Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้สวดชินบัญชรจะพบประสบการณ์น่าอัศจรรย์
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ทัพหลวง
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 28 มิ.ย. 2008
ตอบ: 161
ตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 9:58 am
ถาม ปัจจุบันเวลาสวดคาถาชินบัญชร ทำบุญ ทำความดีต่างๆ ก็มักอธิษฐานกับพระพุทธองค์เสมอว่าขอให้อานิสงส์แห่งบุญที่เราทำนี้ ช่วยดลบัลดาลให้สามีมีสติตื่นขึ้น อย่าได้มัวหลับใหลเห็นกงจักรเป็นดอกบัวต่อไปอีกเลย หากอธิษฐานอย่างนี้เรื่อยๆไม่ทราบว่าจะพอช่วยเขาได้บ้างหรือไม่?
มักมีการบรรยายสรรพคุณบทสวดมนต์ต่างๆกันมากครับ โดยเฉพาะในหมู่ชาวพุทธไทยเรา สวดกี่จบๆแล้วจะทำให้เกิดผลดีอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีไปไกลถึงขนาดสวดบางบทแล้วไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายอีก อยู่เป็นสุขค้างฟ้าบนสรวงสวรรค์ชั่วนิรันดรก็ยังมี ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่าบทสวดมนต์คืออะไร จึงจะทราบอานิสงส์ของการสวดอย่างถ่องแท้ และอาศัยเป็นเครื่องช่วยได้ถูกเรื่องถูกทาง
หากคุณแปลบทสวดต่างๆเป็นไทย จะพบว่าบทสวดมนต์ก็คือการท่องจำความรู้ทางศาสนาบ้าง บรรยายคุณลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง หรือสรรเสริญพระรัตนตรัยบ้าง สำหรับชินบัญชรนั้น หากใครเคยอ่านฉบับแปลเป็นไทยจะพบว่ามีการอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบจำเพาะเจาะจงชื่อของพวกท่านมาประดิษฐาน ณ ตำแหน่งต่างๆในเรา ซึ่งเป็นอุปเท่ห์หนึ่งทางไสยเวทวิทยาคม
ผู้ประพันธ์บทสวดต่างๆได้นั้น ต้องมีอัจฉริยภาพเกินมนุษย์อยู่มาก นั่นคือนอกจากจะรู้เรื่องภาษาอย่างแตกฉาน ยังต้องมีทักษะในการร้อยเรียงให้ออกเสียงแล้วเกิดความไพเราะคมคาย โดยเฉพาะชินบัญชรจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของการประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ หากลองสวดเร็วๆจะรู้สึกถึงความคมกริบจากกระบวนการเปล่งคำโดยรวม คนคิดประดิษฐ์อะไรอย่างนี้ได้ต้องมีจิตที่แทงทะลุศาสตร์หลายๆด้าน เช่นเข้าใจเรื่องพลังสัมพันธ์อันเป็นนามธรรม เข้าใจสรรคำวิเศษมาประกอบให้เกิดภาวะเข้มขลังอุกฤษฎ์ แม้ผู้ท่องบ่นสวดภาวนาไม่รู้ความหมายเลย ก็เหนี่ยวนำให้เกิดกำแพงปกป้องน่าเกรงขาม ตลอดจนเกิดรัศมีเสน่ห์ดึงดูดใจได้มากกว่าเดิม
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้สวดชินบัญชรจะพบประสบการณ์น่าอัศจรรย์ประการต่างๆ
นับตั้งแต่รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งและคมคายขึ้น มีอำนาจในตัวสูงขึ้น ชินบัญชรจึงเป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลาย โดยเฉพาะในไทยตั้งแต่สมเด็จโต พรหมรังสีท่านดัดแปลงให้สั้นและถวาย ร.๔ เป็นต้นมา (หลายคนเข้าใจว่าสมเด็จโตเป็นผู้ประพันธ์ จริงๆไม่ใช่นะครับ ชินบัญชรเป็นของโบราณที่แพร่หลายในหลายประเทศ ของเดิมยาวกว่านี้มาก)
