ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
24 ส.ค. 2008, 3:55 pm |
  |
จากการสังเกต วิถีความคิดและ วิถีปฏิบัติ ของชาวพุทธปัจจุบันส่วนมากนี้ พบว่า
สิ่งที่ชาวพุทธขาดหายไปได้แก่ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ที่พระพุทธองค์ทรงสอน ว่าหลักการแห่งพระพุทธศาสนานั้น ประกอบไปด้วย องค์ 3 คือ
ทำกุศลให้ถึงพร้อม
ละอกุศลทั้งปวง และ ทำจิตให้ผ่องใส
ก็ปรากฎว่า ชาวพุทธทั้งหลาย ส่วนมากแล้ว เน้นไปที่ การทำบุญ คือ การทำกุศลนั้นเอง
ไม่ว่าจะมองไปที่ใด มีแต่คนทำบุญ คนให้ทาน มากมาย
แต่ว่า ขาดองค์อีกสองอย่างคือ ละอกุศลทั้งปวง และ การทำจิตให้ผ่องใส
การละอกุศลทั้งปวงนี้ เนื่องจาก สันดานนิสัยที่ติดตัวมายาวนานหลายภพชาติ ทำให้เรามองมันเป็นเรื่องปกติ ไม่เคยคิดที่จะละ เช่นว่า การโมโห การผูกโกรธ ความไม่พอใจ ความไม่มั่นคงในความคิด ความกลัว ความฟุ้งซ่าน ความบ้า ความหลง ความเชื่อตามๆกันไป ความไม่ตรึกตรอง ความขี้เกียจ ความง่วงหงาวหาวนอน ความไม่ดีอีกร้อยแปดพันเก้า ที่เราปล่อยผ่านกันอย่างที่เรียกว่า ตามใจกิเลสกันจนเพลิน
ข้อนี้ มองไปที่ใดก็มีแต่คนอยู่ใต้อำนาจกิเลสนี้ อย่างไม่เคยคิดจะฝืนกันเลย
จึงเรียกได้ว่า ไม่ได้ทำตามพระพุทธองค์สอนอย่างแท้จริง
เรากำลังจะสู้ศาสนาคริสต์ และ อิสลามไม่ได้ เพราะว่า คริสต์ นี้เขาสอนให้รักกัน ให้อภัยกัน ไม่โกรธกัน เขามีบทสวดบทหนึ่งบอกว่า พระเป็นเจ้าโปรดยกโทษให้ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้ายกโทษให้ผู้อื่น นี่ เขามีการระลึกและสำนึกเป็นประจำ เขามีหิริโอตัปปะ เขามีเมตตา เขามีการสารภาพบาป เพื่อที่จะตั้งใจจะไม่ทำมันอีก
อิสลามเขาก็มีการ ฝืนต่อกิเลส มีศรัทธาความเชื่อ ทำละหมาดวันหนึ่งตั้งหลายครั้งเพื่อให้ใจเป็นเอกคตา
แต่คนพุทธเรา ทำตามอำเภอใจ ไม่ฝืนกิเลสเลย จะทำอะไรก็ทำไปเพราะกิเลสทั้งนั้นเช่น ทำบุญเอาหน้า ศึกษาธรรมเอาหน้า ปฏิบัติธรรมเอาหน้า นี่เป็นไปเพราะกิเลสทั้งสิ้น
และอีกประเด็นหนึ่งคือ การทำจิตให้ผ่องใส นี่สำคัญมาก ต้องหมั่นปฏิบัติทำสมาธิ ทำใจปล่อยวาง เป็นประจำ แต่เราไม่ทำ พอครั้นมืดมัวก็ทำบุญ ไม่เคยทำจิตให้ผ่องใสกันด้วย สมาธิวิธี วางไม่ลง วางไม่เป็น เอาแต่บุญแต่กุศลจนหน้ามืดตามัว จะเอาแต่จะเป็น พระโสดาบันบ้าง จะบรรลุธรรมบ้าง
แล้วจะเอาอะไรไปบรรลุธรรม หากไม่ครบองค์ประกอบ 3 ตามที่บอกไป
ฝากเอาไว้ให้พิจารณาและ พยายามฝืนกิเลส อันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
24 ส.ค. 2008, 9:34 pm |
  |
|
    |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 11:47 am |
  |
 |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 12:05 pm |
  |
:b8สาธุครับอาจารย์
คือศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหมครับ
แล้วอันไหนสำคัญสุด ควรมีก่อนครับในสามอันนี้
ขอบคุณครับอาจารย์  |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 12:16 pm |
  |
ฌาณ พิมพ์ว่า: |
:b8สาธุครับอาจารย์
คือศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหมครับ
แล้วอันไหนสำคัญสุด ควรมีก่อนครับในสามอันนี้
ขอบคุณครับอาจารย์  |
ไม่ได้เป็นอาจารย์หรอกนะครับ แต่คำถามน่าตอบเลยจะตอบซะหน่อยครับ
ปัญญาต้องมีก่อนครับ
เดินตามมรรค 8 ก็ต้องเอาปัญญาก่อนครับ ( เห็นชอบ - ดำริชอบ ) ถ้าไม่มีปัญญาก็รักษาศีลลำบากครับ..( ไม่รู้จะรักษายังไง ) แล้วถ้าศีลไม่ดี สมาธิก็ไม่เกิดครับ เพราะศีลนั้นเป็นผู้ส่งเสริสสมาธิครับ....  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 12:21 pm |
  |
ขอบคุณครับท่านอาจารย์  |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 12:50 pm |
  |
อะไรควรมีก่อน
ตอบว่า หากปุถุชน คนธรรมดา ก็ควร มีศีลก่อน คือ ความปกติเป็นข้อวัตร
เพราะ ปัญญา นั้นต้องอาศัย ศีลเป็นที่ตั้ง
ตามด้วยสมาธิ คือ เมื่อ จิตใจปกติแล้ว การทำสมาธิ ก็ทำได้ง่าย
เมื่อมีสมาธิ แล้ว จึงตามด้วยปัญญา
แต่หากใน กรณี พระอริยะเจ้า ปัญญาต้องมาเป็นลำดับแรก ตามด้วย ศีล แล้ว จึงสัมประยุตด้วย สมาธิ ครับ
ถามว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ เพราะพระอริยะ นั้น มี อธิศีล อธิปัญญา อธิสมาธิ
จึง ใช้ปัญญา มองเท่าทันตามความเป็นจริง แล้ว ถอนความเห็นที่ผิด เมื่อนั้น จิตจะกลับคืนสุ่ความปกติ ทันที จึงว่า มีปัญญาก่อนแล้วตามด้วยศีล
จากนั้น เมื่อทั้งสองอย่างหมุนวน แล้ว จึงต้อง ให้สัมประยุต ด้วย องค์สมาธิ เป็นกำลัง
ด้วยเหตุนี้ พระโสดาบัน จึง ละสังโยชน์ด้วยกำลังปัญญา อันประกอบไปด้วย ความเห็นผิด ความลังเล และ การถือข้อวัตรที่ผิด
พระสกิทาคา และ อนาคามี ละสังโยชน์ด้วยกำลังแห่ง ศีล คือ ละโทสะ และ ราคะ ด้วยการพิจารณาสู่ความปกติของใจ ไม่ให้กำเริบไปด้วย อาการแห่ง โทสะและราคะ
และ พระอรหันต์นั้น ละสังโยชน์ อันมี อุธัจจะ เป็นต้น ด้วยกำลังแห่งสมาธิ บริบูรณ์
มรรคมีองค์แปด จึงตั้งด้วย สัมมาทิฎฐิ และ จบลงด้วย สัมมาสมาธิ อันเป็นบริบูรณ์
แต่ทั้งหมด ต้อง เจริญ ควบคู่กันไปทั้งหมด |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 10:27 am |
  |
....อืม....น่าคิดครับ..."ปุถุชนต้องเอาศีลก่อน" แล้วถ้าไม่มีปัญญา( รู้ประโยชน์ของศีล ) แล้วจะเอาศีลไปเพื่ออะไรหนอ  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 2:16 pm |
  |
คุณ natdanai ครับ
เวลา โดนศรแทง จะเชื่อหมอและทำตามก่อน หรือว่า ถามชื่อ ที่อยู่ หรือใบปริญญาบัตรของหมอก่อนครับ
เช่นเดียวกัน การลงมือปฏิบัติ นั้นอาศัยศรัทธาก่อนเป็นที่ตั้ง และ ปัญญาเป็นสุดท้าย
พละ 5 อะไรขึ้นก่อนละครับ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 2:29 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
คุณ natdanai ครับ
เวลา โดนศรแทง จะเชื่อหมอและทำตามก่อน หรือว่า ถามชื่อ ที่อยู่ หรือใบปริญญาบัตรของหมอก่อนครับ |
อย่างน้อยก็ต้องรู้ก่อนครับว่าเป็นหมอ
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
การลงมือปฏิบัติ นั้นอาศัยศรัทธาก่อนเป็นที่ตั้ง และ ปัญญาเป็นสุดท้าย
พละ 5 อะไรขึ้นก่อนละครับ |
ศรัทธาขึ้นก่อนครับ.....
