Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อนุโลมญาน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
พีรัชยา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 4:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโลมญาณ

การก่อเกิดขึ้นแห่งชีวิต ตัวเนื้อร่างกายของเรานี้ มีแม่ธาตุอันเป็นบาทฐานที่ยิ่งใหญ่รองรับเราอยู่ เรียกว่า แม่ธาตุทั้ง ๔ โดยเริ่มที่ ธาตุลม ก็คือ สิ่งที่เรากำหนดรู้ เป็นอานาปานสติ ยังเหลือธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุดิน ที่อยู่ในตัวเนื้อร่างกายของเรา เขาเปรียบพระคุณอันยิ่งใหญ่ของมารดาผู้ให้กำเนิดว่า คุณแม่หนาหนักเพี้ยงพสุธา เป็นความยิ่งใหญ่เหมือนธาตุดิน เวลาที่เราจะอ้างเอ่ยบุญกุศลที่เราได้กระทำแล้ว เราก็ขอให้แม่พระธรณีจงมาเป็นทิพย์ญานทุกครั้ง อ้างเอ่ยถึงพระจตุโลก พระยมกทั้งสี่ สิ่งเหล่านี้ ก็คือ สิ่งที่อยู่รอบตัวเนื้อร่างกายของเรา จะกล่าวแล้วก็คือ ที่มาแห่งชีวิตทุกชีวิต เมื่อเราเกิดมานี้ เราอาศัยพระคุณของแม่อุ้มท้องประคองครรภ์ ความหนักที่ท่านอุ้มท้องเรามา ๙ เดือน มีความยิ่งใหญ่เหมือนแผ่นดินที่เราเหยียบย่าง ทุกครั้งที่เราสร้างบุญกุศล เราจึงต้องให้แม่พระธรณีเป็นทิพย์ญานมีความสำคัญอย่างนี้ เพราะถ้าไม่มีผืนดินให้เราเหยียบย่างก้าว เราจะทำฉันใดลองคิดดู ความยิ่งใหญ่ของผืนปฐพีนี้จึงมีความหนักแน่น มั่นคง และเป็นที่รองรับทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง เหมือนน้ำใจอันประเสริฐของบิดามารดาของเราที่ท่านรับเราได้ทุกกรณี จะดีจะร้ายจะชั่วท่านก็รับเราได้ พระคุณของแม่ที่เปรียบแผ่นดิน จึงเป็นธาตุที่หนักหน่วงและหนักแน่นมั่นคง ส่วนเขาเปรียบพระคุณของพ่อเหมือนอากาศกว้าง ก็เพราะเราต้องอาศัยลมหายใจหล่อเลี้ยงชีวิต ความยิ่งใหญ่ของแม่ธาตุทั้งสอง คือ ดินกับลมหรืออากาศนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะฉะนั้น ชีวิตเราเกิดมานี้เราผ่านขบวนการหรือปัจจัย หรือองค์ประกอบอะไรก็ว่าไปมากมายจนมาเป็นเรา ณ วันนี้นั่นเอง

