักได้ยินคนบ่นเปรยให้เพื่อนฟังทำนอง ‘ไม่รู้เป็นอะไร เซ็ง เบื่อไม่มีสาเหตุ’



ความหดหู่ต่อเนื่องยืดยาวจนจำสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้นี่แหละ ทำให้คนเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตและคิดสั้นมานักต่อนัก ลองมาดูอุปนิสัยที่เราๆทำกับใจตัวเองแล้วหดหู่เก่งกันดีกว่า



๑) ชอบเหม่อ ประเภทว่างเป็นไม่ได้ ชอบทอดตาไกลๆ จะฝันก็ไม่ฝัน จะคิดธุระปะปังให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่คิด ชอบรู้สึกอยู่เรื่อยๆว่าชีวิตว่างเปล่า ไม่มีความหมาย แล้วก็ไม่อยากเติมค่าอะไรลงไปให้ชีวิตตัวเองเต็ม ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขอให้ดูบรรดาสัตว์เลี้ยงใกล้ตัว ลองนั่งสังเกตพวกมันสักพัก จะเห็นชีวิตว่างเปล่าขนานแท้ พวกนั้นไม่มีอะไรทำจริงๆครับ วันๆมีหน้าที่เคลื่อนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง พอเห็นความเหม่อลอยของพวกมันด้วยความตระหนักว่าไม่มีวันพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างที่เราสามารถทำ ก็อาจเกิดกำลังใจคิดอยากทำชีวิตให้ดีกว่าพวกมัน อันนี้ถ้าลองทำดูจะเห็นว่าเกิดพลังกระตุ้นที่ดีมาก ไม่ใช่จะให้ดูถูกตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าเราหรอกนะครับ แต่การเห็นเพื่อนต่างภพต่างภูมิที่เขาเคราะห์ร้าย ไม่มีวาสนาเท่าเรา จะค่อยๆทำให้เริ่มเห็นค่าศักยภาพความเป็นมนุษย์ขึ้นมารำไร



๒) ชอบจมอยู่กับอดีต ประเภทเหตุการณ์ผ่านมา ๒๐ ปี ยังอุตส่าห์ขุดขึ้นมาคิดเสียดาย คุ้ยขึ้นมาพูดด่าสาดให้คนใกล้ชิดรู้สึกผิด คนแบบนี้เท่าที่ผมเห็นนะครับ นอกจากจะเหม่อลอย หดหู่บ่อยแล้วยังเจ้าโทสะ เหมือนมีไฟกรุ่นอยู่ในอก หรือลุกเป็นเปลวขึ้นมาจากกระหม่อมทีเดียว และมีความจริงอยู่อย่างหนึ่ง คนชอบฝังใจอยู่กับอดีตนั้น มักบ่นหาถึงอนาคตที่ไม่มีวันมาถึง คือชอบหวังอะไรลมๆแล้งๆ สมมุติอะไรที่เกินตัวและเป็นไปไม่ได้จริงเสมอ พูดให้เห็นภาพง่ายๆและรวดเร็วที่สุดคือทั้งชีวิตไม่เคยมีวันนี้ มีแต่เมื่อวานกับพรุ่งนี้เท่านั้น หากยอมรับว่าเป็นคนประเภทที่ว่านี่ก็ขอให้เร่งแก้ไขนิดหนึ่ง พูดกันตรงๆตามชื่อคอลัมน์นะครับ จิตแบบนี้ถ้าตายไปก็ไม่พ้นต้องเป็นเปรตจำพวกที่นึกว่าตัวเองยังไม่ตาย เนื่องจากจิตวิญญาณเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นเหนียวแน่น และบดบังไม่ให้เห็นอะไรที่เป็นปัจจุบันเอาเลย เคยคิด เคยกลุ้ม เคยพูดซ้ำๆซากๆอย่างไร ตายไปก็จะคิด จะกลุ้ม จะบ่นเพ้อซ้ำๆซากๆอย่างนั้นร่ำไป แต่ขณะยังมีชีวิตมนุษย์อยู่นี่พอปรับปรุงแก้ไขได้ก็ปรับปรุงเสียเถิด หัดคิดเรื่องวันนี้ หัดพูดถึงสาระประโยชน์เฉพาะหน้า พอจะหวนกลับไปคิดมากเรื่องเก่าๆก็กลับมาอยู่ตรงหน้าใหม่ ทำตัวไม่ให้ว่าง แล้วจะพบว่าเกิดความแจ่มกระจ่างทางใจมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์หดหู่ไม่กลับมาครอบงำอีกง่ายๆ



