ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 9:35 pm |
  |
เหตุที่เป็นแรงจูงใจก็เพราะว่าช่วงนั้นผมเป็นเด็กเกเ รพอสมควร ชอบชก ชอบต่อย ชอบอาละวาด เป็นคนที่อารมณ์รุนแรง แล้วมันเกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์กับตัวเอ ง คือนอนอยู่ในห้องนอนรวม เป็นหอพักของนักเรียน อยู่กัน 50 คน อยู่ๆ วันหนึ่งก็ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะเหมือนกับมีเสียงคุยกับผมอยู่ เสียงนั้นแค่เรียกชื่อผม 3 ครั้ง อาจอง อาจอง อาจอง ทำไมถึงทำอย่างนี้ ตั้งคำถามไว้ให้กับผม
ผมก็มานั่งคิด ตอนแรกก็ตกใจนึกว่าเป็นผีมาหลอก ก็ไม่สนใจ นอนหลับไป พร้อมกับเสียงนั้นมันจะมีแสงสว่างอยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วย ผมมองซ้าย มองขวา ดูเพื่อน ทุกคนก็นอนหลับไม่มีใครได้ยินอะไร และมันก็เกิดขึ้นสามคืนติดต่อกัน คืนที่สามก็เลยต้องมานั่งคิดใหญ่เลยว่า เอ..มันเรื่องอะไร คิดไปคิดมาอาจเป็นการเตือนตัวเราเองว่า สิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้อง ก็เลยหาทางออก พยายามคิดว่าเราจะปรับปรุงตัวอย่างไร
http://romphosai.com/forums/forum19/thread618.html
ท่านใดเคยมีประสบการณ์เช่นนี้บ้างครับ |
|
|
|
   |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 9:38 pm |
  |
จริง หรือ ไม่จริง
ก็ไม่ทำให้พ้นทุกข์ครับ |
|
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 9:45 pm |
  |
ตรงประเด็น พิมพ์ว่า: |
จริง หรือ ไม่จริง
ก็ไม่ทำให้พ้นทุกข์ครับ |
คุณตรงประเด็นมีคำแนะนำกับผู้ที่มีประสบการณ์เช่นนี้หรือไม่ครับ
คือ
ควรปฏิบัติต่ออย่างไร |
|
|
|
   |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 9:54 pm |
  |
เป็นไปได้2 อย่าง คือ
1.มีภพภูมิอื่นมาสื่อถึงเราจริง
2.จิตเราสร้างขึ้นเอง อาจเป็นจากระบบประสาทที่ผิดปกติ หรือ เป็นภาวะSENSORY DEPRIVATION จากการทำกรรมฐานผิดวิธีก็ได้
ถ้าเป็นข้อ1 ควรแผ่เมตตาให้ แล้ววางเฉยเสีย ไม่ควรไปยุ่งด้วย
ถ้าเป็นข้อ2 จะลำบากมาก เพราะเจ้าตัวเอง ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า สิ่งที่ตนประจักษ์ไม่ใช่ของจริง.... ใครบอกอย่างไร เขาก็จะไม่เชื่อ.... เขาเรียกว่า HALLUCINATION หรือ ประสาทหลอน.... และ ถ้าเป็นเช่นนี้ อาจจะมีอาการ หลงผิด หรือ DELUSION เช่น เชื่อว่าตนเป็นผู้วิเศษ มีญาณ ต่างๆ
ถ้าเกิดในขณะภาวนา ท่านจะให้กำหนดดูว่า "ใครเป็นผู้รู้" คือ ให้ย้อนมาดูที่จิต แทนที่จะไปวิ่งตามนิมิตเหล่านั้น |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 9:59 pm |
  |
มาทำความเข้าใจในเรื่องนิมิตภาวนากันก่อนดีกว่า
เคยฟังครูบาอาจารย์ และผู้รู้ท่านแนะนำมาบ้าง
ขออนุญาตนำมาเล่าต่อ
นิมิตภาวนานี้ สำหรับบางท่าน มันจะเกิดในขณะที่จิตกำลังจะสงบ..... หรือเป็นตอนที่จิตถอยออกจากความสงบ