แต่....นิดนึงนะครับ...แล้วศรัทธามันจะเกิดจากอะไรล่ะครับ หากไม่ใช่ปัญญาที่พิจารณาเห็นว่าธรรมที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว
คิดไปคิดมาก็เหมือนไก่กะไข่เหมือนกันนะครับ....  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
มิตรตัวน้อย
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 12 พ.ค. 2008
ตอบ: 48
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 3:01 pm |
  |
ครั้งพุทธกาลที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
พระองค์ทรงใช้เส้นทางของมรรค ๘ คือ
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ = ปัญญา
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = ศีล
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ = สมาธิ
แสดงปฐมเทศนาเป็นครั้งแรก คือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" ให้แก่ ปัจจวัคคีย์ ทั้ง ๕ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ก็คือ มรรค ๘ มัชฌิมาปฏิปทา เส้นทางสายกลาง หากสรุปลงแล้วจะได้เป็น ปัญญา ศีล สมาธิ นี่คือของจริงเมื่อครั้งพุทธกาล
เราจะไม่เคยพบ เคยเจอว่า เมื่อประชาชนชาวเมืองมาเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงให้ทุกคนรับศีล เจริญภาวนา (สมาธิ) ก่อนแล้วจึงค่อยแสดงธรรม พระองค์แสดงธรรมไปเลยที่เดียว คนที่บรรลุธรรมตามที่พระองค์ทรงแสดงนั้น เป็นแสนเป็นหมื่น
ถามว่า
เรียงอย่างนี้ = ศีล สมาธิ ปัญญา
เรียงอย่างนี้ = ปัญญา ศีล สมาธิ
อย่างไหนถูก ขอให้ทุกท่านใช้ปัญญาของแต่ละท่านพิจารณาเอาเอง
ทีนี้จะมาพิจารณาว่าหากขึ้นต้นด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้จะเห็นได้ชัดเจนมาก มักจะพูดกันติดปากว่า ไปวัดเพื่อ รักษาศีล เจริญภาวนา การทำบุญ การเข้าวัดนั้น มักขึ้นต้นด้วยการขอศีล นั่งสมาธิ แล้วฟังธรรม
ถ้าถามเรื่องศีลว่าเป็นอย่างไร รักษาอย่างไร อย่างไรเรียกว่าศีลขาด ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ
สมาธิคืออย่างไร ลักษณะไหนที่เรียก ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ก็จะไม่รู้ ตอบไม่ได้
การรักษาศีลก็จะรักษาแบบ รักษาทรัพย์ สิ่งของ เข้าตู้เข้าเชฟล็อกกุญแจ การเกิดสีลัพพัตปรามาส (ลูบคลำศีล) ก็ง่าย การทำสมาธิ ก็ทำไปตามที่พระอาจารย์แนะนำสั่งสอนเท่านั้น แนวทางการเข้าถึงปัญญาก็รู้สึกว่ายาก จึงมักไม่ค่อยอยากใช้ปัญญา
ไม่อยากนึก ไม่อยากคิด ไม่พิจารณาเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว แนวทางนี้ไม่สนับสนุนให้ใช้ปัญญา ไม่ก่อให้เกิดปัญญาแก้ไขปัญหาของตัวเอง
เหมือนเรียนหนังสือ เข้าเรียน ป๒ => ป๓ => ป๑
หากเราเอา ปัญญา ศีล สมาธิ ขึ้นก่อนละ
ถามว่า ศีล สมาธิ เป็นปริยัติหรือไม่ ? ตอบว่าใช่ เพราะต้องศึกษา การรักษาศีลต้องศึกษาเรื่องศีลให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะรักษาให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ได้ แล้วเอาอะไรมาศึกษาศีล ศึกษาสมาธิ ก็ปัญญานั่นเอง
สุตมัยปัญญาและจินตามัยปัญญา เอามาศึกษาศีล ศึกษาสมาธิ เมื่อเข้าใจเรื่องศีล การรักษาศีลก็ง่าย การเกิดสีลพัตปรามาส หรือการลูบคลำศีล ก็ไม่เกิด การทำสมาธิก็รู้จักขั้นตอน รู้จักวิธีแก้ไข