๓) ชอบมองโลกในทางลบ ประเภทเห็นข่าวดาราเตียงหัก ก็มานั่งวิตกว่าเหตุแบบเดียวกันอาจจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง หรือไม่ก็เอาแต่นั่งอ่าน นั่งขนหัวลุกอยู่ทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องโลกแตก กลัวสงครามโลกครั้งใหม่ปะทุ กลัวน้ำมันจะแพงขึ้นถึงลิตรละ ๔๐ กลัวต่อไปเชื้อโรคจะหอบมาตามลมหรือแฝงตัวอยู่กับอาหารการกิน อันที่จริงก็ต้องเห็นใจคนยุคเราเหมือนกัน เพราะเรื่องดีๆแม้ยังมีอยู่มากก็ไม่เป็นข่าว แต่จะเป็นข่าวก็เฉพาะจำพวกเรื่องที่ทำให้หxxxำลังใจจะอยู่ต่อ ถ้ารู้ตัวว่าบริโภคข่าวด้านลบมากๆแล้วติดค้างคาใจ ไพล่ไปทึกทักว่าเรื่องร้ายๆจะต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย ก็ขอแนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวโทรทัศน์ให้น้อยลง ถ้าจะอ่านหรือดูก็คัดๆเลือกๆหน่อย ไม่ใช่ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องอ่านมันทุกข่าว หรือติดตามข่าวร้ายเป็นซีรีส์กันทุกวัน จากนั้นหันไปอ่านหรือหันไปดูข่าวที่เป็นมงคลเสียบ้าง มองตามจริงบ้างว่าแง่ดีในโลกนี้ยังมีให้มองอีกมาก พอเริ่มมองโลกภายนอกในทางบวก ก็จะค่อยๆหันมาเริ่มมองโลกภายในไม่เป็นลบตามกันไปเอง เพื่อตัดเหตุแห่งความหดหู่ลงไปได้อีกข้อ



๔) ชอบความเหงาเศร้าโดยไม่รู้สึกตัว ประเภทนั่งคนเดียวเฉยๆแล้วน้ำตาพานจะไหลเป็นทางเหมือนไม่มีสาเหตุ หรือฟังเพลงเพื่อคนอกหักแล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ขณะเดียวกันก็พอใจกับห้วงภาวะเช่นนั้นโดยไม่อยากแก้ไขดัดแปลง ถ้ารู้ตัวว่าเป็นประเภทนี้ขอให้สังเกตว่ามีแนวโน้มจะสงสารตัวเอง ไม่พบใครที่จริงใจด้วย หรือถึงพบก็ไม่รู้สึกว่าใช่ ไม่อาจให้ความอบอุ่นกับเราได้ ลองดูดีๆจะพบว่าความเหงามี ๒ ประเภท คือเหงาแล้วโหยหาความอบอุ่นแบบจะขาดใจตาย กับเหงาแล้วมีความสุขแบบสะใจแฝงอยู่ลึกๆ แต่ไม่ว่าเหงาประเภทไหน ก็พ่วงมาซึ่งความหดหู่เก่งเสมอ และออกจะแก้ยากกว่าข้ออื่นๆสักหน่อย เนื่องจากคนเรามักเรียกร้องให้มีใครมาเห็นใจ มาให้ความอบอุ่น โดยตัวเราเป็นผู้รับหรือผู้ตอบสนอง ขอให้ลองอย่างนี้ดู คือกลับขั้วสักนิด คิดเป็นผู้เริ่มเห็นใจก่อน ให้ความอบอุ่นกับคนอื่นก่อน ยังมีผู้ด้อยโอกาสในสังคมมากมายก่ายกองที่รอรับ ‘การให้ก่อน’ จากเราอยู่เสมอ ถ้าทำแค่ครั้งสองครั้งอาจจะยังไม่เห็นผลอะไร แต่ถ้าทำประจำจนเป็นกิจวัตรกระทั่งรู้สึกถึงความสว่าง ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากจิตคิดให้ของตนเอง เมื่อนั้นคุณจะไม่ปรารถนาความรักความอบอุ่นจากภายนอกที่อยู่กับเราได้แบบไม่คงเส้นคงวาหาความแน่นอนยากอีกเลย จะยึดเอารัศมีความอบอุ่นจากใจตัวเองนี่แหละเป็นที่พึ่งเที่ยงแท้ถาวร