ในขณะปกติ หรือ จิตสงบลึก จะไม่มีนิมิต
นิมิตนี้ มีทั้งจริงและเท็จ ขึ้นกับกำลังของสติ
นิมิตอาจจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญญา และ รู้จักพิจารณา.... แต่อาจจะทำให้เกิดความเสียหาย กับผู้ที่เชื่ออะไรง่าย หรือ หลงสำคัญตนมากเกินไป
นิมิตนี้ มันอาจจะมาในลักษณะต่างๆ
1.หลอกให้กลัว
2.หลอกให้ชอบ(และเชื่อ)
3.หลอกให้ชัง
บางท่านก็ไม่มีจริตที่จะมีนิมิต บางท่านก็มีจริตที่จะมีนิมิต
(แนะนำอ่าน บทเทศนา กุญแจภาวนา ของหลวงปู่ชา สุภัทโท)
มีบางท่าน เชื่อสิ่งที่ตนเห็นมากเกินไป จนถึงขนาด หลุดออกจากโลกของความเป็นจริง..... ที่เรียกว่า กรรมฐานแตก หรือเป็นโรคจิตที่เกิดจากการหลงนิมิต(meditation in duce psychosis) ซึ่งมีทั้งที่เกิดจากการหลงนิมิตโดยตรง และ บางท่านมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคจิตอยู่แต่เดิมแล้ว
ประเด็นที่สำคัญก็คือ ผู้ที่เห็นนิมิตนี้ มักจะเชื่อสิ่งที่ตนเห็นมากและบ่อยครั้งที่ถึงขั้นหลงตนไปเลยก็มี.....
การหลงตนนั้น มักจะมาในลักษณะที่เรียกว่า หลงสำคัญตนว่าเป็นบุคคลพิเศษ มีญาณวิเศษ เป็นผู้มีพลังเทพ เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์
(แต่ไม่ได้หมายความว่า อภิญญา หรือ เทวดา หรือพระโพธิสัตว์ หรือ พระอรหันต์ ไม่มีจริงน่ะครับ.... ที่ผมพูดอยู่นี้ หมายถึงการหลงผิด ในลักษณะหนึ่งที่เกิดจากการเห็นนิมิตต่างหาก)
และ จะไม่ฟังคำทักท้วงของใครเลย..... ถ้าเป็นมากๆก็จะกลายเป็นโรคจิตไปเลย
เคยได้ยินมาว่า ในอดีต เคยมีสามเณรรูปหนึ่ง ทางอีสาน.... ปฏิบัติภาวนา จนสามารถเห็นนิมิตได้....ตอนแรกๆก็บอกผู้อื่นถูกบ่อยๆ ต่อมาก็ถูกบ้าง-ผิดบ้าง..... สามเณรท่านเชื่อว่าท่านเป็นผู้วิเศษ ที่มีพลังของพระสุปฏิปันโนท่านหนึ่งที่มรณภาพไปแล้วมาประทับทรง. กว่าที่ครูบาอาจารย์จะแก้ไขได้ ก็ใช้เวลากันพอสมควร.... รู้สึกว่า จะไม่ถึงขั้นสติแตกเป็นบ้า |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 10:01 pm |
  |
โอวาทธรรม หลวงปู่ ชา สุภัทโท
จาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6753
นิมิต
สิ่งเหล่านี้อย่าว่าเป็นของเรา
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิมิต คือ ของหลอกลวงให้เราชอบ ให้เรารัก ให้กลัว
นิมิตเป็นของหลอกลวงใจเรา มันไม่แน่นอน
ถ้าเห็นแล้วอย่าไปหมายมั่น ไม่ใช่ของเรา อย่าวิ่งตามมัน อาจพูดลืมตัวเองเป็นบ้าไปได้ ไม่กลับมาพูดกับเรา เพราะหนีจากคอกแล้ว
ให้เชื่อตัวเองแน่นอน เห็นอะไรมาก็ตาม
ถ้านิมิตเกิดขึ้นมาจิตตัวเอง จิตต้องสงบ มันจึงเป็น
ถ้าเป็นมา ให้เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่ของเรา
นิมิตนี้ให้ประโยชน์แก่คนมีปัญญา ให้โทษแก่คนไม่มีปัญญา
ทำความเพียรไปจนเราไม่ตื่นเต้นในนิมิต มันอยากเกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่กลัวมัน เชื่อใจได้อย่างนี้ ไม่เป็นไร