ถามว่าเราเอาปัญญา มาจากไหน คนเราเกิดมาจากกุศลกรรมที่ฉลาด ไม่ว่าคนชาติใดภาษาใด เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีสติ มีปัญญา มีสมาธิติดตัวมาด้วยเสมอ เพียงแต่ต้องมาพัฒนา มาฝึกฝนให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ทั้งทางโลกและทางธรรม
แนวทางนี้ เป็นแนวทางให้ใช้ปัญญา พัฒนาปัญญา พัฒนาความคิด ทำให้การดำเนินชีวิต เป็นไปด้วยความรอบรู้ รอบคอบ มีปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิตของตัวเองและของผู้อื่นเสมอ
เหมือนเรียนหนังสือ เข้าเรียน ป๑ => ป๒ => ป๓
สัมมาทิฐินี้ (ปัญญาความเห็นชอบ) เหมือนหัวขบวนรถจักร ลากตู้ขบวนอีกเจ็ดตู้ให้ตามมา พระอาจารย์บางท่านเรียก มรรคแท้มีอันเดียว คือ สัมมาทิฐิ นอกนั้นอีกเจ็ดเป็นบริวาร
ปัญญาจึงยิ่งใหญ่นัก คนเหนือกรรมได้ก็ด้วยปัญญา
ผู้ใดมีปัญญา ผู้นั้นเป็นผู้สูงสุด
 |
|
|
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 3:43 pm |
  |
อือมม....เอาไงดีละ  |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 4:26 pm |
  |
ก็คนอ่านไม่ทำความเข้าใจให้ดี ว่าผมแยกให้สองกรณี
กรณีแรก คือ สำหรับพระอริยะ
กรณีที่สอง ของปุถุชน
ก็คำถามก็คือ ควรเริ่มอะไรก่อน ก็พระพุทธองค์ ก็วางตามลำดับไว้แล้ว เหตุผลก็มีแล้วว่า ศีล นั้น ต้องเอาให้ดีก่อน
อีกทั้งพระไตรปิฎก นั้น เรื่องของพระวินัย ก็มาก่อน
ความปกติของใจต้องมาก่อน ไม่เช่นนั้น จะเอาใจไม่ปกติไปพิจารณาจะเอาปัญญาที่ไหน ในเมื่อใจมันไม่ปกติ มันก็คิดผิดทิศผิดทาง
เรื่องว่าไก่กับไข่ มันก็คนละกรณี
ส่วนที่ว่า ต้องรู้จักก่อนว่าเป็นหมอ อันนี้ ผมต้องให้คุณ นัท ไปเถียงกับพระพุทธองค์แล้วหละครับ เพราะพระพุทธองค์เป็นคนเอ่ยภาษิตนี้เองว่า
คนโดนศรปักแล้ว จะให้หมอถอนออกก่อน หรือว่าจะถามประวัติหมอก่อน จึงยอม
ในการกระทำอะไรก็ตาม แม้กระทั่งอ่านหนังสือ คุณเอาปัญญานำก่อน หรือว่า ความตั้งมั่นก่อน จิตใจไม่ปกติมันไปอ่านหนังสือรู้เรื่องไหม
ทีนี้ การฟังพระ เทศ การทำบุญ มีไหมที่ใช้ปัญญาขึ้นก่อน
มีแต่สมาทาน ศีลก่อนทั้งนั้น
ใครมีเหตุผลดีกว่านี้ขอเชิญครับ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 5:31 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ก็คนอ่านไม่ทำความเข้าใจให้ดี ว่าผมแยกให้สองกรณี
กรณีแรก คือ สำหรับพระอริยะ
กรณีที่สอง ของปุถุชน
|
เราเอาแต่เพียงกรณีของปุถุชนนะครับ เพราะสำหรับพระอริยะแล้วคงไม่สงสัยแบบนี้แล้วกระมังครับ
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ก็คำถามก็คือ ควรเริ่มอะไรก่อน ก็พระพุทธองค์ ก็วางตามลำดับไว้แล้ว เหตุผลก็มีแล้วว่า ศีล นั้น ต้องเอาให้ดีก่อน อีกทั้งพระไตรปิฎก นั้น เรื่องของพระวินัย ก็มาก่อน |
เข้าใจครับว่าต้องเริ่มที่ศีลก่อน...แต่ไอ้ตอนก่อนที่จะเริ่มนี่ล่ะครับ เป็นปัญญาก่อนรึป่าว
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ความปกติของใจต้องมาก่อน ไม่เช่นนั้น จะเอาใจไม่ปกติไปพิจารณาจะเอาปัญญาที่ไหน ในเมื่อใจมันไม่ปกติ มันก็คิดผิดทิศผิดทาง |
พิจารณาย้อนกลับก็กลับมาติดที่รู้อีกนั่นล่ะครับ คือว่า ก็ต้องรู้ก่อนอีกล่ะครับว่าใจที่เป็นปกตินั้นเป็นอย่างไร
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
เรื่องว่าไก่กับไข่ มันก็คนละกรณี |
....
