ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
25 ส.ค. 2008, 12:45 am |
  |
อ๊ะๆๆ อย่างเพิ่งจ้าวเข้า หรือองค์ลง นะคับ
ฟังกระผมนิดส์นึง
เผอิญอยากจะวิจิกิจฉาในเรื่องนี้เสียหน่อย
สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา
เห็นเด็กที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ต้องมาถูกบังคับให้สนใจวิชานี้
ต้องท่อง ต้องอ่าน ต้องจำ "เพื่อทำข้อสอบ"
พอคิดกลับว่า ถ้าประเทศนี้เป้นชาวคริสต์ซะส่วนใหญ่ หรืออิสลามซะส่วนใหญ่
ผมในฐานะชาวพุทธ จะต้องไปอ่านและจำเรื่องของศาสนาอื่น
แล้วต้องไปทำข้อสอบหรือไม่
ผมเห็นว่า สมาชิกของ "ชาติ" ต้องมีสิทธิเสรีภาพเลือกความเชื่อของเขาเอง
บุคคลควรมีเสรีภาพ ในการนับถือศาสนา
ความเป็นชาติ ใหญ่กว่าศาสนา
ชาติ กอปรขึ้นจากคนหลายชนเผ่า หลายวัฒนธรรม หลายความเชื่อ
พวกเขาเกิดในเขตประเทศไทย
- เราจะไล่เขาออกไปจากแผ่นดินเกิดเพราะเขานับถือศาสนาอื่น ไม่ได้
- เราจะไปไล่เขาออกจากถิ่นฐานเขาแล้วเอาแต่ทรัพยากรไว้ไม่ได้
- เราจะกำหนดว่าชาตินี้ เป้นของศาสนาหนึ่งๆก็ไม่ได้
แล้วทำไม เราบังคับคนศาสนาอื่น ให้เรียนศาสนาพุทธ
ทำไมเขาไม่มีเสรีภาพ ในการนับถือศาสนา
ทางออก
1. ให้วิชาศาสนาพุทธ สิ้นสุดไปก่อน
2. ให้มีการสร้างวิชา "สิทธิ หน้าที่ ของพลเมืองไทย"
มีเนื้อหาเบื้องต้นผมคิดได้เท่านี้คือ
2.1 หลักสิทธิเสรีภาพ
ทั้งอย่างกว้าง อย่างแคบ รู้ทะลุปรุโปร่งว่าอะไรคือสิทธิและเสรีภาพ
มีขอบเขตยังไง ใช้ยังไง
2.2 สิทธิและหน้าที่ของบุคคล ในฐานะต่างๆเมื่อเป้นพลเมืองไทย
พลเมืองมีหน้าที่อย่างไร มีสิทธิอย่างไร ในบริบทต่างๆ
บริบทในฐานะสมาชิกของครอบครัว
ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรในครอบครัว ครอบครัวสำคัญยังไง
ทำไมต้องมีครอบครัว สมาชิกอิ่นมีหน้าที่อะไร
ครอบครัวที่สงบสุขทำอย่างไร ฯลฯ
ให้เขามองเห็นคุณค่าและรู้วิธีในการอยู่ในครอบครัวอย่างมีคุณภาพ
บริบทในฐานะสมาชิกของสังคม
ทำมไต้องมีสังคม สังคมสำคัญยังไง สังคมปกครองกันยังไง
เรามีหน้าที่อะไรต่อสังคม เรามีสิทธิอะไรบ้าง เราอยู่ในฐานะอะไร
เราจะใช้เครื่องมือต่างๆของสัมคมยังไง อะไรคือการเสียภาษี
อะไรคือ อบต อะไรคือสภา ฯลฯ
ให้เขารู้จักว่าสังคมนี้ มันมีโครงสร้างยังไง เราสามารถทำอะไรได้บ่างในสิทธิและหน้าที่ที่มีอยู่
วิชานี้ต้องออกแบบวิชาให้มีลำดับขั้นบันได
เด้กมากก้เรียนรู้แต่ง่ายๆ โตขึ้นก้ยากขึ้น
จนถึงมหาลัยก้ต้องรู้ทะลุปรุโปร่งว่าสังคมไทยนี้น่ะมันเกิดมาจากไหน
ปัจจุบันเป้นไง
และอนาคตจะไปทางไหน
เด็กมหาลัยต้องรู้ขนาดนั้น
2.3 หลักสูตรเกี่ยวกับศาสนา
- ต้องให้เขารู้เสียก่อนว่าศาสนา มีความสำคัญอย่างไร
มันเกิดมาจากอะไร มนุษย์ยุคก่อนเขาคิดอะไร
คนสมัยก่อนเขาอยู่กับศาสนายังไง
มีวิวัฒนาการมาถึงปัจจุบันยังไง
แล้วทุกวันนี้ ศาสนามีบทบาทอะไร ตอบโจทย์อะไรให้เขา
- ต้องมีศาสนาให้เขาเลือก ให้เขาได้ศึกษากว้างๆ
ไม่บังคับเรียนศาสนาพุทธอีก
ให้ทุกศาสนาทำหลักสูตรเข้ามาเสนอตัวอย่างเท่าเทียมกัน
แล้วเอามาให้เด็กได้ลองศึกษาดู
โดยเราต้องให้โอกาสทุกศาสนาที่เป้นที่ยอมรับ
ได้จัดทำ "ภาพรวม" ของศาสนาตัวเอง
ว่ามีจุดมุ่งหมายอะไร มีความเชื่ออะไร ช่วยเขาได้ตรงไหน
อนึ่ง ในระดับสูง เช่น ม.ปลาย หรืออาชีวะ
ก้ให้กับมามีวิชาศาสนาอีกครั้ง
เพราะเขาคงเลือกศาสนาได้แล้ว แล้วก็ให้เป้นวิชาปกติ มีเกรด
แต่เวลาเรียน เราไปเรียนกับวัด กับโบสถ์ กับมัสยิด ในวันเสาร์อาทิตย์
ใครชอบอะไรก็ไปเรียน และรัฐให้การอุดหนุนรายหัว
หลักสูตรก็ให้ศาสนานั้นๆ จัดเองโดยหลักสูตรต้องผ่านความเห็นชอบของสภาการศึกษา
(ระบบสภา จะกรองความไม่ดีงาม และผลประโยชน์ออกไป เพราะรัฐต้องอุดหนุนรายหัว เดี๋ยวจะมีพวกเอาศาสนามาหากินกับเด็ก)
2.4 ปรัชญา - อันนี้สำคัญมาก ว่าต้องให้เด็กคิดเป็น
วิชานี้เป้นวิชาที่ว่าด้วยวิธีใช้ความคิดเพื่อหาคำตอบโดยเฉพาะ
จำเป้นมากที่คนเราต้องรู้จักตรรกะ รู้จักหลักเหตุผล
รู้จักใช้ความคิดในการค้นหาคำตอบ
ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเลยล่ะ
(แต่แน่นอน เราต้องนำเสนอให้เหมาะกับวัยผู้เรียน)
************************************************
ปล. อยากจะขออีกอย่าง
ทุกวันนี้ เด็กคนไหน มีทุนเท่าไหร่ ก็ได้เรียนเท่านั้น
สอนไปเถอะครับ ให้เขารักชาติ ให้เขาเป้นคนดี
ทำแบบส่งนักกีฬาไปโอลิมปิกนั่นแหละ
กล่าวคือ ใครมีทุนเท่าไหร่ ตะเกียกตะกายเอา
พอได้ดีแล้วชาติก้มาขอถ่ายรูป ออกงาน ว่าชาติไทยนี้เก่ง
ผลิตคนให้เก่ง แสดงถึงความเป็นชาติที่ไม่น้อยหน้าใคร
ชาติไทยสนับสนุนคนให้แสดงออกถึงศักยภาพของความเป้นมนุษย์
เป้น the best of mankind
แต่เบื้องหลังคือเขากินไปตามีตามเกิด