ทีแรกเราตื่น ของน่าดูมันก็อยากดู ความดีใจเกิดขึ้นมาอย่างนี้ก็หลง ไม่อยากให้มันดีก็ดี ไม่รู้จะทำอย่างไร ปฏิบัติไม่ถูกก็เป็นทุกข์
มันอยากดีใจช่างมัน ให้เรารู้ความดีใจนั่นเองว่าความดีใจนี้ก็ผิด ไม่แน่นอนเช่นกัน แก้มันอย่างนี้ อย่าไปแก้ว่า ไม่อยากให้มันดีใจ ทำไมจึงดีใจ นี่ผิดอยู่นะ ผิดอยู่กับของเหล่านี้ ผิดอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้อยู่ไกลหรอก
อย่ากลัวนิมิต ไม่ต้องกลัว เรื่องภาวนานี้พอพูดให้ฟังได้เพราะเคยทำมา ไม่ว่าจะถูกหรือไม่นะ ให้เอาไปพิจารณาเอาเอง |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 10:02 pm |
  |
เรื่องของนิมิตภาวนานั้น
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านเตือนเอาไว้อย่างน่าสนใจ
จาก หนังสือ หลวงปู่ฝากไว้
...................................................................
จริง แต่ไม่จริง
ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฏผลออกมาในแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฏในอวัยวะร่างกายของตนเองบ้าง ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็นนรก สวรรค์ วิมานเทวดา หรือไม่ก็เป็นองค์พุทธรูปปรากฏอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ
หลวงปู่บอกว่า
ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง
.............................................................................................
แนะวิธีละนิมิต
ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกว่ายังเป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที หลวงปู่โปรดได้แนะวิธีละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผล
หลวงปู่พูดว่า
เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง
.............................................................................................
เป็นของภายนอก
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ หลวงปู่อยู่ในงานประจำปีวัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปถาม ทำนองรายงานผลของการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า เขานั่งวิปัสสนาจนจิตสงบแล้ว เห็นองค์พระพุทธรูปอยู่ในหัวใจของเขา บางคนว่าได้เห็นสวรรค์วิมานของตัวเองบ้าง บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง พร้อมทั้งภูมิใจว่า เขาวาสนาดี ทำวิปัสสนาได้สำเร็จฯ
หลวงปู่อธิบายว่า
สิ่งที่ปรากฏเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น จะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 10:04 pm |
  |
หลวงปู่คำดี ปภาโส
ท่านเคยแนะนำเรื่องนิมิตเอาไว้
.................................................................................