สงกรานต์แต่ละปีสอนอะไรแก่เรา ตามที่ปรากฏผู้รู้เขาได้กำหนดวันสำคัญ ต่าง ๆ ขึ้น ก็เพื่อเป็นอนุสติเตือนใจให้เราทำบุญ อย่างโอกาสปีใหม่ที่เป็นมหาสงกรานต์ที่มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาแทนที่จะสนุกสนานรื่นเริงก็ให้มาทำบุญกุศลกัน นี่คือ ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นจากการกำหนดให้มีประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม ให้เรามาระลึกถึงพระคุณของบิดามารดาที่ท่านได้เสียสละจาคะ ก่อนที่จะมีบิดามารดาก็มีปู่ย่าตายายวงศาคณาญาติ ก็คือบุพพการีทั้ง ๑๐ จำพวกของเรานี่แหละที่ต้องมารำลึกถึงพระคุณท่าน เราจึงมาอุทิศบุญกุศลที่ได้กระทำกันแล้ว จะเป็นการบังสุกุล จะเป็นการจัดตั้งกองทาน หรือจะเป็นการสร้างบุญกุศลในลักษณะใดก็ตาม อันนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ทำให้เราหวนระลึกถึงชีวิตของเราที่ผ่านมา เราอาจจะปล่อยปละละเลย เราอาจจะมองไม่เห็นประโยชน์ในหลาย ๆ เรื่อง แต่เอาเถอะก็มาถึงวันนี้ คือ เป็นวันสำคัญ สิ่งที่เราปล่อยให้ผ่านไป อนุโลมให้มันผ่านมาได้มากมาย ส่วนที่ดีส่วนที่เสียบ้าง ที่เรากระทำผิดพลาดพลั้งเผลอไป อนุโลมให้มันผ่านไป แต่เมื่อเรารู้ธรรมแจ้งธรรม เรามาเรียนธรรม เกิดสติขึ้น เขาจึงต้องมีการพิจารณาที่เรียกว่า อนุโลมญาณให้เกิดขึ้น เมื่อหยั่งระลึกรู้ถึงสิ่งที่ผ่านที่ล่วงมาแล้วในอดีต เป้าหมาย ก็คือ ให้เรามาทบทวนชีวิตของเราในฝ่ายบวกว่า เรารู้ธรรมแจ้งธรรมอย่างไร ก็เป็นอนุโลมญาณที่ย้อนไปหาก่อนที่จะรู้ธรรมในขั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ลำดับมา มันรู้ได้อย่างไร มันเกิดได้อย่างไร ทำแล้วทำอีก ทำจนเป็นวสีแห่งธรรม อนุโลมย้อนทบทวนไปอยู่อย่างนี้ เราก็จะเกิดความเข้าอกเข้าใจมีความแม่นยำ ว่าในเรื่องธรรมขั้นต้นมีกรรมฐาน คือ งานหลัก ธรรมขั้นสองเรื่องอัดขันธ์พระพุทโธ มีสิ่งทั้งหลายที่มาประชุมธาตุ มาทำลายธาตุ เป็นอากาศธาตุ ทำลายขันธ์ได้อย่างไรให้มันแตกสลาย รู้ทันขันธ์ ๕ แตกฉานในขันธ์ทั้ง ๕ เข้าสู่กระแสแห่งความรู้แจ้ง จนไปถึงธรรมขั้น ๓ ที่เรียกว่า แจ้งโลกวิทู เป็นฉันใด นี่เป็นอนุโลมญาณ สิ่งที่ย้อนพิจารณาทบทวนจนบังเกิดสภาวะของความรู้ที่เป็นหนึ่งขึ้น มี “เอกัคตารมณ์” นำพาไปก็เกิดเป็นเอตัคทัคคะคือความชำนิชำนาญทั้งในธรรมเบื้องต้น ท่ามกลาง และธรรมขั้นสูง ทำแล้วทำอีก อนุโลมญาณก็จะเข้มแข็งขึ้น เมื่อเข้มแข็งขึ้นก็จะเป็นบาทฐาน เป็นตัวเสริมเป็นตัวส่งแรงกำลังนี้เข้าไปหาบุพเพนิวาสานุสติญาณได้โดยที่ท่านไม่รู้ตัว ไม่ต้องไปคิดนึกปรุงแต่ง เมื่อพิจารณาอนุโลมทบทวนชีวิตของเรานี้แหละที่เราปล่อยปละละเลย อนุโลมให้มันผ่านมาได้ แต่เมื่ออนุโลมญาณเกิดขึ้นเราไม่ยอมให้มันผ่านไปแล้ว เรามาซักไซ้ไล่เรียงเหมือนเรียกมาสอบสวนใหม่ อดีตที่ล่วงแล้วเราพลาดอย่างไร เราพลั้งอย่างไร สิ่งที่เป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้น เราจะแก้ เราจะปรับ เราจะเปลี่ยน หรือเราจะทำอย่างไรกับมัน แม้นว่าอดีตแก้ไม่ได้แต่ปัจจุบันทำได้ ก็กลับมาสู่ปัจจุบันนังสญาณโดยอาศัยอตีตังสญาน เป็นเหตุส่งผลมาปัจจุบันให้รู้วิธีการแก้ไขเพื่อดำเนินไปสู่อนาคตังสญาณอย่างถูกต้อง อนาคตที่คืบคลานเข้ามาก็จะเป็นลักษณะของความรู้ตัวทั่วพร้อม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดสภาวะของผู้รู้ในแบบของสัมมาทิฐิ ในแบบของสัมมาสังกัปปะ ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เป็นมิจฉาสังกัปปะจะคิดนึกพูดจา จะประกอบกิจหน้าที่การงานใด ไม่เอนเอียง ไม่มีอคติใด ๆ เพราะฉะนั้น อนุโลมญาณแห่งผู้รู้จึงเป็นลักษณะของความเที่ยงตรง ไม่เอนเอียงเข้าข้างตัวเอง แตกต่างจากการนึกคิดแบบปุถุชนที่มีอคติ จะเข้าข้างตัวเอง ยอมให้มันเป็นไปอย่างนี้ ยอมให้มันเป็นไปอย่างนั้น อนุโลม ๆ กันอยู่อย่างนั้น อนุโลมให้มันเป็นอย่างนั้น อนุโลมให้เป็นอย่างนี้ มันจึงไม่เกิดอนุโลมญาณในฝ่ายของโลกุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้เราต้องมาอนุโลมญาณใหม่เพื่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจ เมื่อสืบสานเข้าไปพิจารณาทบทวนเข้าไปไม่มีอคติ แต่มีความชอบธรรม มีความเที่ยงตรง จึงก็จะเกิดสภาวะของความอิ่มเอิบซาบซ่านเป็นตัวปิติทั้งหลายก็จะมาสนับสนุน ตัวสภาวะธรรมที่เป็นฝ่ายโลกุตระก็จะเข้ามาดุจวิหารธรรมที่บังเกิดขึ้นครอบคลุมไปทั่ว จะทำให้เกิดความผ่องใสขึ้น ความสว่างขึ้น ความสงบ มั่นคง มีลักษณะของความสุขุมประณีต มีปกติสภาพทุกสถานทุกกาลทุกเมื่อ ดำเนินชีวิตไปอย่างผู้รู้ ผู้ไม่ประมาท ด้วยเหตุแห่งอนุโลมญาณที่เหมาะที่ควรดีแล้ว ก่อให้เกิดบุพเพนุวาสานุสติญาณ รู้ที่มาที่ไปแห่งชีวิต เมื่อรู้ที่มาที่ไปแห่งชีวิตก็เกิดความชัดเจนที่จะดำรงชีวิตอย่างผู้ไม่ประมาท ก็จะเข้าสู่อาสวขยญาณ คือ การไม่ก่อ เมื่อไม่ก่อก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิด ภพชาติก็ขาดสบั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เป้าหมายแห่งพุทธศาสนาจึงให้ไปถึงจุดสูงสุด หรือไปให้ถึงฝั่ง ก็คือ อาสวขยญาณ ก็เป็นลักษณะของการขจัดอาสวกิเลสทั้งหลายให้มันสิ้นสลายไป นี่คือ สิ่งที่เป็นเป้าหมายแห่งการที่เราอาศัยวันมหาสงกานต์มาทบทวนถึงความเป็นมาแห่งชีวิตที่เราอาศัยพ่อแม่บุพการีผู้ให้กำเนิดชีวิตเรา ถ้าเราไม่มีท่านเราก็ไม่มีตัวเรา เมื่อท่านให้โอกาสเรา ให้เราได้มาอาศัย เลี้ยงดูอุ้มชูเราจนเติบโตรู้เดียงสา พระคุณของท่านจึงยิ่งใหญ่นัก เรียกว่า พระคุณหนักหน่วงเหมือนแผ่นดินแผ่นฟ้า พ่อแม่ให้กำเนิดเราเกิดมา เราจึงมารู้ธรรมแจ้งธรรม ถ้าเราไม่ได้กำเนิดเราก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้ามาปฏิบัติ ได้เข้ามาเห็นแจ้งในพระสัจธรรม หรือถ้าเราไปเกิดในถิ่นทุรกันดานที่ไม่มีพุทธศาสนาไม่มีปฏิรูปเทศที่จะรองรับ ไม่มีศาสนธรรมที่เป็นสัมมาทิฐิ อาจจะไปหลงเชื่อในลัทธิอื่น ก็เกิดความยึดมั่นถือมั่น แตกต่างจากสิ่งที่เป็นสัมมาทิฐิโดยสิ้นเชิง