อย่างไรก็ตาม ตบะอำนาจซึ่งเกิดขึ้นง่ายๆมักนำมาซึ่งความทะนง ความรู้สึกเหนือคนอื่น ตลอดจนการเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาไปในทางเดียวกับลัทธิที่นิยมมนต์กฤตยาอาถรรพณ์ คือมองว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้บันดลบันดาลฤทธิ์อำนาจและความปลอดภัยทั้งหลายให้เรา ขอเพียงเราสวดวิงวอนร้องขอเท่านั้น
ตัวอย่างในกรณีนี้คือคุณอาจเชื่ออยู่ลึกๆว่าถ้าสวดชินบัญชรแล้วจะอธิษฐานขอให้เกิดอำนาจเปลี่ยนแปลงจิตใจของสามีได้ ขอบอกตรงๆครับว่ามีส่วนกระทบสามีได้จริง
คือสามีคุณอาจเกิดความคร้ามเกรง หรือเห็นคุณมีความคมเข้มบางประการที่น่าเกรงใจ ตลอดจนทำให้เขาขนลุกได้ในบางครั้งเมื่อคุณปั้นท่านิ่งขรึม
ประเด็นสำคัญคือ ความน่าเกรงขามกับเสน่ห์ดึงดูดใจไม่ใช่สะพานเชื่อมระหว่างทางเก่าของเขากับทางใหม่ในธรรมสำหรับเขา และบางทีอาจจะไม่ใช่แม้แต่สายใยผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างสามีกับภรรยาที่อยู่ร่วมกัน กระแสความเมตตาต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมด ทั้งการเชื่อมทางเก่ากับทางใหม่ ทั้งการกล่อมเกลาจิตใจ และทั้งเป็นสัมผัสเย็นละไมให้รู้สึกถึงเงาสงบใต้ร่มธรรมในช่วงเริ่มต้นสำหรับเขา
ผมไม่ได้ยุให้คุณเลิกสวดชินบัญชร แต่อยากให้ทดลองสวดบทอิติปิโสฯ ซึ่งเป็นการสรรเสริญพระรัตนตรัย จาระไนคุณแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์โดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งโดยธรรมชาตินั้น เมื่อเราสรรเสริญคุณวิเศษอันใด ก็เท่ากับเรายอมรับกระแสแห่งคุณวิเศษนั้นๆเข้ามาในเราด้วยอยู่แล้ว
ภาษาที่ร้อยเรียงขึ้นเป็นบทสวดอิติปิโสฯมีความเพราะพริ้งในแบบที่อ่อนโยน ก่อให้เกิดความแช่มชื่นสบายใจ ที่สำคัญคือถอดแบบมาจากพุทธพจน์โดยตรง ใครสวดอิติปิโสฯทุกค่ำเช้าด้วยใจยินดี หรือตั้งจิตไว้ในแบบรู้ทางที่จะสวดด้วยโสมนัสตั้งแต่ต้นจนจบได้หลายๆครั้ง จะรู้สึกถึงเมตตาที่ก่อตัวขึ้นเป็นทุนใหญ่เมื่อรู้สึกถึงเมตตาเยือกเย็นแล้ว
ลองอธิษฐานนิ่งๆอยู่ในความสุขนั้นว่า เมื่อคุณปรากฏตัวให้สามีเห็น หรือสามีได้ยินเสียงคุณพูด ขอให้สามีจงได้ส่วนแห่งความสุขเช่นเดียวกับคุณ
หากทำทุกเช้าค่ำ ทุกวัน นั่นก็คือการแผ่เมตตาครบวงจร คือทั้งในขณะลับหลังกันไม่เห็นตัว ทั้งในขณะอยู่ต่อหน้าพูดจากัน คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองก่อน แล้วจะเห็นผลเป็นความสงบอ่อนโยนลงในสามีเป็นอันดับต่อมาอย่างแน่นอน
การแผ่เมตตาให้กันเป็นพุทธวิธี