อาการเหม่อซึมหรือหดหู่จะมาจากมูลเหตุใดก็ตามที สามารถแก้ไขสภาพเฉพาะหน้าได้ง่ายที่สุดคือรู้เท่าทันว่าเงื้อมเงาความหดหู่กำลังเข้าครอบงำใจเราแล้ว แทนที่จะติดนิสัยยอมโดนครอบอย่างเคยๆมา พอรู้สึกตัวก็หันไปทำกิจธุระอันใดอันหนึ่งทันที ยิ่งถ้าเป็นธุระที่ทำให้ใจเบา ใจสว่างด้วยก็ยิ่งเยี่ยม พูดง่ายๆลองหมั่นทำบุญและอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ จะเห็นเองว่าความมืดย่อมทนต่อแสงสว่างไม่ได้เป็นธรรมดา ความสว่างมา ความมืดต้องหายไปแน่ๆครับ



 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 เม.ย.2005, 6:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมก็เพียงนำสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังได้อ่านจากครูบาอาจารย์ มาถ่ายทอดให้เท่านั้นแหละครับ เมื่อถ่ายทอดแล้ว ก็จะถือได้ว่า เราเป็นผู้รู้เท่ากันแล้วนะครับ ลองนึกแปรียบเทียบตอนที่ผมเป็นไข้ หมอจะจ่ายยาหลายขนาน และบอกให้นอนพัก พร้อมกับบอกให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่แสลงไข้ทั้งหมด เช่น อากาศเย็น น้ำเย็น พักผ่อนน้อย เครียด ต่างๆ รักษาไปพร้อมกับยาก็จะหายได้ครับ อาการของคุณถ้ารู้สึกว่า ทำสมาธิแล้วไม่ดีขึ้น ก็ต้องแก้ไขด้วยหนทางอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันเลยทีเดียวครับ ซึ่งก็ทำได้ดังนี้ครับ หลีกเลี่ยงสิ่งทีแสลงต่อปัญญา เพิ่มพูนปัญญาใหม่ทางระยะสั้น ระยะกลาง ระยะไกล ถ้าทำได้พร้อมๆ กันอย่างนี้ผมว่าจะดีขึ้นในอนาคตครับ



1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แสลงต่อปัญญา ได้แก่

1.1 สุรา ยาเมาและบุหรี่ครับ ถ้ายังติดสิ่งเหล่านี้อยู่ต้องเลิกนะครับ หักดิบตัดใจไปเลย เพราะถ้าไม่เลิก ก็เป็นคนเป็นไข้ ไม่ยอมหยุดกินน้ำเย็น อย่างนี้ยากี่ขนานก็หายยากครับ และสุรา ยังจะทำลายสติปัญญาข้ามภพ ข้ามชาติเลยครับ ถึอเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของปัญญาเลยทีเดียว

1.2 วจีกรรม ที่พูดจายกตนข่มท่านนะครับ แต่ดูจากคำพูดของคุณแล้ว คิดว่าคุณไม่ได้เป็นเช่นนั้นครับ ก็สบายใจได้ ส่วนผู้ที่เป็นเช่นนั้น จะทำให้ไม่มีใครอยากถ่ายทอดความรู้ให้ จึงทำให้ปัญญาไม่เพิ่มพูนครับ เพราะคำพูดยกตนข่มท่าน มักจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองเก่งอยู่ตลอดเวลา และถ้าไปพูดจนผู้อื่นเสียกำลังใจทำความดี ก็จะมีผลกับผู้พูดข้ามภพข้ามชาติเหมือนกันครับ



2. เพิ่มพูนปัญญาระยะใกล้ก่อนนะครับ

2.1 กินอาหารเช้าสม่ำเสมอ การไม่กินอาหารเช้า จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้สมองเสื่อมได้ครับ

2.2 แต่อย่ากินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นโรคความจำสั้นได้ครับ

2.3 ไม่ควรกินของหวานมากไป เพราะจะไปขัดขวางการดูดกลืนสารอาหารที่มีคุณค่า ทำให้สมองพัฒนาช้าครับ

2.4 หมั่นอยู่ในที่อากาศดีๆ เพราะมลพิษจะทำให้ออกซิเจนน้อยลง ทำให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

2.5 นอนให้เพียงพอ การอดนอน สมองก็ไม่ได้พักผ่อน เซลล์สมองอาจตายได้

2.6 และห้ามนอนคลุมโปง เหมือนกันเราทำมลพิษให้เกิดขึ้นกับตัวเรานั่นเอง เนื่องจากเวลาหายใจออก อากาศเสียจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราคลุมโปง อากาศเสียนั้นก็ไม่ยอมไปไหน วนกลับมาหาเราใหม่

2.7 หมั่นฝึกฝนการใช้ความคิด เช่น การศึกษาเล่าเรียนต่างๆ ทั้งทางโลกทางธรรม

2.8 หมั่นพูดเขียนบ่อยขึ้น ทักษะการพูดเขียนจะเป็นตัวแสดงประสิทธิภาพของสมอง

2.9 ฝึกสมาธิ ช่วยได้ทั้งระยะใกล้และไกลด้วยครับ



3. เพิ่มพูนปัญญาระยะไกล

3.1 ฝึกสมาธิเหมือนข้อ 2.9 ครับ

3.2 หมั่นบริจาคตำรับตำรา ให้ทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณร ได้ศึกษาเล่าเรียน หรือนักเรียนที่ยากจน ให้ได้รับการศึกษาต่างๆ

3.3 ถ้ามีความรู้ถนัดทางด้านไหน ถ้ามีโอกาส ควรถ่ายทอดความรู้นั้นๆ เป็นวิทยาทานแก่ คนทั่วๆ ไป

3.4 หมั่นถวายประทีป หรือไปร่วมงานจุดประทีปเป็นพุทธบูชา ในวันสำคัญทางศาสนา



ทำได้เช่นปัญญาบารมีจะเพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไปครับ
 