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ส่วนที่ว่า ต้องรู้จักก่อนว่าเป็นหมอ อันนี้ ผมต้องให้คุณ นัท ไปเถียงกับพระพุทธองค์แล้วหละครับ เพราะพระพุทธองค์เป็นคนเอ่ยภาษิตนี้เองว่า
คนโดนศรปักแล้ว จะให้หมอถอนออกก่อน หรือว่าจะถามประวัติหมอก่อน จึงยอม |
.... พระพุทธเจ้าดับขันธ์ไปนานแล้ว....แล้วผมจะรู้จากใครได้ล่ะครับ...
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ในการกระทำอะไรก็ตาม แม้กระทั่งอ่านหนังสือ คุณเอาปัญญานำก่อน หรือว่า ความตั้งมั่นก่อน จิตใจไม่ปกติมันไปอ่านหนังสือรู้เรื่องไหม |
จะอ่านหนังสือก็ต้องรู้จักตัวอักษรก่อนรึป่าวครับ ไม่เรียนสะกดคำมาก่อนแล้วมันจะอ่านออกหรือครับ
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ทีนี้ การฟังพระ เทศ การทำบุญ มีไหมที่ใช้ปัญญาขึ้นก่อน
มีแต่สมาทาน ศีลก่อนทั้งนั้น |
ใช่แล้วครับ....มีแต่สมาทาน ศีลก่อนทั้งนั้น.........แต่ไอ้ตอนก่อนจะเอาตัวเองไปทำอย่างนั้นน่ะครับ มันจะต้องรู้ก่อนป่าวว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากการฟังเทศ ฟังธรรม...
 |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 11:30 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
เข้าใจครับว่าต้องเริ่มที่ศีลก่อน...แต่ไอ้ตอนก่อนที่จะเริ่มนี่ล่ะครับ เป็นปัญญาก่อนรึป่าว |
เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มา คุณมีศีลมาก่อน หรือว่า ปัญญามาก่อน
คงจะจบได้นะ
ถ้าไม่เข้าใจอีกผมจะได้ แสดงอรรถาธิบายให้ฟัง ต่อ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
30 ส.ค. 2008, 2:16 am |
  |
ขอร่วมแสดงความคิดเห็นครับ
ผมคิดว่า ไม่ต้องเรียงลำดับ ก็ได้ครับ
หรือไม่จำเป็นต้องสลับลำดับก็ได้
เริ่มตอนนี้เลยอะไรก็ได้ครับ
ถ้าไม่เอาอะไรซักอย่าง
มัวแต่คอยกังวลว่าต้องอันนั้นอันนี้ก่อน ก็ไม่ได้เริ่มซักที
ถึงเวลาควรมีศีลก็มีศีล
ถึงเวลาควรมีสมาธิก็มีสมาธิ
ถึงเวลาควรมีปัญญาก็มีปัญญา
เวลากิเลสมาก็ไม่ได้เข้าแถวเรียงลำดับ
ว่าต้อง ราคะ โทสะ โมหะ
ศีลก็มีประโยชน์ของศีล
สมาธิก็มีประโยชน์ของสมาธิ
ปัญญาก็มีประโยชน์ของปัญญา
ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
พอปฏิบัติไป ๆ ก็จะไปตามแบบที่ท่านว่าครับ
ศีลเป็นบาทฐานให้สมาธิ
สมาธิเป็นบาทฐานให้ปัญญา
ปัญญาเป็นบาทฐานให้ถึงวิมุตติ
สุดท้ายก็ต้องมรรคสมังคี
แล้วเรียงลำดับได้มั้ยครับ
เมื่อถึงวิมุตติ
มรรคก็ถูกวาง
อีกล่ะ เพราะไม่ต้องใช้แล้ว |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
30 ส.ค. 2008, 4:53 am |
  |
ถะ ถะ ถะ ถู ถู ถูกๆๆ ถูกต้องนะค๊าบบบบบ!!! คุณ guest
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
30 ส.ค. 2008, 9:44 am |
  |
คุณ guest พระพุทธองค์ เรียงอะไร พระอรหันต์เรียงอะไร ในพระไตรปิฎกนั้นไม่คลาดเคลื่อน
พระวิันัยมาก่อน
ใน อริยสัจ ปัญญามาก่อน
และ คำสอน ก็กล่าวคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าจะบอกว่า อะไรก่อนก็ได้ มันก็เลยเป็น ความไม่ก้าวหน้า ในทางธรรม
คุณ guest ก็ต้องดูว่า คำถามของคนถาม เขาถามว่า ควรเอาอะไรตั้งต้น
คนกินเหล้าเมายา คนเบียดเบียนสัตว์ คนมุสา เป็นประจำ ไม่ซื่อสัตย์ต่อใจตนเองเป็นประจำ คนประพฤติผิดในกาม คนโลภ อยากได้ทรัพย์ของคนอื่น
คุณคิดว่า คนเหล่านี้จะเอาปัญญาตั้งต้นได้เลยหรือ
อีกทั้งแม้คนที่มีปัญญา จะพิจารณาให้ยิ่งขึ้นไป ก็ต้องเอาความปกติของใจนั้นพิจารณา
จึงต้องกล่าวว่า เอาศีลตั้งต้นถูกต้องแล้ว จะบอกว่าเอาอะไรขึ้นก่อนก็ได้ มันก็จะเป็นแบบคนไม่เข้าใจ ในการสังเกตุอันละเอียด สรุปเอาง่ายๆ ตามความเข้าใจตน |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
30 ส.ค. 2008, 5:42 pm |
  |
คุณ ขันธ์ ครับ
กระบี่อยู่ที่ใจครับ
ถึงเวลาต้องการใช้ประโยชน์อะไร
ก็ใช้ประโยชน์นั้นได้ทันที
จะเอาไปถางหญ้าก็ได้
หั่นเนื้อก็ได้
ทิ่มหัวใจข้าศึกก็ยังได้ครับ
อยากใช้ประโยชน์อะไรใช้ได้ทันทีครับ
ไม่จำเป็นต้องถางหญ้าก่อน
แล้วค่อยมาหั่นเนื้อ
สุดท้ายค่อยทิ่มหัวใจข้าศึกครับ
สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส
เรียงตามแบบที่ว่า
สิ่งหนึ่งเป็นปัจจัยต่อสิ่งหนึ่งครับ
ไม่ได้ทรงตรัสว่า
ต้องปฏิบัติเรียงตามสิ่งนั้น ๆ ไปครับ |
|
|
|
  |
 |
ศุภมณฑา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 07 ม.ค. 2008
ตอบ: 43
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
30 ส.ค. 2008, 7:43 pm |
  |
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะค่ะ (เคารพในความคิดที่แตกต่าง)
ศีลมาก่อน นั้นถูกแล้วค่ะ (ถ้ากาย วาจา ใจ ไม่สำรวมลง )
ควบคุมไม่ได้ อะไรก็ไม่เกิด
ถ้าเทียบทางพุทธนะค่ะ (เรียกว่าอะไร โลกุตระหรือเปล่า คืออธิบายไม่ค่อยถูกได้แต่เข้าใจถ่ายทอดไม่ได้ค่ะ)
ถ้าทางโลก ไม่มีศีลปัญญาก็เกิดได้ เช่น คนนี้ปัญญาดีมาก สมองดีมาก
ฉลาดในการเอารัดเอาเปรียบคน คตโกงสาระพัด เรียกได้ว่าไม่มีศีลแต่มีปัญญาในการคิดเกมโกง อะไรประมาณนี้ |
|
_________________ ขยัน อดทน ทำดี คิดดี พูดดี จะประสบความสำเร็จที่ดี |
|
   |
 |
|