เป็นสิ่งที่ผู้คนในยุคพุทธกาลนิยมกระทำกัน และได้ผลสำเร็จเป็นมิตรไมตรีไม่มีระคายต่อกัน เพราะเป็นการปรับพื้นฐานทางใจต่อกันใหม่ แล้วต่อยอดเป็นพฤติกรรมอันเป็นที่รักในการอยู่ร่วมกัน มนุษย์มีสัญชาตญาณเอาดีเข้าตัว เมื่อใจเขาเห็นชัดว่าชีวิตแบบใดดีกว่า เป็นสุขกว่า เย็นรื่นกว่า ก็ย่อมเลือกชีวิตแบบนั้นในที่สุด ไม่อาจทนต้านได้ เมื่อเขาเลือกที่จะเย็นตามคุณ ก็แปลว่าคุณสามารถชักนำให้เขาไปพบพระ หรือนำหนังสือธรรมะไปให้เขาอ่านได้โดยไม่พบกระแสต้านดังเคย สำคัญคืออย่าเพิ่งผลีผลาม รอดูจังหวะที่เขาเป็นทุกข์และขอคำปรึกษาเอง ตรงนั้นจะเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุด
นอกจากอาศัยเครื่องทุ่นแรงช่วยในเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว ก็ควรมองให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาอย่างชัดเจนด้วย
๑) สำรวจด้านดีในตัวคุณที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขา เขาได้ส่วนนิสัยแบบใดในด้านดีของคุณไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นในด้านความคิด คำพูด หรือการกระทำ คู่ผัวตัวเมียที่อยู่ร่วมกันนานๆต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งถ่ายเทถึงกัน ตัวอย่างเช่นแต่เดิมไม่ชอบให้อาหารสัตว์ พอเห็นเราให้อาหารสัตว์บ่อยๆจนเป็นภาพชินตา ก็อาจกลายเป็นแนวโน้มที่เขาจะชอบให้อาหารสัตว์ตาม
เมื่อพบว่าด้านดีของเราอันใดแปรใจเขาให้โน้มเอียงมาใกล้เราได้ ก็ให้เร่งเพิ่มคุณงามความดีในด้านนั้นๆให้มากขึ้น ด้วยเจตนาให้เขาได้ส่วนดีจากการอยู่กับเราไปมากที่สุด
๒) สำรวจด้านเสียในตัวคุณที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขา เขาได้ส่วนนิสัยแบบใดในด้านเสียของคุณไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นในด้านความคิด คำพูด หรือการกระทำ เช่นคนที่อยู่ร่วมกันมักแสดงความหงุดหงิดใส่กันง่ายๆเมื่อไม่ได้อย่างใจ ไม่มีใครเห็นคนอื่นหงุดหงิดแล้วอยากคล้อยตามหรืออยากโอ๋ตลอดไป มีแต่ว่าเห็นใครหงุดหงิดใส่ก็อยากหงุดหงิดตอบ
เมื่อพบว่าด้านเสียของเราอันใดผลักไสเขาห่างจากธรรมะ ก็ให้เร่งลดนิสัยใจคอในด้านนั้นๆให้น้อยลง ด้วยเจตนาให้เขางดเว้นอกุศลธรรมนั้นๆตามเรา
โดยสรุปคือเราอยากให้ใครเป็นอย่างไร ก็จำเป็นต้องใช้ตัวเราเองเป็นสะพานให้เขาข้ามมาจากฟากเดิมของเขา และวิธีที่จะเป็นสะพานได้อย่างแท้จริง ก็คือเราต้องทอดตัวไปถึงฝั่งนั้นแล้วอย่างมั่นคงเป็นการกรุยทางให้ก่อนครับ
http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare011.htm
__________________
บัวหิมะ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
ตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 4:58 pm
เป็นคำแนะนำที่ดี อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ท่านทัพหลวง
_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th