แขนหักขาหัก ใช้เงินตัวเองรักษา อุปกรณ์การฝึกเอย ทุนเอย ล้วนทำไปตามีตามเกิด
ชาติไม่รู้ไปอยู่ไหน ....... ชาติไทยไม่เห็น flash มั้งเลยไม่วิ่งโร่เข้ามา
เด็กไทยทุกคนเป้นทรัพยากรที่มีค่ามากมายมหาศาล
ทำไมเราไม่หาข้าวให้เขากิน 3 มื่อ สมุดอย่าให้ขาด ดินสออย่าให้ทื่อ
ทำไมต้องปล่อยตามมีตามเกิด แล้วมาบอกเขาให้รักชาติ
ในขณะที่สังคมหล่อหลอมให้เขาต้องแก่งแย่งแข่งขัน ปากกัดตีนถีบไปตามมีตามเกิด
อย่าหวังเลยว่าเขาจะเป้นคนดี
ถ้าสังคมไทยส่งเสียเขาให้เรียน หาข้าวดีๆใฟ้กิน 3 มื่อ
หานมให้กินทุกวัน ....... รับรองเขารักสังคมแน่ๆ
ญาติไปโตที่อยู่ต่างประเทศ รถมารับถึงบ้าน ไปโรงเรียนก้มีข้างให้กิน จะกินเท่าไหร่ ตักเอาเลย มีนมให้ด้วย
แถมจ้างไปเรียนอีกเป็นรายอาทิตย์ เรียน 9 โมง เลิกเรียนบ่าย 2
ที่เหลือคือเวลากิจกรรม ส่วนใหญ่ค้นหาตัวเอง
ลองนุ่น ลองนี่ เรียนนั่น เรียนนี่
พอถึงมหาลัย อยากเรียนอะไร ขอให้อยากเรียนเถอะ ชาติเขาส่งให้ได้เรียนทุกคน
ใครเก่งมาก เขาก็ส่งให้ถึงที่สุด
จบมามีงานค่อยใช้ทุน (ใช้เฉพาะทุนที่เรียนมหาลัย)
แถมรัฐหางานให้อีก
เด็กมันมีกำลังใจ ไม่ต้องห่วงว่าจะอดตาย พะวงหน้าพะวงหลัง
ไม่ต้องมาขายพวงมาลัย
เขาเลยเจริญเอ๊า เจริญเอา
ชาติไทยเอ๊ย.... ลงทุนแค่ 5 ปีก็เริ่มเห็นผลแล้ว
.. ลงทุน 10 ปี ชาติไทยเอ๊ย.... แถวนี้ไม่มีใครตามทัน
... ลงทุนไป 20 ปี ไม่อยากเม้าท์เลยว่าจะเจริญขนาดไหน
สมองเป็น 10 ล้านคนที่เลี้ยงมาอย่างดี ลองคิดดูสิว่ามันจะทำอะไรได้บ้าง
กว้างขวางแค่ไหน
(ขออำภัยนะคับ บ่นหลายอย่างในกระทู้เดียว ไม่อยากตั้งกระทู้หลายอันให้มันรก
เลยขอบ่นๆ แถมๆ ไปในคราวเดียวกัน) |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
มิตรตัวน้อย
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 12 พ.ค. 2008
ตอบ: 48
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 9:43 am |
  |
"ความเป็นชาติ ใหญ่กว่าศาสนา"
มีความคิดอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร ? |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 10:07 am |
  |
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
อันตัวพ่อ.............ชื่อว่า............พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก.........กู้ชาติ...........พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน.......ให้เป็น.........พุทธบูชา
แด่พระศาสนา......สมณะ.........พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง................คงถ้วน........ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ชี..ปฏิบัติ.........ให้พอสม
เจริญสมถะ...........วิปัสสนา......พ่อชื่นชม
ถวายบังคม...........รอยบาท.......พระศาสดา
คิดถึงพ่อ...............พ่ออยู่...........คู่กับเจ้า
ชาติของเรา...........คงอยู่คู่..........พระศาสนา
พุทธศาสนา..........อยู่ยง.............คงองค์กษัตรา
พระศาสดา...........ฝากไว้...........ให้คู่กัน
(จารึกภายในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่วัดอรุณราชวราราม)
=================================
องค์บุรพกษัตริย์ในอดีตทุกพระองค์
นำพาประเทศชาติของเราดำเนินมาอย่างนี้ |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 10:37 am |
  |
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
"ความเป็นชาติ ใหญ่กว่าศาสนา"
มีความคิดอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร ? |
ถ้าคิดแบบมองคุณค่า - ศาสนาพุทธใหญ่กว่าชาติ
การมองแบบนี้เป็นการมองแบบ ประโยชน์ของปัจเจกบุคคล
ถ้าคิดแบบรัฐศาสตร์ - ชาติใหญ่กว่าศาสนา
การมองแบบนี้เป็นการมองแบบ ประโยชน์ของชาติ ความเป็นชาติ
--------------
ความคิดนี้ มีขึ้นเมื่อ ได้ยินสมเด็จพระพี่นาง
ตรัสกับนักศึกษาไทยในอียิปต์
แล้วผมเห็นจริงด้วยทุกประการ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
มิตรตัวน้อย
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 12 พ.ค. 2008
ตอบ: 48
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 1:49 pm |
  |
ชาติหนึ่ง ๆ เผ่าพันธุ์หนึ่ง ๆ ผูกพันกันด้วย ความเชื่อ วัฒนธรรม และที่สำคัญคือ ศาสนา
ศาสนาทุกศาสนาเชื่อมโยง คนทุกชาติทุกเข้าไว้ด้วยกัน ศาสนาไม่แบ่งเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์
คนหลาย ๆ ชาติ หลาย ๆ ภาษา เชื่อมถึงกันได้ด้วยศาสนาเดียวกัน
เมื่อนับถือศาสนาเดียวกัน อยู่ทวีปใด ชนชาติใด เผ่าพันธุ์ใด ย่อมเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องกัน นี่คือความยิ่งใหญ่ของศาสนา
เด็ก ๆ คือไม่อ่อนดัดง่าย ผู้เป็นพ่อแม่ย่อมเลือกสรรสิ่งที่ดี ๆ ให้ลูกเสมอ แนะนำสิ่งที่ดี ที่เป็นประโยชน์ให้ตลอดเวลา ไม่เคยปล่อยตามบุญตามกรรม เหมือนเป็นเด็กเร่ร่อน ศาสนาพุทธคือ ศาสนาของผู้ทรงพระเมตตา พระกรุณา พระปัญญาเป็นเลิศ
เพื่อการดำรงอยู่ของชาติของเผ่าพันธุ์ ศาสนายิ่งต้องรักษา ยิ่งต้องเพิ่มพูนท่านผู้รู้ ผู้สืบทอดให้กว้างขวางยิ่ง ๆ ขึ้น การสืบทอดพระพุทธศาสนาต้องสำคัญ ต้องมาก่อน ต้องสอนพระพุทธศาสนาในบ้านเมืองของเรา ให้บุตรหลานของเรา เพื่อคนในชาติของเราให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเหมือนบางประเทศ บางศาสนา ที่ไม่เคยพบกับความสงบ ร่มเย็น
การปล่อยปะละเลย เยาวชนลูกหลานของเรา ย่อมขาดอนาคตที่ดี ดังที่เห็น ๆ อยู่ในปัจจุบัน เพราะความไม่รู้ ไม่เห็นความสำคัญของศาสนานั่นเอง เมื่อขาดพระศาสนา ก็ขาดความยึดโยง ชาติก็ขาด ชาติก็ไม่สำคัญ
 |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 5:00 pm |
  |
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
ชาติหนึ่ง ๆ เผ่าพันธุ์หนึ่ง ๆ ผูกพันกันด้วย ความเชื่อ วัฒนธรรม และที่สำคัญคือ ศาสนา |
- ชาติหนึ่งชาติ มีหลายเผ่าพันธุ์
แต่ละเผ่าพันธุ์มีเอกลักษณ์ของตน
ไม่ใช่ชาติหนึ่งชาต ิ มีเพียงหนึ่งเผ่าพันธุ์/หนึ่งความเชื่อ
- สิ่งที่สำคัญ ที่ผูกพันธ์บรรดาเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ไว้เป็นชาติ ...ไม่ใช่ศาสนา
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกร่วมกันว่าเป็นพวกเดียวกัน ยอมรับกันได้
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
ศาสนาทุกศาสนาเชื่อมโยง คนทุกชาติทุกเข้าไว้ด้วยกัน ศาสนาไม่แบ่งเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์
|
- ผมเห็นว่าไม่ใช่ ต้องมองให้ละเอียด
1. ศาสนาหนึ่ง ๆ ผูกพันธ์คนหลายเชื่อชาติ หลายเผ่าพันธุ์... อันนี้จริง
แต่
2. ศาสนาทุก ๆ ศาสนาผูกพันธ์คนหลายเชื่อชาติ ... อันนี้ไม่จริง
เพราะคำว่าผูกพันธ์ในข้อ 1.
มีความหมายคนละอย่างกับคำว่าผูกพันธ์ในข้อ 2.
ผูกพันธ์ 1 คือ การยอมในลักษณะเช่น
ยอมรับพระเจ้าเหมือนกัน หรือยอมรับอัลเลาะฮ์เหมือนกัน
ผูกพันธ์ 2 คือ การยอมแต่เพียงการมีอยู่ ไม่เบียดเบียนกัน
เขาไม่กราบไหว้พระพุทธเจ้า เราไม่ทำละหมาด แต่อยู่ร่วมกันได้
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
คนหลาย ๆ ชาติ หลาย ๆ ภาษา เชื่อมถึงกันได้ด้วยศาสนาเดียวกัน
เมื่อนับถือศาสนาเดียวกัน อยู่ทวีปใด ชนชาติใด เผ่าพันธุ์ใด ย่อมเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องกัน นี่คือความยิ่งใหญ่ของศาสนา |
- ถูกต้องครับ .. ในบริบทของศาสนาเดียวกัน
อยู่ทวีปใด ชนชาติใด เผ่าพันธุ์ใด ย่อมเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องกัน
นี่คือความยิ่งใหญ่ของศาสนา
แต่ก็ไม่เสมอไป
เช่น ระหว่างคนไทยพุทธ กับ ชาวพุทธกัมพูชา ศาสนาเดียวกัน นิกายเดียวกัน
ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เราจะคำนึงถึงชาติของตนก่อนมิใช่หรือ
แล้วที่ว่า "ย่อมเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องกัน" หายไปไหน
ทำไมศาสนาถึงไม่สามารถแสดงความยิ่งใหญ่เหนือชาติได้
ธรรมชาติมนุษย์ที่เป้นสัตวืสังคม เขาเป้นของเขาอย่างนี้
เขานับถือพวกพ้องก่อนเสมอ ยิ่งผุกพันธ์กันมากเท่าไหร่ ยิ่งถือพวกพ้องมากเท่านั้น
ครอบครัว คือคำว่าพวกพ้องหน่วยเล็ก
ศาสนา คือคำว่าพวกพ้องที่ใหญ่ขึ้น
ชาติ คือคำว่าพวกพ้องหน่วยใหญ่ที่สุด
และถ้ามนุษย์ต่างดาวมาโจมตีโลก
ชาวโลก จะถือว่าเราเป้นพวกเดียวกัน และจะร่วมมือกันต่อต้าน
.... นี่คือสัตว์สังคมครับ ธรรมชาติมันเป้นอย่างนี้
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
เด็ก ๆ คือไม่อ่อนดัดง่าย ผู้เป็นพ่อแม่ย่อมเลือกสรรสิ่งที่ดี ๆ ให้ลูกเสมอ แนะนำสิ่งที่ดี ที่เป็นประโยชน์ให้ตลอดเวลา ไม่เคยปล่อยตามบุญตามกรรม เหมือนเป็นเด็กเร่ร่อน ศาสนาพุทธคือ ศาสนาของผู้ทรงพระเมตตา พระกรุณา พระปัญญาเป็นเลิศ |
- แน่นอนครับ ผมไม่ได้เสนอให้จับใครนับถืออะไร
แต่เพื่อนชาวคริสต์ผม เขามีลูก
ที่ต้องท่องพระพุทธศาสนาเพื่อสอบ
ี่ลูกเราถูกบังคับให้ศึกษาศาสนาอื่นที่เราไม่ได้นับถือ
ท่านอาจจะไม่รู้สึกอะไร เพราะท่านนับถือพุทธ
แต่ลูกคนอื่น เขาไม่ได้เชื่อว่าพุทธดีที่สุด
เขามีความเชื่อของเขา แต่เราไปละเมิดเขา
พ่อแม่เด็กแนะนำลูกของเขาให้สนใจความเชื่อแบบของเขา
เราเชื่อว่าพุทธดีที่สุดสำหรับลูกเรา
เขาเชื่อว่าคริสต์ดีที่สุดสำหรับลูกเขา
แต่เราไปบังคับให้ลูกเขา เรียนศาสนาพุทธเหมือนลูกเรา
.... พระพุทธเจ้าสอนให้เราบังคับใครๆให้ศึกษาศาสนาพุทธด้วยหรือ
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
เพื่อการดำรงอยู่ของชาติของเผ่าพันธุ์ ศาสนายิ่งต้องรักษา ยิ่งต้องเพิ่มพูนท่านผู้รู้ ผู้สืบทอดให้กว้างขวางยิ่ง ๆ ขึ้น การสืบทอดพระพุทธศาสนาต้องสำคัญ ต้องมาก่อน ต้องสอนพระพุทธศาสนาในบ้านเมืองของเรา ให้บุตรหลานของเรา เพื่อคนในชาติของเราให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเหมือนบางประเทศ บางศาสนา ที่ไม่เคยพบกับความสงบ ร่มเย็น |
- ถูกครับ เห้นด้วยแต่ครึ่งเดียว
เห็นด้วยว่า ศาสนาจำเป้นสำหรับมนุษย์ เพราะศาสนาเป็นเรื่องของจิตใจ
เราต้องพัฒนาจิตใจ
แต่จิตใจต้องมีเสรีภาพ
จิตใจเราก้ต้องมีเสรีภาพ จิตใจเขาก็ต้องมีเสรีภาพ
เราต้องมีเสรีภาพในการนับถือศาสนากันทุกๆคน
เราไม่มีสิทธิ์บังคับใครให้มาเรียนศาสนาของเรา
การเผยแผ่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่การบังคับให้ใครมานับถือ
แต่เราเสนอจุดดีของเราให้เขาได้ฟัง ได้พิจารณา
หากเขานำไปใช้ได้ผล เขาย่อมมีศรัทธานับถือ
การบังคับให้ใครมาเรียนศาสนาพุทธนั่นแหละ คือการทำลายศาสนา
ทำให้เพื่อนร่วมชาติคนอื่นอึดอัด ที่ถูกบังคับให้เรียนศาสนาพุทธ
ลูกเขาถูกบังคับให้จำ ให้ท่อง ให้เรียน เพื่อทำข้อสอบวิชาพระพุทธศาสนา
จนเขาต้องย้ายลูกไปอยู่โรงเรียนที่มีความเป็นศาสนาชัดเจน
เด็ก ๆ พวกนี้เลยไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน
อิสลามก็เข้าโรงเรียนอิสลาม
พุทธก็เข้าโรงเรียนพุทธ
คริสต์ก็เข้าโรงเรียนคริสต์
เด็ก ๆ ถูกเลี้ยงดูเติบโตมาให้แยกกัน ต่างกัน
แทนที่จะได้อยู่ร่วมกันไป เรียนรู้กันและกันตามธรรมชาติความเป้นจริงของโลกที่ต้องอยู่ร่วมกัน
ในชีวิตจริง เราจบมาจากโรงเรียนแล้ว
เราต้องคบคนหลายศาสนา ไม่สามารถจะเลือกได้
ศาสนาพุทธสำคัญที่สุดสำหรับเราก้จริง
แต่ต้องไม่สำคัญจนต้องบังคับใครมายอมรับนับถือ
เราคิดแทนเขาไม่ได้ เขามีสิทธิ์เลือกของเขา
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
การปล่อยปะละเลย เยาวชนลูกหลานของเรา ย่อมขาดอนาคตที่ดี ดังที่เห็น ๆ อยู่ในปัจจุบัน เพราะความไม่รู้ ไม่เห็นความสำคัญของศาสนานั่นเอง เมื่อขาดพระศาสนา ก็ขาดความยึดโยง ชาติก็ขาด ชาติก็ไม่สำคัญ
 |
- แน่นอนเลยคับ
แม้ขนาดว่าเราจะบังคับเรียนวิชาพระพุทธศาสนาในหลักสูตรกันถึง 12 ปี
มันยิ่งตอกย้ำว่าศาสนาล้มเหลวในการตอบโจทย์ให้เยาวชน
- การที่คนเราไม่เห้นความสำคัญของศาสนา
ก็เพราะศาสนานั่นแหละ ที่เข้าใจยาก ตอบโจทย์ยาก
เรามัวแต่ไปบอกเขาให้ทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหา
อะไรแก้ไม่ได้ก็โยนว่ากรรมเก่า ชาติก่อน
แล้วก้บอกให้ทำบุญเอาไว้ใช้ตอนตาย แต่ตอนมีชีวิตให้รับกรรมเก่าไปก่อน
ยังไงก็เสื่อมครับ
เพราะไม่พูดเหตุผล . เยาวชนเขาชอบเหตุผล ชอบอะไรที่พิสูจน์ได้
ไม่ใช่ช่วงอายุจะมาพูดเรื่องกรรมเก่า กับสะสมบุญไว้ชาติหน้า
พวกเราทุกวันนี้ กว่าจะรู้ว่าศาสนาพุทธคือทางรอด
ก็มีแต่แก่กันแล้ว มหดเขี้ยวเล้บแล้ว ไม่มีแรงแล้ว ไม่มีไรทำแล้ว
ถึงวิ่งเข้าหาวัด
งมๆ คลำๆ ลิองผิดลองถูกอยู่หลายปี
ถึงจะเข้าใจว่าที่จริงศาสนาพุทธดียังไง แก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดยังไง
แต่กว่าเจะเจอเพชร ก้หง่อมกันหมด อายุเหลือน้อยกันหมดแล้ว
มิตรตัวน้อย พิมพ์ว่า: |
.... เพราะความไม่รู้ ไม่เห็นความสำคัญของศาสนานั่นเอง เมื่อขาดพระศาสนา ก็ขาดความยึดโยง ชาติก็ขาด ชาติก็ไม่สำคัญ
|
- ชาติขาดศาสนาได้ .... ยังคงเป้นชาติได้
เพราะการยึดโยง ไม่ได้มีแต่ศาสนา
มันยังมีความเป้นพวกพ้อง ความเป้นเชื้อชาติ ความเป้นผู้ร่วมถิ่นถาน
ซึ่งเป้นการยึดโยงชองชาติ ที่มีมาก่อนศาสนาด้วยซ้ำไป
เช่นยุคคอมมิวนิสต์ของจีน เขาก้รักษาความเป้นชาติได้ โดยไม่ต้องพึ่งศาสนา
- แต่ศาสนา ขาด ชาติ ไม่ได้
ถ้าชาติไม่ยอมรับศาสนา ศาสนาก็หมดความสำคัญ
สมัยนาลันทา พวกศาสนาอื่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พระสงฆ์จนสิ้น
เพราะพวกเขายกเอาศาสนาเขา ให้สำคัญกว่าความเป้นชาติ
ถ้าท่านยังเข้าใจว่า ศาสนาสำคัญกว่าชาติ
ท่านก็เป้นผู้หนึ่ง ที่เจริญรอยตามพวกครูเสด และพวกใช้ศาสนาทำสงคราม |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 5:38 pm |
  |
พ่อ จ้างลูก ให้ฟังธรรมะ
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โลกวรรคที่ ๑๓
๑๑. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี [๑๔๗]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรของท่านอนาถบิณฑิกะ ชื่อว่ากาละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปฐพฺยา เอกรชฺเชน" เป็นต้น.
บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม
ได้ยินว่า นายกาละนั้นเป็นบุตรเศรษฐีผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศรัทธาเช่นนั้น ก็ไม่ปรารถนาจะไปสู่สำนักของพระศาสดาเลย ไม่ปรารถนาจะฟังธรรม ไม่ปรารถนาจะทำการขวนขวายแก่สงฆ์ แม้ถูกบิดาพูดว่า "เจ้าอย่าทำอย่างนี้ พ่อ" ก็ไม่ฟังคำของท่าน.
ลำดับนั้น บิดาของเขาคิดว่า เจ้ากาละนี้ เมื่อถือทิฏฐิเห็นปานนี้เที่ยวไป จะเป็นผู้มีอเวจีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ก็เมื่อเรายังเห็นอยู่ บุตรของเราพึงไปสู่นรก ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราเลย ก็ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่เพ่งเล็งเพราะการให้ทรัพย์ ไม่มีในโลกนี้เลย เราจะทำลายทิฏฐิของบุตรนั้นด้วยทรัพย์."
ลำดับนั้น เศรษฐีพูดกะนายกาละนั้นว่า "พ่อ เจ้าจงเป็นผู้รักษาอุโบสถ ไปสู่วิหารฟังธรรมแล้วมาเถิด เราจะให้กหาปณะ ๑๐๐ แก่เจ้า."
กาละ. จะให้หรือ? พ่อ.
เศรษฐี. จะให้ ลูก.
นายกาละนั้นรับปฏิญญา ๓ ครั้งแล้ว เป็นผู้รักษาอุโบสถ ได้ไปสู่วิหารแล้ว แต่กิจด้วยการฟังธรรมของเขาไม่มี เขานอนในที่ตามความสำราญแล้ว ได้ไปบ้านแต่เช้าตรู่. ลำดับนั้น บิดาของเขาพูดว่า "บุตรของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาแก่เขาเร็ว" ดังนี้แล้ว ก็สั่งคนใช้ให้ๆ.
นายกาละนั้นห้ามอาหารเสีย ด้วยพูดว่า "เรายังมิได้รับกหาปณะจะไม่บริโภค" ลำดับนั้น บิดาของเขา เมื่ออดทนการรบกวนไม่ได้ จึงให้ห่อกหาปณะแล้ว. นายกาละนั้นต่อรับกหาปณะนั้นไว้ด้วยมือแล้ว จึงบริโภคอาหาร.
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เศรษฐีส่งเขาไป ด้วยพูดว่า "พ่อ เราจะให้กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า เจ้ายืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอาบทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา." เขาไปวิหาร ยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา ได้เป็นผู้ใคร่จะเรียนเอาบทแห่งธรรมบทเดียวเท่านั้น แล้วหนีไป.
ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงทำอาการ คือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำหนดบทนั้นไม่ได้แล้ว จึงได้ยืนฟังแล้วเทียว ด้วยคิดว่า "เราจะเรียนบทต่อไป." นัยว่าชนทั้งหลายต่อฟังอยู่ ด้วยคิดว่า "เราจะเรียนให้ได้ ชื่อว่าฟังโดยเคารพ.
ก็ธรรมดา เมื่อชนทั้งหลายฟังอยู่อย่างนี้ ธรรมย่อมให้โสดาปัตติมรรคเป็นต้น. ถึงนายกาละนั้นก็ฟังอยู่ด้วยคิดว่า "จะเรียนให้ได้." แม้พระศาสดาก็ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำลังยืนฟังอยู่เทียว ด้วยคิดว่า "จะเรียนต่อไป" จึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.(สำเร็จเป็นพระโสดาบัน)
================================
อ้างอิง : (http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6904273/Y6904273.html
แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 11:00:09
จากคุณ : SpiritWithin_HolyStream) |
|
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 5:57 pm |
  |
มองให้เป็นเรื่องของวิชา ก็คือวิชาเรียน
คำว่าเสรีภาพ ในการนับถือศาสนานั้นถูกต้องแต่ว่า นี่คือวิชาเรียน
ที่ต้อง ทำตามเงื่อนไขของ กระทรวงศึกษาธิการ
ดังนั้น การเอา วิชาพระพุทธศาสนาออกจาก หลักสูตร จึงถือว่าไม่ถูกต้อง
ุถ้าเช่นนั้นแล้ว ต้องเอาคณิตศาสตร์ ออกด้วย เพราะว่า เด็กบางคนไม่ชอบคณิตศาสตร์ และไม่เชื่อในคณิตศาสตร์ แต่เด็กชอบวิชา ดราก้อนบอล
แบบนี้เป็นต้น |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
dd
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
ตอบ: 179
ที่อยู่ (จังหวัด): overseas
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 6:22 pm |
  |
สาธุ สาธุ สาธุ ครับคุณ guest!
ผมเห็นแต่ว่าประเทศที่มีศาสนานับถือพระผู้เป็นเจ้านั้น ในโรงเรียนเขามีหลักสูตรที่ต้องเรียนศาสนาของเขา ทั้งยังบังคับให้เข้าพิธีกรรมศาสนาเหล่านั้นด้วย
ความคิดแบบสิทธิมนุษยชนในการนับถือศาสนาที่แท้จริงไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ แม้ในตะวันตก ลองไปดูสิครับ เขาบังคับเรียนศาสนาจนอายุ ๑๘ ปี เรียกว่า ตอกตะปูแบบตัดหัว (ตะปู) ทิ้งเลย คือไม่มีโอกาสถอนเลย ถ้าไม่มีปุพเพกตปุญญตามา คนเหล่านี้ไม่มีโอกาส "หลุดรอด" จากตาข่ายแห่งมิจฉาทิฏฐิเลยเรียกว่า วนอยู่ในสังสารวัฏชนิดหาทางออกไม่เจอ เมื่อพูดถึงการยกเลิกหลักสูตรพุทธศาสนาในห้องเรียนสำหรับประเทศไทยแล้ว ก็เทียบได้กับการดับไฟให้ประเทศตกจมอยู่ในความมืดมากขึ้นๆ เห็นได้จากการขาดปัจจัยยึดเหนี่ยวด้านจิตใจของสังคมโดยเฉพาะเด็กในปัจจุบัน คำสอนของพระพุทธองค์นั้นเป็นตรรกะแท้จริงไม่เป็นไปเพื่อมอมเมาหรือโง่งมงาย เป็นไปเพื่อประโยชน์อันไพบูลย์แก่มนุษย์เทวดามารพรหมทั้งหลายโดยส่วนเดียว ไม่สามารถหาคำสอนใดๆ มาเปรียบเทียบได้
ถ้าจะพูดให้ตรง แม้เพียงได้เสพคุ้นคำสอนของพระพุทธเจ้าครั้งเดียวก็ยังเป็นอุปนิสัยปัจจัยเพื่อการพ้นทุกข์ได้ในวันหนึ่ง เช่นนี้จะไม่คิดว่าเป็นโอกาสทองของผู้ที่ได้มาเรียนรู้ดอกหรือ ในทางตรงข้าม หากตัดโอกาสของอภัพพสัตว์เหล่านั้นเสีย ในสมัยที่ยังมีคำสอนอยู่ มิเป็นความโหดร้ายแก่พวกเขาหรือ
หากท่านต้องเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในปฏิรูปเทสที่มีคำสอนของพระพุทธองค์แต่เกิดในตระกูลที่ นับถือพระเจ้า เขาบังคับมิให้ ท่านเรียนคำสอนของพุทธ ท่านคิดว่านี่เป็นความฉิบหายแก่ท่าน หรือจะขอบคุณสิทธิมนุษยชนที่ช่วยให้ท่านพลาดโอกาสทองนี้?
ผมยังมองไม่เห็นว่าการเรียนพุทธศาสนาเป็นสิ่งเสียหายแก่ใครเลย  |
|
_________________ ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 6:27 pm |
  |
guest พิมพ์ว่า: |
พ่อ จ้างลูก ให้ฟังธรรมะ
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โลกวรรคที่ ๑๓
๑๑. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี [๑๔๗]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรของท่านอนาถบิณฑิกะ ชื่อว่ากาละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปฐพฺยา เอกรชฺเชน" เป็นต้น.
บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม
ได้ยินว่า นายกาละนั้นเป็นบุตรเศรษฐีผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศรัทธาเช่นนั้น ก็ไม่ปรารถนาจะไปสู่สำนักของพระศาสดาเลย ไม่ปรารถนาจะฟังธรรม ไม่ปรารถนาจะทำการขวนขวายแก่สงฆ์ แม้ถูกบิดาพูดว่า "เจ้าอย่าทำอย่างนี้ พ่อ" ก็ไม่ฟังคำของท่าน.
ลำดับนั้น บิดาของเขาคิดว่า เจ้ากาละนี้ เมื่อถือทิฏฐิเห็นปานนี้เที่ยวไป จะเป็นผู้มีอเวจีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ก็เมื่อเรายังเห็นอยู่ บุตรของเราพึงไปสู่นรก ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราเลย ก็ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่เพ่งเล็งเพราะการให้ทรัพย์ ไม่มีในโลกนี้เลย เราจะทำลายทิฏฐิของบุตรนั้นด้วยทรัพย์."
ลำดับนั้น เศรษฐีพูดกะนายกาละนั้นว่า "พ่อ เจ้าจงเป็นผู้รักษาอุโบสถ ไปสู่วิหารฟังธรรมแล้วมาเถิด เราจะให้กหาปณะ ๑๐๐ แก่เจ้า."
กาละ. จะให้หรือ? พ่อ.
เศรษฐี. จะให้ ลูก.
นายกาละนั้นรับปฏิญญา ๓ ครั้งแล้ว เป็นผู้รักษาอุโบสถ ได้ไปสู่วิหารแล้ว แต่กิจด้วยการฟังธรรมของเขาไม่มี เขานอนในที่ตามความสำราญแล้ว ได้ไปบ้านแต่เช้าตรู่. ลำดับนั้น บิดาของเขาพูดว่า "บุตรของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาแก่เขาเร็ว" ดังนี้แล้ว ก็สั่งคนใช้ให้ๆ.
นายกาละนั้นห้ามอาหารเสีย ด้วยพูดว่า "เรายังมิได้รับกหาปณะจะไม่บริโภค" ลำดับนั้น บิดาของเขา เมื่ออดทนการรบกวนไม่ได้ จึงให้ห่อกหาปณะแล้ว. นายกาละนั้นต่อรับกหาปณะนั้นไว้ด้วยมือแล้ว จึงบริโภคอาหาร.
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เศรษฐีส่งเขาไป ด้วยพูดว่า "พ่อ เราจะให้กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า เจ้ายืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอาบทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา." เขาไปวิหาร ยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา ได้เป็นผู้ใคร่จะเรียนเอาบทแห่งธรรมบทเดียวเท่านั้น แล้วหนีไป.
ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงทำอาการ คือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำหนดบทนั้นไม่ได้แล้ว จึงได้ยืนฟังแล้วเทียว ด้วยคิดว่า "เราจะเรียนบทต่อไป." นัยว่าชนทั้งหลายต่อฟังอยู่ ด้วยคิดว่า "เราจะเรียนให้ได้ ชื่อว่าฟังโดยเคารพ.
ก็ธรรมดา เมื่อชนทั้งหลายฟังอยู่อย่างนี้ ธรรมย่อมให้โสดาปัตติมรรคเป็นต้น. ถึงนายกาละนั้นก็ฟังอยู่ด้วยคิดว่า "จะเรียนให้ได้." แม้พระศาสดาก็ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำลังยืนฟังอยู่เทียว ด้วยคิดว่า "จะเรียนต่อไป" จึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.(สำเร็จเป็นพระโสดาบัน)
================================
อ้างอิง : (http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6904273/Y6904273.html
แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 51 11:00:09
จากคุณ : SpiritWithin_HolyStream) |
แน่นอนฮะพี่
ถ้าลูกผมเอง ต้องสอนพระพุทธศาสนาแน่นอน
หาอุบายยิ่งกว่านี้อีก
หรือแม้จะเป็นอุบายหลอกให้คนเจอของดีก็ตาม
ถ้าลองคิดกลับกัน ว่าผมอยู่ในประเทศอิสลาม
ถูกบังคับให้เรียนอิสลาม ท่อง จำ ทำข้อสอบ เรียนอักษรของอิสลาม
โดยเขาคิดว่า นี่เป้นอุบายที่จะให้ผมพบพระเจ้า แล้วเดี๋ยวจะดีเอง
ผมจะทำยังไง |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 7:04 pm |
  |
คุณ คามินธรรม ครับ
ความคิดเห็นของผมนะครับ
เรื่องของคนชาติอื่นถูกบังคับให้เรียนศาสนาประจำชาติของตน
ก็เหมาะสมกับศาสนาและชาติของเค้าครับ
ชาติของเราเป็นชาวพุทธก็ต้องบังคับให้เรียนศาสนาพุทธ
จึงจะถูกต้องเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญเมืองเราคือเมืองพุทธ
ประชากรส่วนมาก ถึง เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ
ก็เหมาะที่จะบังคับให้เรียนพุทธศาสนา
การกำหนดให้มีหลักสูตรพระพุทธศาสนา
ก็ไม่ปรากฏข้อเสียหายอันใด
หากไม่มีหลักสูตรพระพุทธศาสนาเสียอีก
จะเป็นข้อเสียหาย
แล้วจะเรียกว่าเมืองพุทธได้อย่างไร
การกระทำสิ่งใดก็ตาม
การกระทำนั้น ๆ จะเป็นเหตุ
เราจึงต้องคำนึงถึงผล
ถ้าการกระทำนั้น
อาจก่อให้เกิดผลเสียอย่างมาก
โดยแทบหาผลดีไม่ได้
ก็ไม่ควรกระทำสิ่งนั้น
ดังนั้นการนำวิชาพุทธศาสนาออกจากหลักสูตร
จะก่อให้เกิดผลอย่างไร
ผมคิดว่าคุณคามินธรรม คงพอจะทราบผลอยู่แล้ว
เมื่อเรามั่นใจในศาสนาประจำชาติของเราแล้ว
เราบังคับให้ลูกหลานในชาติของเราเรียนแล้วจะเสียหายไปไหน
ส่วนศาสนาอื่นก็เป็นเรื่องของเค้าครับ
เป็นเรื่องอยู่ภายนอกครับ
เมื่อรับเข้ามาก็ยุ่งครับ
มองภายในดีกว่าครับ
พระพุทธองค์เป็นผู้สิ้นกิเลสนะครับ
สอนคนก็สอนอย่างผู้สิ้นกิเลสนะครับ
ส่วนผู้สอนมีกิเลส สอนคน
ก็สอนตามโครงการของกิเลสนั้นล่ะครับ
นี่ล่ะครับความแตกต่างของศาสดา และ ศาสนา ครับ
และขออนุโมทนากับความเห็นของทุกท่านข้างบนครับ
เป็นความเห็นที่ให้ความกระจ่าง และความสำคัญของพระพุทธศาสนา
อย่างชัดแจ้งครับ |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 8:04 pm |
  |
ขอนุโมทนาทุกท่านนะคับ
ผมอาจจะเขียนยาว เลยเข้าใจว่าผมไม่อยากให้เด็กเรียนศาสนากันแล้ว
ซึ่งออกจะวิปลาสไปหน่อยถ้าผมคิดอย่างนั้น
ถ้าศึกษาเนื้อความของผม
จะพบว่าผมเห็นด้วยว่าควรมวิชาพระพุทธศาสนาอยู่ในหลักสูตร
แต่
ที่ผมแนะให้เอาวิชาพระพุทธศาสนาออกนั้น
ผมได้เสนอวิชาอะไรบางอย่าง ใส่เข้าไปแทนด้วย
ในวิชานั้น ก็มีพระพุทธศาสนาด้วย
คัดมาจากเนื้อกระทู้นี้แหละคับ ส่วนผมพูดในส่วนท้ายๆ
อ้างอิงจาก: |
2.3 หลักสูตรเกี่ยวกับศาสนา
- ต้องให้เขารู้เสียก่อนว่าศาสนา มีความสำคัญอย่างไร
มันเกิดมาจากอะไร มนุษย์ยุคก่อนเขาคิดอะไร
คนสมัยก่อนเขาอยู่กับศาสนายังไง
มีวิวัฒนาการมาถึงปัจจุบันยังไง
แล้วทุกวันนี้ ศาสนามีบทบาทอะไร ตอบโจทย์อะไรให้เขา
- ต้องมีศาสนาให้เขาเลือก ให้เขาได้ศึกษากว้างๆ
ไม่บังคับเรียนศาสนาพุทธอีก
ให้ทุกศาสนาทำหลักสูตรเข้ามาเสนอตัวอย่างเท่าเทียมกัน
แล้วเอามาให้เด็กได้ลองศึกษาดู
โดยเราต้องให้โอกาสทุกศาสนาที่เป้นที่ยอมรับ
ได้จัดทำ "ภาพรวม" ของศาสนาตัวเอง
ว่ามีจุดมุ่งหมายอะไร มีความเชื่ออะไร ช่วยเขาได้ตรงไหน
อนึ่ง ในระดับสูง เช่น ม.ปลาย หรืออาชีวะ
ก้ให้กับมามีวิชาศาสนาอีกครั้ง
เพราะเขาคงเลือกศาสนาได้แล้ว แล้วก็ให้เป้นวิชาปกติ มีเกรด
แต่เวลาเรียน เราไปเรียนกับวัด กับโบสถ์ กับมัสยิด ในวันเสาร์อาทิตย์
ใครชอบอะไรก็ไปเรียน และรัฐให้การอุดหนุนรายหัว
หลักสูตรก็ให้ศาสนานั้นๆ จัดเองโดยหลักสูตรต้องผ่านความเห็นชอบของสภาการศึกษา
(ระบบสภา จะกรองความไม่ดีงาม และผลประโยชน์ออกไป เพราะรัฐต้องอุดหนุนรายหัว เดี๋ยวจะมีพวกเอาศาสนามาหากินกับเด็ก) |
ย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้ต่อต้านการมีวิชาพระพุทธศาสนาในหลักสูตรนะคับ
พาดหัวข่าวไปอย่างนั้นเอง แต่เนื้อความได้อธิบายโดยละเอียดแล้ว |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
27 ส.ค. 2008, 8:22 pm |
  |
อ่านกระทู้นี้แล้วก็สงสัยนึกถึงเรื่องไดโนเสาร์ตอนที่เกิดลูกอุกกาบาศน์ล้างโลก ใครพอจะมีประวัติพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร หลังโลกถูกถล่มไปแล้วบ้างคะ หรือศาสนาอื่นๆ ก็ได้ค่ะ เผื่อใครไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 9:46 am |
  |
โรงเรียนควรสอนเรื่องศาสนา
การสอนศาสนาควรเป็นหน้าที่ของครอบครัว วัด โบลถส์ มัดสยิด
ตามศรัทธาของแต่ละครอบครัว หรือบุคคล |
|
|
|
   |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 12:15 pm |
  |
ผมว่าวิชาอื่นที่ไม่ทำให้ถึงนิพพาน เอาออกให้หมด ไม่ต้องเรียน
เหลือแต่วิชาพุทธศาสนาอันเดียวครับ  |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 8:39 pm |
  |
ฌาณ พิมพ์ว่า: |
ผมว่าวิชาอื่นที่ไม่ทำให้ถึงนิพพาน เอาออกให้หมด ไม่ต้องเรียน
เหลือแต่วิชาพุทธศาสนาอันเดียวครับ |
โรงเรียนไหน
จะไปสมัครเรียน |
|
|
|
   |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 10:44 am |
  |
ถ้างั้นก็ใส่หลักสูตรศาสนาคริสต์ กับ ศาสนาอิสลาม เข้าไปด้วยในหลักสูตรภาคบังคับ เด็กทุกคนจะได้ถูกบังคับให้ศึกษาคำสอนของศาสนาอื่นๆ นอกจากศาสนาที่ตนนับถือ.....
ก็น่าจะดีนะครับ...จะได้เข้าใจกันมากขึ้นครับ...  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 10:47 am |
  |
walaiporn พิมพ์ว่า: |
อ่านกระทู้นี้แล้วก็สงสัยนึกถึงเรื่องไดโนเสาร์ตอนที่เกิดลูกอุกกาบาศน์ล้างโลก ใครพอจะมีประวัติพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร หลังโลกถูกถล่มไปแล้วบ้างคะ หรือศาสนาอื่นๆ ก็ได้ค่ะ เผื่อใครไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ |
พระพุทธเจ้าจะโปรดได้....เมื่อสัตว์มีความโลภ.....  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 12:07 pm |
  |
อันนี้ตอบยากนะครับว่าควรจะถอดออกจากหลักสูตรดีไหม เพราะผมคิดว่า มันคล้ายกับกรณี กฎ 5 ข้อ ที่พระเทวทัตเสนอให้พระพุทธองค์กำหนดเป็นกฎน่ะครับ คือมองในเบื้องต้นนั้นท่าจะดีแต่ในระยะยาวแล้วไม่ดีแน่ๆ
ที่บอกว่าเหมือนจะดีนั้น ก็เพราะว่าถือเป็นสิทธิ์ของบุคคลในการเลือกนับถือศาสนา แต่ในทางกลับกันจะทำให้คนนั้นเลือกที่จะไม่สนใจศาสนาด้วยเช่นกัน อย่างในญี่ปุ่นมีคนไม่นับถือศาสนาใดๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะศาสนาไม่ได้ช่วยให้เขามีกินมีใช้ เซ็นนั้นเหมาะกับนักปราชญ์ คนทั่วไปเข้าถึงยาก วัดเซ็นตอนนี้เลยเป็นวัดร้างซะเยอะ เพราะลูกหลานไม่สืบทอดกันแล้ว ไปหาคริสต์ซึ่งเข้าถึงง่ายแค่ "เชื่อ" อย่างเดียวก็ได้ไปหาพระเจ้ากันแล้ว แถมยังดูอินเตอร์และโก้เก๋กว่าเป็นไหนๆ
การถอดออกจากการเรียนการสอนแล้วให้เป็นแบบเลือกเรียนแบบเสรีนั้นมันเหมือนเป็นการทำให้เด็กรู้สึกว่า จะเรียนก็ได้ไม่เรียนก็ได้ เหมือนกับการบอกว่าศาสนาพุทธนั้นนับถือกันที่ใจ อยู่ที่การปฏิบัติ แล้วจากนั้นอีกสองสามพันปีแล้วทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเหลือ มีแค่ผ้าเหลืองทัดหูเพื่อบอกว่าเป็นพระสงฆ์ แล้วจากนั้นก็ไม่จำเป็นแล้วผ้าเหลือง มันอยู่ที่ใจต่างหาก แล้วก็ไม่เหลืออะไรเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา เช่นเดียวกับกรณีที่มีพระบอกว่าการถือเอาวัตถุเป็นเครื่องเคารพบูชานั้นไม่ใช่พุทธแท้ พระพุทธรูปนี้เป็นทองเหลืองเท่านั้นไม่ใช่พระพุทธองค์แน่ ถูกต้องครับ ไม่ใช่พระพุทธองค์แน่ แต่มันเป็นเครื่องเตือนใจเราให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ ระลึกถึงคำสอนของท่าน มันแสดงความมีตัวตนของศาสนาพุทธเรา ขนาดคริสต์ที่ห้ามกราบไหว้รูปเคารพ เขายังมีรูปเคารพเลย
ผมเห็นว่าควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนศาสนาเปรียบเทียบมากกว่า สอนมันทุกศาสนาเลย เสี่ยงหน่อยที่เด็กเราอาจจะปันใจให้ศาสนาอื่นแต่ก็ทำให้เด็กได้มีโอกาสเห็นข้อดีข้อด้อยของทุกศาสนาแล้วเลือกที่จะรับศาสนาไหนไว้เป็นหลักยึดในชีวิตของตนผมว่าอันนี้เป็นการสมควรมากกว่าครับ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
   |
 |
|