ด้วยเหตุฉะนี้ เราจึงต้องมาระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของบุพการีที่สำคัญในทางให้เราได้เข้าถึงการรู้ธรรมแจ้งธรรม เพราะพ่อแม่ของเราก็ถือว่าเป็นคุณครูอุปัชฌาอาจารย์คนแรก จวบจนวันนั้นจนถึงวันนี้เราได้มาเรียนรู้ธรรมแจ้งธรรม จึงได้หวนทบทวนเป็นอนุโลมญาณอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เข้าถึงสภาวะ เห็นแก่นแท้ เห็นความจริงแห่งชีวิตของเรา จึงพึงรักษาสิ่งที่เป็นความรู้แจ้งนี้ไว้ พึงเจริญสิ่งที่เป็นอนุโลมญาณเพื่อให้เข้าสู่บุพเพนุวาสานุสติญาณจนไปให้ถึงอาสขยญาณเป็นสำคัญ นี่คือ หลักการและเหตุผลที่เรามาเจริญวิปัสสนาเพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณเหล่านี้นั่นเอง

อ.ยุทธพล เติมสมเกตุ
สำนักปฏิบัติธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา
เขาน้อย สระบัวแก้ว จ.เพชรบุรี โทร.087-5014004
 
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 2:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.ย. 2008, 7:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง