ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
เอนก ชุ่มมงคล
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 19 ส.ค. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): พะเยา
|
ตอบเมื่อ:
20 ส.ค. 2008, 2:00 pm |
  |
ความคิดของผมนั้นการที่เขาผู้นั้นได้ไปก่อให้เกิดกรรมที่ทำให้ตนเองได้รับความทุกข์ทนทรมารนั้นเขาเองคงไม่ได้ปราถนาที่จะต้องอยู่ในภาวะนั้นอย่างแน่นอนที่สุด
และบางที่เขาผู้นั้นอาจจะก่อกรรมขึ้นโดยไม่รู้ตัว/ไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าเค้าได้รับผลกรรมนั้น แนวทางที่เขาผู้นั้นจะแก้ไขหรือหาวิธีการที่จะแก้กรรม ลดกรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้นมาเพื่อนที่จะหมดทุกข์ หรือ หลุดพ้นจากกรรมที่ได้รับอยู่นั้นจะต้องยังไง
ชึงผมเองเคยได้ยินถึงเรื่องเล่าของเปรตดิบ จากที่ต่างๆ ทั้งชาวบ้าน ชุมชน หรือ แม้แต่พระสงฆ์เองก็ตาม แต่ผมไม่เคยเห็นวิธีการแก้กรรมของผู้ที่ติดอยู่ในบวงกรรมหรือความทุกข์ทรมารนั้น หรือให้ญาติพี่น้อง ของเค้าได้แก้ไขเพื่อให้เค้าได้หลุดพ้นเลย
ผมเองได้แต่มีข้อสงสัยแต่ก็ไม่สามารถที่จะไขปัญหานั้นได้
เพื่อที่บ้างที่นั้นผู้ที่ได้ทำกรรมไว้จนได้รับความทนทุกข์ทรมารนั้น เขาจะได้มีโอกาศได้ทำดีหรือหาวิธีแก้ไข้บาง
ถ้าท่านผู้รู้ท่านใดพอรู้ก็ขอความกรุณาตอนกระทู้ของผมด้วยนะครับหรือว่า
ที่ 083-5777566
e-meil. anek_aromdee@hotmail.com
จะยินดีอย่างยิ่งครับ |
|
_________________ ทำดีได้ดี อย่าดีแต่ทำ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
20 ส.ค. 2008, 2:12 pm |
  |
อธิบายให้ฟังหน่อยว่า เปรตดิบเป็นอย่างไร มีอาการอย่างไร เศร้าใจ ทุกข์ใจอย่างไร ถึงจะพอแนะนำหนทางให้ได้ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
เอนก ชุ่มมงคล
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 19 ส.ค. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): พะเยา
|
ตอบเมื่อ:
20 ส.ค. 2008, 3:03 pm |
  |
ผมจะขอยิบเอาเรื่องเล่าของเว็ปหนึ่งบอกให้นะครับคือเว็ป
www.agalico.com หรือลิงค์ที่ http://www.agalico.com/board/archive/index.php/t-5698.html
เปรตดิบ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p>
เปรตดิบ คำคำนี้ไม่ทราบว่าจะมีในพจนานุกรมหรือไม่นะครับ บางคนได้ยินแล้ว อาจเข้าใจว่า เอมันคงเป็นเปรตที่ยังไม่โดนความร้อนที่อุณหภูมิที่พอเหมาะมั๊ง มันเลยยังไม่สุก
จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้นะครับ
แต่ว่าเปรตดิบในที่นี้
เป็นลักษณะอาการของบุคคลที่สร้างกรรมชนิดหนึ่ง
อาการของเปรตดิบนี้ เท่าที่กระผมได้ยินมา อีกทั้งคำพูดของผู้ใหญ่ที่ท่านเล่าให้ฟัง และเมื่อคืนวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2549 กระผมขอเขียนเป็นบันทึกไว้หน่อยว่า กระผมได้ไปสนทนาธรรมกับพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่ง กระผมไปกันกับเพื่อนอีก 2 คน ท่านเลยเล่าให้ฟัง
กระผมขออ้างคำพูดพระนะครับ อาจจะตกหล่นบ้าง แต่ในใจความกระผมเก็บมาเล่าให้ฟังประมาณนี้
พระรูปนี้ท่านบอกว่าเป็นใจความกระผมจำได้ว่า เปรตดิบหนะจะเป็นอาการของคนที่ ทำผิดโดยเป็นกรรมจากการลักของสงฆ์ ท่านว่ามีคนแถวๆเชียงรายนี่แหละ อ.เมือง ต.นางแล แถวๆละแวกไม่ไกลจากวัดป่าปฐมพุทธารามนี่แหละ เขาเป็นเปรตดิบ คือเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าในช่วงเวลากลางคืนนั้น จิตใต้สำนึกของเขาจะออกมาปรากฏร่างเป็นเปรตให้ชาวบ้านและคนในละแวกนั้นเห็น ชาวบ้านเค้าคงจะเห็นหน้าของเปรตตนนั้นและรู้ว่าเป็นใคร พระท่านก็รู้ว่าเป็นใครชื่อนามสกุลพร้อม แต่ไม่ขอกล่าวในที่นี้ อาการของเปรตพวกนี้ คือตัวเองยังเป็นคนแต่จิตเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานจึงมาปรากฏกายให้คนเห็นในเวลาตัวเองนอนหลับ และอีกไม่นานในเวลาต่อมาคนผู้นั้นก็ได้ถึงแก่กรรมไป คราวนี้หละคงไปเป็นเปรตสุกแล้ว คือเป็นเปรตเต็มขั้น กายเป็นเปรตจิตเป็นเปรตได้รับความทุกข์ทรมานเต็มรูปแบบตามกรรมที่ตนทำมา
อีกกรณีหนึ่งนะครับอันนี้เป็นเรื่องที่ยายและแม่ของกระผมและชาวบ้านแถบๆหมู่บ้านและตำบลของกระผม ที่จังหวัดอุบลฯทราบกันดี เป็นกรณีเปรตดิบที่ฮือฮามากๆ เป็น talk of the townในสมัยนั้น
เปรตตนนี้เป็นผู้หญิง เขาก็เป็นคนมีฐานะในสังคมพอสมควร แต่ว่าใจเขาไม่สมควรกับฐานะไปหน่อย
เขาเป็นผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้ว ลักษณะการเป็นเปรตดิบของหญิงคนนี้ เธอจะมีลักษณะปวดหัวเป็นประจำที่ตื่นมาหรือหลังจากการตื่นนอน รู้สึกว่าคล้ายจะเป็นโรคบางอย่าง ที่ทรมานมาก หมอที่ไหนๆก็รักษาไม่หาย
ตอนกลางคืนพอคุณเธอนั้นหลับ ก็จะไปปรากฏกายให้ผู้คนชาวบ้านเห็นและต่างหวาดกลัวกันต่างๆนานา บริเวณที่เธอปรากฏตัวนั้น เป็นแถวบริเวณกอไผ่ข้างทางเข้าหมู่บ้านถ่อน ต.ท่าลาด อ.วารินฯ จ.อุบลฯ ซึ่งเป็นกอไผ่ที่มีอยู่ 2 ข้างทาง คุณเธอจะมาปรากฏเป็นเปรตโดยเอาขาสองข้างนั้นจับกอไผ่ให้โน้มเข้ามาหากันแล้วเอาหัวห้อยลงมา ถูไถกับพื้นดิน ทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น
ผู้คนที่เห็นต่างหวาดกลัวไปตามๆกัน อืมลืมบอกไปครับว่า เปรตที่มาแสดงตัวหนะ ตัวเธอเป็นเปรตแต่ว่าหน้าของเธอหนะ เป็นหน้าของผู้หญิงคนนั้น ผู้คนที่ไปมาระหว่างหมู่บ้านนั้นจะพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้กันมาก สมัยก่อนนั้นมีงานวัดมีหนังกลางแปลง ความบันเทิงสมัยใหม่เป็นสิ่งที่คนบ้านนอกถือว่ายังไม่ค่อยแพร่หลาย ทีวีก็พึ่งมีแค่บ้านครูหอมแค่คนเดียว คนทั้งแถบก็ไปดูทีวีที่บ้านครูหอม ดังนั้นเวลามีงาน มีหนังกลางแปลง นี่ชาวบ้านจะหลั่งไหลกันไปดูเป็นที่นิยมมากๆ ถ้ามีงานในหมู่บ้านนี้นะเขาหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้กัน ถ้าจำเป็นต้องเดินผ่านก็ต้องไปหลายๆคน แล้วช่วยกันวิ่งเอา แต่บางทีทางนี้มันไปไม่ได้ เพราะว่าไอ้คุณเปรตนี่มันมาเอากอไผ่ มาตันทางไว้ คนเขาก็กลัววิ่งหนีกันกระเจิงไปแตกสานาโมไปกัน
มาดูถึงกรรมที่ทำให้คุณเธอเป็นเปรตกัน
หญิงผู้นี้เป็นผู้มีฐานะพอสมควรและเธอมีครอบครัวแล้ว แต่เรื่องของตัณหาเธอปล่อยวางไม่ได้ ไปชอบพอกันกับเจ้าอาวาสวัดเข้า คงจะเหมือนนักเตะโล้นทองคำกระมัง ถึงได้มีเสน่ห์มากขนาดนี้ ภาษาอิสานเขาเรียกว่า เป็นกันกับเจ้าอาวาส หนักๆเข้า ก็คงมีเรื่องที่บัดสีกัน เรื่องเลยแดงขึ้นมาชาวบ้านทนเห็นความชั่วไม่ไหวเลยขับไล่พระรูปนั้นออกไป และได้มีการทำพิธีโบราณครั้งประวัติศาสตร์ของคนแถบนั้นเลย ทำพิธี พลิกแผ่นดินวัด เพราะว่าพระชั้นผู้ใหญ่ระดับนั้นทำเรื่องเสียหายใหญ่หลวง เขากลัวจะเกิดอาเพทกัน เลยทำพิธีพลิกแผ่นดินใหม่ ภาษาอิสานเรียก ปิ้นแผ่นดินใหม่(แผ่นดินปิ้น) โดยขุดพื้นดินภายในบริเวณวัดกลับ เอาหน้าดินกลับลงไปใต้ดิน ให้มันกลับกัน จนทั่วทั้งวัด จากนั้นมาคงไม่นานเท่าไหร่ หญิงคนนั้นก็คงกลายไปเป็นเปรตที่สุก ตามวิบากกรรมที่เธอสั่งสมทำ แต่พระรูปนั้น ไม่มีปรากฏหลักฐานว่าไปตายที่ใด เขาเล่ากันไว้แต่กรณีของเปรตหญิง
ตามความคิดเห็นของกระผมคิดว่า สิ่งที่ทำให้หญิงคนนี้เป็นเปรตน่าจะมาจากการที่มีความสัมพันธ์กับพระ แล้วพระเอาของสงฆ์หรือไม่ก็เอาของส่วนรวมมามอบให้หญิงคนนี้ไว้ หรือไม่ก็เธอไปถือเอาของส่วนรวมในวัดกลับบ้าน เพราะด้วยความที่เธอไปสนิทถึงขั้นนั้น กับเจ้าอาวาส เข้าออกวัดได้โดยสบาย
จากกรณีของเปรตดิบทั้งสองนี้ ขอกล่าวเตือนใจท่านทั้งหลายไว้ว่า เรื่องของกิเลสตัณหาหนะตราบใดที่เราเป็นปุถุชนอยู่มันก็คงยังมีกันแหละ เพราะเรายังไม่ได้ชำระกิเลสออกจากใจ มันย่อมมีความอยาก ความโลภ ความหลง ความโกรธฯลฯ เป็นธรรมดา แต่ว่าถ้าเราอยู่ในกรอบที่สมควรเราก็จะไม่ได้รับโทษภัยอันหนัก กรอบที่สมควรคือมีศีลมีธรรม ถึงเราจะอยาก จะโลภ ฯลฯ แต่เราก็ทำกินสุจริต ไม่โกงใคร ไม่ไปฆ่าใคร เราอยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม วิบากแห่งกรรม ก็จะไม่ตอบสนองเราอย่างรุนแรง ดูไว้เป็นตัวอย่างแล้วกันครับ
ว่าแต่ว่าอ่านมาถึงที่นี้ซะยืดยาว บางท่านอาจจะแย้งว่า โอ๊ยอีชั้น ไม่มีวันเชื่อหรอกเจ้าค่า
. อีชั้นเห็นคนโกงกินบ้านเมืองกันจนรวย ยังไม่เห็นมันได้รับผลกรรมเลยเห็นแต่มันรวยเอาๆ อีชั้นไม่เชื่อเจ้าค่า!!.....
และบางคนอาจจะคิดในใจว่า โอ๊ยไอ้งั่ง!!! มึงหนะล้าหลังไปเชื่อทำไมเรื่องแบบนี้ ถ้าเรื่องแบบนี้มีจริง ทำไมเขานั่งเครื่องบินบนฟ้าทำไมไม่เจอวิมานของเทวดาลอยอยู่ !!!
อันนั้นเชื่อไปเถอะนะครับ กระผมไม่ว่าเพราะมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลของท่าน กระผมมีความเห็นตามนี้
อันนี้ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อนะครับและไม่ได้มาโกหกพกลม กระผมขอบอกว่าโกหกไปกระผมก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ก็แค่มาเตือนกัน
กฏแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนลำพังสติปัญญาระดับเราๆปุถุชนยังเข้าใจกันผิดพลาดได้ครับ กรรมบางอย่างมันก็อุ้มชูไอ้เจ้าคนชั่วไว้ ถึงเขาชั่วในวันนี้ แต่ในอดีตเขาอาจจะสร้างกรรมดีไว้มากก็ได้ เขาจึงยังคงเสวยสุขอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่วาระกรรมมาถึง เขาก็จะได้รู้กับตัวของตัวเอง
ยังไงเราเชื่อไว้เลยว่าเราทำดียังไงมันก็ต้องได้ดี ความชั่วยังไงมันก็ต้องชั่ว เชื่อมั่นเหอะ ทำเองรู้เอง
ฝากไว้หน่อยแล้วกันนะครับ ของสงฆ์หรือของส่วนรวมถ้าเราๆท่านๆไปนำมาเป็นของส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหมู่สงฆ์ หรือส่วนรวมแล้ว กรรมหนักเชียวหละ ระวังกันไว้ แต่ถ้าใครได้ผิดพลาดไปแล้ว ก็ให้ตั้งใจกันทำดีใหม่แทน
เพราะในอดีต ถึงเราจะชั่วแต่เราก็กลับไปแก้ไขมันไม่ได้ อดีตมันผ่านมาแล้ว ไม่ควรคิดมากกับมัน เอาไว้เตือนสติในปัจจุบันเท่านั้นพอ แล้วอนาคต อนางอ มันยังมาไม่ถึงก็อย่าไปคิดมากกับมัน อนาคตมันขึ้นอยู่กับปัจจุบันของการทำตัวของเรา
เมื่อเราได้มีการไปละเมิดของสงฆ์เข้าแล้วก็มีวีธีแก้ไขคือให้เอาของที่มีค่าเสมอกัน หรือมากกว่า ไปทดแทนไว้ให้สงฆ์ซะ หรือถ้าเราไม่แน่ใจว่าเราเคยไปละเมิดของสงฆ์มั้ย ในอดีตก็ดีในชาติที่แล้วก็ดี เราก็ควรทำการชำระหนี้สงฆ์ไว้ก่อนเลยแล้วกัน
หนี้สงฆ์เป็นยังไงหรอ ? ก็ไอ้ที่เราไปลักของสงฆ์มานั่นแหละ หรือไม่ก็การที่เราเข้าไปในวัดแล้วเด็ดดอกไม้ หักกิ่งไม้ของวัดเป็นต้น เมื่อเราเห็นตู้รับบริจาคที่เขาเขียนว่าชำระหนี้สงฆ์เราก็เอาเงินไปหย่อน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ไป ชำระไปเรื่อยๆ ตามปัจจัยที่เรามี (อย่าทำบุญโดยการเบียดเบียนตนเองหรือเบียดเบียนคนอื่น) หรือชำระหนี้สงฆ์โดยเอาตังค์ไปหย่อนในตู้รับบริจาคที่เกี่ยวกับการทำกิจของสงฆ์ต่างๆในวัดก็ได้ เช่นการก่อสร้างต่างๆ โดยให้เราตั้งใจว่า ฉันขอร่วมทำดีเพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ ถึงจะใส่ในตู้ไปบาทเดียวก็ยังดี จะได้ไม่เป็นหนี้กันข้ามภพข้ามชาติ จะได้ทำมาค้าขึ้น
ถึงแม้ว่าเราไม่มีหนี้สงฆ์แล้ว เงินที่เราตั้งใจไปชำระหนี้สงฆ์นั้นก็มีอานิสงส์เป็นสังฆทานไปโดยปริยายเพราะเราไม่ได้เจาะจงพระรูปใดรูปหนึ่งเป็นการส่วนตัว เงินที่หย่อนตู้ลงไปนั้นพระจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของพระ เราอย่าไปคิดมากกังวลมากมันจะใจเสียเปล่า ถ้าพระเอาไปใช้ผิด ตั๋วท่องเที่ยวนรกขุมอเวจีก็จะไปหาท่านโดยทันที หรือท่านจะชำระหนี้สงฆ์แบบของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงก็จะดีมากๆครับ ลองไปศึกษาดู
ขอฝาก/โมทนา
สงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่หรือตีพิมพ์เพื่อการค้าพาณิชย์ทั้งปวงหรือเพื่อการแสวงหาผลกำไร
หากเผยแพร่เป็นธรรมทานนั้นยินดีอย่างยิ่งและขออนุโมทนาการล่วงหน้า
ขอความประสงค์ใดที่ท่านคิดโดยชอบประกอบโดยธรรมอันดีงามแล้วไซร้ จงบรรลุสำเร็จสัมฤทธิผลทุกประการเทอญ
บทความโดย นายณัฏฐเศรษฐ์ กันหารินทร์
นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
สำนักวิชาการจัดการ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4<o:p></o:p>
<o:p></o:p> |
|
_________________ ทำดีได้ดี อย่าดีแต่ทำ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
20 ส.ค. 2008, 3:34 pm |
  |
ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะคับ
ว่าหลวงปู่มั่น พระอรหันต์เจ้าของเรา
และศิษย์ของท่าน คือหลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรมมงคล
ได้เรียกปัญหาเรื่องผีว่าอะไร
ในเรื่องนี้ ท่านไม่ได้พูดว่าผีมีจริง หรือ ไม่มีจริง
แต่เหตุการณ์ที่เป้นความเข้าใจผิด แบบเข้าใจผิดทั้งหมู่บ้าน นั้นมีอยู่จริง
แล้วลองมาดูว่า พระอริยะสงฆ์แก้ไขอย่างไร
เรื่องที่ผมยกมานี้ ขออนุญาตตัดบางส่วนออก และจัดหน้าใหม่
เพื่อให้อ่านง่ายๆ โดยต้องการเน้นเอาเฉพาะที่เกี่ยวกับประเด็น
แต่ท่านสามารถอ่านละเอียดทุกคำได้ที่
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13075
/////////////////////////////////////////////
มีอยู่วันหนึ่ง หมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนามนนี้เท่าไรนัก เกิดมีการลือว่าผีปอบกำลังอาละวาดและมีผีป่าเข้าผสม มีการตายกันไม่เว้นแต่ละวัน
ชาวบ้านได้มีความเชื่อว่าผีอาละวาดจริง
ต่างก็พากันครั่นคร้ามหวาดเสียว กลัวกันเป็นการใหญ่
พวกชาวบ้านได้ส่งตัวแทนมาที่ท่านอาจารย์มั่นฯ ขอให้ไปไล่ผีให้พวกเขาด้วย เมื่อตัวแทนชาวบ้านนั้น มีอยู่ ๓-๔
คนมากราบพระอาจารย์แล้วก็เล่าถึงเหตุเภทภัยที่พวกเขากำลังได้รับอยู่ให้ท่านฟัง
เมื่อท่านได้ฟังแล้วจึงบัญชาให้ผู้เขียน(หลวงพ่อวิริยังค์)ไปจัดการแก้ไขพวกผีปอบ อันที่จริงผู้เขียนก็เคยจัดการเรื่องผีๆ มาหลายครั้งแล้ว
(--- มีข้อความตรงนี้ แต่ตัดออก----)
ในค่ำคืนวันนั้นผู้เขียน(หลวงพ่อวิริยังค์)ได้แสดงธรรมให้ชาวบ้านฟัง
และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ แนะนำความเชื่อถือผิดต่างๆ พอสมควรแล้วเขาก็พากันกลับบ้าน
ตอนจะกลับผู้เขียนได้เตือนพวกโยมว่า
“...โยม คืนนี้อาตมาจะไล่ผีที่มีอยู่หมู่บ้านนี้ จะเป็นผีปอบหรือผีอะไรจะไล่ออกให้หมด และขอให้ทุกคนจงบำเพ็ญภาวนาอย่างที่อาตมาสอนไว้โดยทั่วกัน และในคืนนี้ใครมีประสบการณ์อย่างไร ให้มาบอกอาตมาในวันพรุ่งนี้..”
เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ เมื่อวันรุ่งขึ้นพวกประชาชนในหมู่บ้านนี้
ได้มาเล่าความฝันและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ผู้เขียนฟังว่า
เมื่อคืนนี้สุนัขมันเห่าหอนกันตลอดคืน
ทำเอาชาวบ้านนั้นไม่ใคร่หลับกันทีเดียว
ต่างก็เข้าใจว่าอาจารย์ได้ใช้วิชาอาคมปราบผีแน่นอนแล้ว และเขาก็เล่าความฝันของโยมหลายคนที่ปรากฏการณ์เช่นเดียวกัน เขาฝันว่า พวกผีนับจำนวนร้อย พากันหอบลูกจูงหลาน มีหน้าตาลักษณะต่างๆ กันเดินออกจากหมู่บ้านนี้ไป พลางก็พูดกันว่า อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย ร้อนเหลือเกิน พวกกูก็อยู่กันมานานแล้ว ไม่เคยถูกใครบังอาจมารังควานเลย คราวนี้กูสู้ไม่ไหว ดูท่าทางของพวกผีบอกว่าเดินหนีกันอย่างรีบร้อน และในความฝันเขาบอกว่า เวลาเดินๆ ถอยหลังมิได้เดินไปข้างหน้า เหมือนคนเรา
มันเป็นการได้ผลรวดเร็วเกินคาด ทำให้จิตใจของชาวบ้านนี้เกิดความเชื่อมั่นในตัวผู้เขียนมากทีเดียว และเขาทั้งหลายก็เชื่อแน่ว่า พวกผีมันไปกันจริงๆ โดยอาศัยความเชื่อมั่นนี้ทำให้หมู่บ้านเกิดความสงบเงียบ ได้รับความสุขสบายอย่างยิ่งเพียงชั่ววันเดียว บรรยากาศที่เคยคุกรุ่นด้วยความหวาดเสียวและหวาดระแวงด้วยความกลัวผี ก็หายไปจากหมู่บ้านนี้ยังกะปลิดทิ้ง
(คามินธรรม - สังเกตุว่าหลังจากที่ชาวบ้านลากลับ
หลวงพ่อวิริยังค์ไม่ได้ทำอะไรต่อเลย
แต่ชาวบ้านกลับไปแล้วก็ พากันฝันต่างๆนาๆ
เป้นเรื่องเป็นราวกันไปพิศดาร
พวกเขาคิดไปเอง ฝันไปเองทั้งสิ้น)
ในครั้งนั้นปรากฏว่า ชาวบ้านที่อยู่กันเป็นหมู่ๆ ใกล้เคียงยิ่งได้ร่ำลือกันว่าผีออกจากบ้านนี้แล้ว มันกำลังบ่ายโฉมหน้าไปโน้น หมายความว่าจะต้องผ่านหมู่บ้านใกล้เคียงเหล่านั้น ต่างก็ตกใจ นึกว่าคงจะมาอยู่กับพวกเรากระมัง พากันมายังผู้เขียนเป็นการใหญ่ ผู้เขียนก็พานั่งสมาธิและแสดงธรรมให้เขาฟัง แต่พวกเขาได้พูดว่า ขอให้ท่านช่วยส่งพวกผีให้พ้นหมู่บ้านของพวกผมด้วยเถิด
ผู้เขียนเห็นเป็นโอกาสดี เลยบอกว่าต้องมาฟังเทศน์ทำสมาธิภาวนารักษาศีล พวกเขาเหล่านั้นก็ทำตามทุกอย่าง ซึ่งขณะนั้นจะให้เขาทำอะไรก็ยอม เป็นการให้พวกเขาได้รับธรรมจากผู้เขียนมากทีเดียว จึงนับว่าได้ประโยชน์ไม่น้อยเลย และในเวลาอันรวดเร็วด้วย เมื่อได้ทำพิธีต่างๆ เป็นการไล่ผีที่พวกเขาเข้าใจผิดจนรู้เหตุผลในเรื่องนี้ดีแล้ว อยู่กับเขาประมาณอาทิตย์เศษ เรื่องความวุ่นวายของ “ผีปอบ” ได้สงบลง เป็นความยินดีปรีดาของชาวบ้าน
หายความหวาดผวาแล้ว ผู้เขียนก็ลาพวกเขากลับมาที่บ้านนามน
เพื่อพบกับพระอาจารย์มั่นฯ เข้าประจำหน้าที่เป็นอุปัฏฐากตามเดิม
เมื่อพบพระอาจารย์ในวันนั้น ท่านได้ถามว่า
“วิริยังค์ได้แก้มิจฉาทิฏฐิสำเร็จหรือไม่”
ผู้เขียนตอบอย่างภาคภูมิว่า “ได้แก้สำเร็จแล้วทุกประการ”
ท่าน(พระอาจารย์มั่นฯ)ได้พูดเสริมต่อไปว่า
“นี้แหละคือประโยชน์และพระภิกษุสามเณรผู้บวชมาแล้วในพระพุทธศาสนา
นอกจากจะทำประโยชน์แก่ตนแล้ว
ก็ควรจะได้ทำประโยชน์ผู้อื่นต่อไป
จึงจะเป็นการเชิดชูไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา
บางคนเขาว่าพวกเราอยู่ในป่า บ้านนอกบ้านนา เอาแต่ความสุขส่วนตัว
ได้รู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว ก็หลบตัวซ่อนอยู่ในป่าเขา ไม่ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
ความจริงแล้วพวกเราก็ทำประโยชน์ส่วนรวมกันแล้วทุกองค์
เพราะชาวบ้านนอกบ้านนาที่ยังต้องการผู้เข้าใจในธรรม
ทั้งส่วนหยาบและละเอียดมาสอนเขา
หากพวกเขาไม่มาแนะนำในทางที่ถูกอันเป็นส่วนหยาบและละเอียดแล้ว
ก็จะหลงเข้าใจผิดกันอีกมาก
นี้แหละคือการทำประโยชน์แก่คนบ้านนอกบ้านนา
จะคอยให้เจ้าฟ้าเจ้าคุณผู้ทรงความรู้ในกรุงในถิ่นที่เจริญมาสอนนั้นเห็นจะไม่ไหว
เพียงแต่ท่านเดินทางด้วยเท้าสักหนึ่งกิโลสองกิโล ก็ไม่เอาแล้ว
พวกเราจึงได้ชื่อว่า ได้มีส่วนช่วยทำประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ที่ใครอื่นเขามองไม่ใคร่เห็น”
ผู้เขียนนั่งฟังท่านอธิบายก็ซาบซึ้งใจเป็นหนักหนาและเข้าใจอะไรๆ หลายอย่าง เกี่ยวกับส่วนตัวและส่วนรวม ข้าพเจ้าก็ขอยุติใต้สามัญสำนึกไว้เพียงเท่านี้ โปรดติดตามประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ฉบับสมบูรณ์ต่อไป |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
20 ส.ค. 2008, 3:59 pm |
  |
วิธีแก้ไข สำหรับ คนที่เป็นเปรตดิบ เท่าที่อ่านมาว่า เปรตดิบนี้ คือ คนนี่แหละแต่จิตเสวยกรรมอยู่ ทำให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้
และ กรรมนั้นต้องหนักพอดู
วิธีแก้ไข ถ้าสำหรับ คนที่บารมียังอ่อน แก้อะไรไม่ได้มาก เพราะกำลังมีไม่มากพอ ก็อาศัยให้ สละทรัพย์ ทำบุญมหากุศลร่วมกับพระอริยะสงฆ์
อย่าโลภ อย่าเคียดแค้นพยาบาท ทำบุญ ถวายสังฆทานให้ หมู่สงฆ์
แล้วอธิษฐานให้เจ้ากรรมนายเวร ทำไปเรื่อยๆ สวดมนต์ก่อนนอนให้ทุกคืน อย่าให้ขาด ก็จะเพิ่ม สัจจบารมี และ กำลังให้อินทรีย์
สำหรับคนที่มีบารมีแข็ง คือ พอมีปัญญา ก็ให้ เจริญ วิปัสสนา โดยใช้มหาสติปัฎฐาน ระลึก การกระทำของตนเองให้มาก ก็จะรุ้ตัวได้ว่า ตอนนั้นตนนี้ เริ่มมีอาการเช่นนั้นเช่นนี้ ให้พิจารณาอาการนั้น ลงสุ่ไตรลักษณ์ คือ ไม่มีอยู่จริง เปรียบเหมือนคนเปล่งเสียง หยุดเปล่งเสียงเมื่อไร เสียงนั้นก็สามารถดับลงได้
อาการทางจิตนี้ก็เช่นเดียวกัน ระลึกรุ้ตัวขึ้นเมื่อไร ก็หยุดได้ เช่นเดียวกัน
สำหรับคนมีบารมีอย่างกลางก็ให้ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ถือศีล ภาวนา
หลักการสรุปคือ เอากุศลจิต มาตัดรอนอกุศลจิต เปรียบได้ดัง คนทุกข์ใจ เมื่อ ถูกลอตเตอรี่ ก็ปรากฎความดีใจขึ้นเดี่ยวนั้น ความทุกข์ก็สลายไปทันที
ให้ใช้หลักการนี้ คือ ต่อเติมเสริมกุศล แล้วละอกุศล และชำระจิตให้ผ่องใส คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ขอให้ทำจริงเถอะ ไม่ต้องไปวิ่งวุ่นที่ไหน ทำได้ด้วยตนเอง ตลอดเวลา |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
dd
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
ตอบ: 179
ที่อยู่ (จังหวัด): overseas
|
ตอบเมื่อ:
20 ส.ค. 2008, 4:55 pm |
  |
สาธุ ทุก ความเห็นครับ  |
|
_________________ ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ |
|
  |
 |
เอนก ชุ่มมงคล
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 19 ส.ค. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): พะเยา
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2008, 11:50 am |
  |
ขอบพระคุณ สาธุ อนุโมธนาบุญ สำหรับผู้รู้ที่ช่วยตอบกระถู้ผมด้วยนะครับ บางทีข้อมูลส่วนนี้อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่กำลังเป็นทุกข์หรือมีกรรม เพื่อนที่เป็นการปฎิบัติเพื่อการหลุดพ้ลจากปวงกรรมที่เค้ากำลังได้รับในขณะนั้น |
|
_________________ ทำดีได้ดี อย่าดีแต่ทำ |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2008, 2:35 pm |
  |
พระพุทธเจ้าสอนว่า
กรรม = การกระทำ หรือเจตนา หรือเจตสิก หรือ สังขาร
ดังนั้นกรรมคือหนึ่งในขันธ์5
และกรรมก็คือขันธ์5นั่นเอง
วิบาก = ผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น ผู้ใดทำกรรมอย่างไรเอาไว้ ย่อมเป็นทายาทที่จะต้องรับมรดกกรรมนั้น คือรับเวทนา
ไม่ได้หมายถึงว่าไปฆ่าใครตายก็ต้องให้ถูกคนที่เราฆ่าตายฆ่าเราคืน
อย่างนั้นเป็นศีลพัตตปรามาส
และถ้าเป็นเช่นนั้นวัฏจักรคงไม่จบสิ้น นิพพานก็จักไม่มี
วิบากนั้นก็คือขันธ์5นั่นเอง คือ เวทนา
รวมความแล้วเจ้ากรรมนายเวรก็คือขันธ์5นั่นเอง
รายละเอียดเพิ่มได้จาก
พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ ของ
ร.ศ.แสง จันทร์งาม |
|
|
|
   |
 |
|