ถ้าในขณะทำสมาธิแล้วจิตรวมวูบลงไป เกิดเห็นร่างกายเป็นซากศพที่มีสภาพที่เหมือนกับว่าเพิ่งขุดขึ้นมาจากหลุมศพ แต่จริงๆแล้วร่างกายเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเราถอนจิตออกมาก็จะเห็นเป็นตัวตนธรรมดา อาการที่เราเห็นเป็นซากศพเช่นนี้ ท่านเรียกว่า อสุภนิมิต ถ้าเราเคยได้ยินครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนในเรื่องของอสุภนิมิตแล้ว เราก็ทำความรู้เท่าทัน
อสุภนิมิตนี้ถ้าเกิดบ่อยๆจะเป็นการดีมาก ท่านอาจารย์ใหญ่(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)ท่านนิยมมาก ถ้าพระเณรองค์ใดได้อสุภนิมิต เห็นร่างกายเน่าเปื่อยเป็นซากศพแล้ว ท่านว่าผู้นั้นจะสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ง่าย
อสุภนิมิตนี้ไม่ใช่เป็นของร้าย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเราอดกลัวไม่ได้ ก็ให้เราลืมตาเสียตั้งสติให้มั่น ขออย่างเดียวอย่าลุกขึ้นวิ่งหนี ถ้าเราเคยได้ยินได้ฟังคำแนะนำอย่างนี้แล้ว เมื่อเวลาที่เกิดอสุภนิมิตก็จะระลึกได้อยู่หรอก แต่ถ้าเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อเวลาที่เกิดอสุภนิมิตขึ้นก็จะเกิดความกลัว ถ้าเราลุกวิ่งหนีก็จะทำให้เราเสียสติได้ การลุกขึ้นวิ่งหนีนี้ขอห้ามโดยเด็ดขาด
การที่เกิดอสุภนิมิตนี้เรียกว่า มีพระธรรมมาแสดงให้เราได้รู้ได้เห็น ว่าร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ย่อมมีความเจริญในเบื้องต้น มีความชราในเบื้องกลาง และมีการแตกสลายไปในที่สุด
เมื่อเวลาเกิดอสุภนิมิตขึ้น ถ้าเราสามารถทนได้ นับว่าเป็นการดีมาก เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณามาก สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นนิมิตในตัวเรา แต่บางครั้งก็เป็นนิมิตภายนอก เช่นบางครั้งเกิดเห็นเป็นพระพุทธเจ้าหรือบรรดาครูบาอาจารย์มาปรากฏให้เห็น หรือเห็นพวกวัตถุเช่นโบสถ์ วิหารหรือสิ่งต่างๆ นิมิตภายนอกนี้เรียกว่า อุคคหนิมิต
เรื่องของนิมิตเป็นเรื่องที่สำคัญ ในบางครั้งก็มาทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตา ก็อย่าไปเข้าใจว่าเป็นเปรตเป็นผี ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าสังขารภายในมันฉายออกไปเพื่อหลอกใจของเราเอง มันฉายออกไปจากใจนี่แหละ อันนี้พูดเตือนสติไว้
การทำสมาธิภาวนานี้ถ้าบุคคลใดเกิดนิมิตมาก ก็อย่าได้ไปเกิดความกลัวจนกระทั่งเลิกปฏิบัติ ขอให้ปฏิบัติต่อไปโดยให้สติตั้งมั่นกำหนดรู้ อย่างที่แนะนำมาแล้ว เมื่อเราทำต่อไปเรื่อยๆก็จะเกิดอานิสงส์ คือถ้าเป็นคนนิสัยดุร้ายก็จะเป็นคนใจดี ถ้าเป็นคนโกรธง่ายก็จะค่อยๆเบาบางลง ถ้าเป็นคนปัญญาทึบเมื่อทำจิตสงบได้แล้วก็จะเป็นคนที่ฟังอะไรรู้เรื่องเข้าใจในเหตุผล ถ้าเป็นคนที่ฉลาดอยู่แล้วก็จะเพิ่มพูนปัญญาให้มากขึ้นไปอีก ท่านจึงว่ามีอานิสงส์มาก
ขณะที่เราเกิดเห็นนิมิตขึ้นมา ถ้าเราแก้ความกลัวในนิมิตได้ต่อไปก็จะสบาย เมื่อเราเกิดความกลัวขึ้น เราอย่าไปยึดถือสิ่งที่เราเห็นในนิมิตเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา ให้กำหนดรู้ว่าเป็นมาร ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่า ขันธมาร หรือ กิเลสมาร
เรื่องของนิมิตนี้จะเกิดหรือไม่เกิดไม่สำคัญ เพราะว่าที่เราทำสมาธิภาวนาก็เพื่อมุ่งให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถทำจิตใจของตนให้สงบเป็นอารมณ์เดียวได้พอเท่านั้น ไม่มีนิมิตเกิดขึ้นไม่เป็นไร
การเรียนบำเพ็ญสมถะจึงจำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์ เราจึงต้องรู้ไว้ว่าที่แห่งไหนมีครูบาอาจารย์อยู่บ้าง เพื่อว่าในอนาคตเราจะออกปฏิบัติเราจะได้รู้ไว้ ถ้าเป็นวิปลาสแล้วจะไม่ยอมแก้ไขอะไรง่ายๆ กลับมาหาครูบาอาจารย์ที่เคยทรมานกันนั่นแหละ ถึงว่าจะอยู่ห่างไกลก็จำเป็นต้องไปเพราะเป็นเรื่องของการปฏิบัติ เมื่อจิตใจเป็นอย่างใดมีข้อสงสัยอย่างใดจะได้ไปศึกษากับท่านเสียก่อนที่จะผิด |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 10:07 pm |
  |
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านระลึกชาติได้ครับ
มีประเด็นที่น่าสนใจตรงนี้ครับ
.............................................................
จาก http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/006956.htm
คืนนั้น เมื่อท่านกำหนดจิตตามที่ท่านได้ฝึกฝนไว้ตอนหลังสุดนั้น ก็ปรากฏว่า "เกิดการสว่างไสวดุจกลางวัน ซึ่งปรากฏเห็นแม้กระทั่งเม็ดทรายโดยปรากฏ เห็นเหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน
ความผ่องใสของใจนี้ทำให้พิจารณาเห็นอะไรได้ทุกอย่างที่ผ่านมาแจ้งประจักษ์ขึ้นมาในปัจจุบันทั้งหมด
การนั่งสมาธิ คราวนี้ใช้เวลา ๓ วัน ๓ คืน โดยไม่แตะต้องอาหารเลย การพิจารณาถึงกายคตาตลอดถึงธรรมะต่าง ๆได้ตัดความสงสัยทุกอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติจิตในขณะที่มีการพิจารณาธรรมทั้งหลายอย่างได้ผลนั่นเอง
นิมิตอย่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้น คือเห็นเป็นลูกสุนัขกินนมแม่อยู่
ได้ใคร่ครวญดูว่า นิมิตที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีเหตุเพราะจิตชั้นนี้จะไม่มีนิมิตเข้ามาเจือปนได้ คือเลยชั้นที่จะมีนิมิต
ได้กำหนดพิจารณาโดยกำลังของกระแสจิต ก็เกิดญาณคือความรู้ขึ้นว่า "ลูกสุนัขนั้นหาใช่อื่นไกลไม่คือตัวเราเอง เรานี้ได้เคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ตรงนี้มานับครั้งไม่ถ้วน คงหมุนเวียนเกิดตายอยู่ในชาติของสุนัข
..........................................................
โปรดสังเกตุ ว่า
หลวงปู่มั่นท่านสามารถตรวจสอบได้เลยว่า นิมิต ที่ท่านเห็นลูกสุนัขกินนมแม่ นั้น ..... ไม่ใช่นิมิตธรรมดา
".......จิตชั้นนี้จะไม่มีนิมิตเข้ามาเจือปนได้ คือเลยชั้นที่จะมีนิมิต...."
ทีนี้ เรา-ท่าน ที่เห็นนิมิตนั้น ระดับสติอย่างเรา-ท่าน อาจจะไม่สามารถแยกออกว่า นิมิตไหน เป็นนิมิตจริง หรือ ไม่จริง......
ถ้าเล่นเชื่อนิมิตหมดทุกอย่างที่เห็น ก็อาจจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน สติแตกไปได้น่ะครับ
เป็นความเห็นส่วนตัวน่ะครับ..... ถูก-ผิด ประการใด ขออภัยด้วย |
|
|
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 9:59 am |
  |
ขออนุโมทนากับความรู้ดีๆที่หามาให้อ่านกันนะครับ....  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 8:20 pm |
  |
ขอบพระคุณท่านตรงประเด็นครับ |
|
|
|
   |
 |
อิทธิกร
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 28 ส.ค. 2008
ตอบ: 137
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ย. 2008, 3:26 pm |
  |
............ |
|
_________________ ชีวิตที่รู้ |
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
03 ก.ย. 2008, 1:06 am |
  |
ขอเก็บไว้อ่านทีหลังนะ ธรรมะสวัสดี  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|