ป้าแหวว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2005, 2:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกๆวันมีเด็กจำนวนมากในหลายๆประเทศที่ได้รับการทารุณกรรมทั้งทางกายและทางใจ เด็กเหล่านั้นเมื่อเติบโตขึ้น บางพวกมีปัญญาดีเมื่อโตขึ้นก็จะนำความทุกข์ที่ได้รับตั้งแต่เด็กมาเป็นแรงผลักถีบตัวเองออกจาก วังวนของความโหดร้ายเหล่านั้นได้ เช่น ตั้งอกตั้งใจศึกษาหลักธรรมและบวชจนเป็นเกจิอาจารย์มีผู้เคารพกราบไหว้มากมาย (ไม่เชื่อลองไปศีกษาประวัติเกจิอาจารย์ในพระพุทธศาสนาหลายองค์ ดูก็ได้) เด็กบางประเภทก็มักจะเพี้ยนๆหรือมีปมด้อยมากน้อยต่างกัน อย่างหนักก็เป็นโจรเป็นฆาตกร หรืออย่างเบาก็เป็นคนเจ้าทุกข์มองโลกในแง่ร้าย จิตเศร้าหมองหดหู่ทั้งตาปี ใครอยู่ใกล้คนพวกนี้ก็จะทำให้พลอยเซ็งไปด้วย ป้าแหววเองก็ได้รับการทารุณกรรมมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตเป็นสาวแล้วป้าแหววก็ยังมีความทุกข์นั้นฝังใจมาตลอด ยิ่งเมื่อป้าหมั่นหวนคิดถึงความทุกข์นั้น ยิ่งทำให้ใจป้าย่ำแย่มากๆ จนอยู่มาวันหนึ่งป้าแหววก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ยิ่งเราคิดถึงความทุกข์นั้นเราก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น ความคิดนั้นมันเป็นการซ้ำเติมตัวเอง เราหาความจริงอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์กับเรามาคิดดีกว่า แล้วป้าแหววก็คิดว่า ยังมีคนได้รับความทุกข์เหมือนๆกันกับเราอีกตั้งมากมาย ไม่ใช่เราที่ได้รับความทุกข์คนเดียวซะเมื่อไหร่ และก็มีคนอีกหลายร้อยล้านคนในโลกนี้ที่ได้รับทุกขเวทนาหนักกว่าเรามาก บางคนพิการแขน ขาด้วน ตาบอด เค้ายังยิ้มได้หัวเราะได้ แล้วตัวเราเองล่ะยังโชคดีกว่าพวกนั้นตั้งมากมาย ยังดีที่ยังมีลมหายใจอยู่ อยู่เพื่อเราจะซ่อมแซมใจของเราที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมีพลัง มีความเบิกบานให้ได้ เมื่อตายไป เราก็จะไม่เกิดมาช้ำใจฟรีๆ ป้าแหววขอแนะนำว่า หมั่นไปเยี่ยมเด็กกำพร้า หรือ เด็กพิการซ้ำซ้อน หรือ ไปเที่ยวโรงเรียนคนหูหนวกตาบอด บ่อยๆ คุณก็จะเห็นความโชคดีในชีวิตคุณ หมั่นให้อภัยผู้อื่นบ่อยๆ และหาหนังสือธรรมะแจกฟรีอ่าน ในการเริ่มต้นเลือกอ่านเล่มที่ถูกจริตไปก่อนนะ หนังสือธรรมะประเภทที่สอนให้ปล่อยวาง แล้วบรรลุอรหันต์เก็บไว้ก่อนอย่าเพิ่งไปอ่านเพราะว่ามันสูงเกินไป สำหรับผู้เริ่มต้น วันเสาร์อาทิตย์ก็หมั่นไปทำบุญตักบาตรที่ศาลาลุงชิน(เค้ามีเว็บไซด์ด้วยแต่จำชื่อเว็บนี้ไม่ได้) บ้างก็จะช่วยได้
 
ปลากระป๋อง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 เม.ย.2005, 11:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะทำสมาธิ หรือนั่งสวดมนภาวนาหรอกครับ

คิดว่า พอคุณนั่งแล้วคุณจะฟุ้งซ่าน นั่งไม่อยู่ติด คิดตลอดเวลา

ถ้าคุณเป็นลักษณะแบบนี้ละก็ แนะนำว่า

ไปหางานอดิเรก เช่น ไปถักไหมพรม หรือไปออกกำลังกาย สัก 1 ชั่วโมงดีกว่าครับ



หลังจากทำไปซักพัก แล้วคิดว่าพอจะนั่งสมาธิ หรือสวดภาวนาได้ ถึงค่อยทำดีกว่า



ลองทำดูครับ ไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ เพราะว่าคุณก็รู้ตัวเองอยู่แล้ว แต่หาวิธีไม่ได้แค่นั้น

 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง