Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กำเนิดมนุษย์ ? (อธิบายการเกิดในแง่วิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากหนังสือ ใคร ? ให้คุณเกิด...(ของอาจารย์บุษกร เมธางกูร)
---------------------------------------------------------------


กำเนิดมนุษย์นั้น…. เป็นไฉน

เรื่องของการเกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่สงสัยกันมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งในคัมภีร์สังยุตตนิกาย (อินทกสูตร ยักขสังยุต) กล่าวว่า ในสมัยหนึ่ง พระศาสดาของเราประทับอยู่ ณ ภูเขาอินทกูฏ ในมคธรัฐ สมัยนั้นมียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า อินทกะ ได้ทูลถามพระศาสดาว่า สัตว์ที่ปฏิสนธิในท้องมารดาได้ร่างกายมาจากไหน กองกระดูกก็ได้มาจากไหน เข้าปฏิสนธิในท้องมารดาได้อย่างไร และการเป็นไปในท้องมารดาเป็นมาอย่างไร

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการก่อกำเนิดมนุษย์ที่เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดาไว้ดังนี้

http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=6627&Z=6642&pagebreak=0

“ ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ
อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน
ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เกสา โลมา นขาปิ จ
ยญฺจสฺส ภุญฺชตี มาตา อนฺนํ ปานญฺจ โภชนํ
เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตุกุจฺฉิคฺคโต นโร ฯ “
แปลว่า “ รูปนี้เริ่มแรกเกิดเป็นกลละ (กะละละ) ก่อน จากกลละเกิดเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ (คะนะ) จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้นก็มี ขน ผม และเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น มารดาของทารกในครรภ์นั้นบริโภคข้าวน้ำอาหารฉันใด ทารกที่อยู่ในครรภ์นั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารนั้นในครรภ์มารดานั้น ฉันนั้น “

แม้ในอรรถกถาสารัตถัปปกาสินี ก็อธิบายถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดาตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตรข้างต้นนั้นไว้ว่า

“ ในสัปดาห์แรกแห่งการปฏิสนธินั้น เกิดเป็นกลลรูป คือเป็นหยาดน้ำใสเหมือนน้ำมันงา ในสัปดาห์ที่ ๒ หลังจากกลลรูป เกิดเป็นอัพพุทรูปขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นฟองสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ในสัปดาห์ที่ ๓ หลังจากอัพพุทรูป ก็ได้เกิดเป็นเปสิรูป ซึ่งมีลักษณะเหมือนชิ้นเนื้อที่เหลวๆ สีแดง ในสัปดาห์ที่ ๔ หลังจากเปสิรูป ก็ได้เกิดเป็นฆนรูปขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อน มีสัณฐานเหมือนไข่ไก่ ในสัปดาห์ที่ ๕ หลังจากฆนรูป จึงได้เกิดปัญจสาขาขึ้น คือรูปนั้นงอกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ เป็นศีรษะ ๑ แขน ๒ ขา ๒ ต่อจากนั้น คือในระหว่างสัปดาห์ที่ ๑๒ ถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ ผม ขน เล็บ ก็ปรากฏขึ้น “

ในหนังสือ พระอภิธรรมพิศดาร โดย ส. สายเกษม เล่มที่ ๒ หน้า ๔๓๖ ได้อธิบายคำว่า “กลละ” ไว้ดังนี้
คำว่า กลละ ได้แก่น้ำใสสะอาดที่ปฏิสนธิในท้องมารดา ความใสของน้ำสะอาดนี้ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาของมนุษย์ คะเนว่า เหมือนหยาดน้ำมันงา หรือน้ำมันเนย ซึ่งพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า

ติลเตลสฺส ยถา พินฺทุ สปฺปิมณฺโฑ อนาวิโล
เอวํ วณฺณปฏิภาคํ กลลํ สมฺปวุจฺจติ ฯ
แปลว่า เหมือนหยาดน้ำมันงา หรือน้ำมันเนย มีวรรณะอย่างนี้เรียกว่า กลละ น้ำกลละนี้มีเวลาตั้งอยู่เพียง ๗ วันเท่านั้น เมื่อครบ ๗ วันแล้วก็แปรสภาพเป็นอัพุทะ แปลว่าน้ำข้นเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง ตลอด ๗ วัน เมื่อครบ ๑๔ วันแล้ว อัพพุทะ นี้ก็แปรสภาพเป็น เปสิ มีสีเหมือนดีบุกตลอด ๗ วัน เมื่อ ๒๑ วันแล้ว เปสิ นี้ก็แปรสภาพเป็น ฆนะ เป็นก้อนเหมือนกับเยื่อไข่ตลอด ๗ วัน ในอรรถกถากำกับไว้ดังนี้

ยถา กุกฺกุฏิยา อณฺฑํ สมนฺตํ ปริมณฺฑลํ
เอวํ ฆนสฺสสณฺฐานํ นิพฺพตฺตํ กมฺมปจฺจยา ฯ
แปลว่า เหมือนกับไข่ไก่กลมโดยประการทั้งปวง รูปของฆนะปฏิสนธิก็เช่นนั้นเพราะกรรมดังนี้ เมื่อครบ ๒๘ วันแล้วก็แปรแปรสภาพเป็นปุ่มสำหรับสาขาทั้ง ๕ คือ ศีรษะ ๑ แขน ๒ ขา ๒ รวม ๕ ตลอด ๗ วัน รวมสัปดาห์ ๕ สัปดาห์ เป็น ๓๕ วัน
พระบาลีในสังยุตตนิกาย แสดงไว้ว่า
ปญฺจิเม โข ภิกฺขเว สตฺตาเห ปญฺจ ปิฬกา ชายนฺติ สณฺฑหนติ กมฺมโต ฯ
แปลว่า ในสัปดาห์ที่ ๕ นั้น ปิฬก คือ ปุ่มสำหรับจะเกิดเป็น ศีรษะ แขน ขา ก็ย่อมปรากฏเพราะกรรม แต่นั้นต่อไปจนถึง สัปดาห์ที่ ๑๑ คือ ๗๗ วัน จึงบริบูรณ์ด้วย จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา รวม ๔ ประการ ปรากฏตามลำดับ….
ทั้งหมดนี้ คือคำสอนในทางพุทธศาสนาที่มีมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ได้นำมาเรียบเรียงเป็นภาษาบาลี และถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาจนถึงยุคปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าการเกิดขึ้นเป็นมนุษย์นั้น จะต้องมีการเจริญเติบโตไปตามขั้นตอน ที่สรุปได้ดังนี้

สัปดาห์ที่ ๑ เป็น กลละ มีลักษณะใสดุจน้ำมันเนย มีขนาดเล็กมากเท่าหยดน้ำมันงาที่นำปลายขนจามรีมาจุ่มและสลัดออก ๗ ครั้ง กลละจะมีขนาดเท่าหยดที่ ๗ ซึ่งเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
สัปดาห์ที่ ๒ เป็น อัพพุทะ มีลักษณะข้นขึ้น ดุจน้ำล้างเนื้อ
สัปดาห์ที่ ๓ เป็น เปสิ มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อ
สัปดาห์ที่ ๔ เป็น ฆนะ มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ มีสัณฐานดังไข่ไก่
สัปดาห์ที่ ๕ เป็น ปสาขะ มีลักษณะแตกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ ศีรษะ ๑ แขน ๒ ขา ๒ เรียกว่า ปัญจสาขา
สัปดาห์ที่ ๖ เป็น ปริปากะ เป็นปัญจสาขาที่แก่ตัว คือเจริญเต็มที่
สัปดาห์ที่ ๗ เกิด จักขุปสาท มีการเจริญทางประสาทตา
สัปดาห์ที่ ๘ เกิด โสตปสาท มีการเจริญของประสาทหู
สัปดาห์ที่ ๙ เกิด ฆานปสาท มีการเจริญของประสาทจมูก
สัปดาห์ที่ ๑๐ เกิด ชิวหาปสาท มีการเจริญของประสาทลิ้น
ส่วน กายปสาท นั้นมีมาแล้วในขณะที่เกิดปฏิสนธิจิต นับตั้งแต่อุปาทะขณะของปฏิสนธิจิตที่เรียกว่าปฏิสนธิกาลเป็นต้นไป
ต่อจากนั้นสัปดาห์ที่ ๑๑ จะเจริญต่อไป สร้างอวัยวะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น เป็นต้น จนกว่าจะครบอาการ ๓๒ จึงจะรวมเป็นสัตว์ผู้เกิดในครรภ์มารดา ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์จะอยู่ในครรภ์มารดาถึง ๒๙๔ วัน หรือ ๙ เดือน ๒๔ วัน
ปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าของงานวิชาการทางโลก โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์มีความเจริญมากขึ้น มีการประดิษฐ์กล้องจุลทัศน์ ทำให้การศึกษาค้นคว้าในเรื่องการเกิดมีความรุดหน้ามาก ทำให้ทราบความเป็นไปจนได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องการปฏิสนธิ และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามในหลักของพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาว่า จะต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการคือ
๑. มาตา อุตุนี โหติ แปลว่า มารดามีระดู
๒. มาตาปิตโร สนฺนิปาตา โหนฺติ แปลว่า มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน
๓. คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ แปลว่า มีสัตว์มาเกิด
ปรากฏว่าวิชาการทางโลกกล่าวถึงปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดเพียงประการที่ ๑ และ ๒ เท่านั้นคือ
๑. มารดามีระดู หมายถึง มีการตกไข่ (Ovualation) เกิดขึ้นในครรภ์มารดา

(ไม่ได้คัดลอก เนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการตกไข่ )

๒. มารดาและบิดาอยู่ร่วมกัน หมายถึงจะต้องมีการปฏิสนธิคือมีสเปิร์มอันได้แก่เชื้ออสุจิจากพ่อ เข้าผสมกับเซลล์ไข่ของแม่
เสปิร์ม หรือเชื้อจากพ่อนั้น เกิดจากขบวนการ Spermatogenesis โดยการแบ่งแบบไมโอซิสของเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อภายในท่อสร้างสเปิร์ม (seminiferous tubule) ซึ่งอยู่ภายในถุงอัณฑะ (testis)
การแบ่งเกิดขึ้นเหมือนกับในเพศแม่ ต่างกันแต่เพียงว่า การแบ่งเซลล์ในเพศชายนั้นเริ่มต้นจากเซลล์ที่มีชื่อว่า spermatogoninum ซึ่งจะมีการแบ่งแบบไมโตซิสก่อนได้ ๒ เซลล์ ที่มีโครโมโซมเท่าเดิมคือ ๔๖ (๔๔ + XY) ต่อจากนั้นจะมีเพียงหนึ่งเซลล์เท่านั้นเจริญ (โต) ขึ้นเป็น primary spermatocyte ซึ่งเป็นเซลล์ที่แบ่งแบบไมโอซิส (ส่วนอีก ๑ เซลล์ยังคงเป็น spermatogoninum ตามเดิม ) การแบ่งของ primary spermatocyte นี้จะเกิดขึ้นติดต่อกัน ( ๒ ครั้ง) จนแล้วเสร็จได้เซลล์ ๔ เซลล์ ที่มีจำนวนโครโมโซมลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง คือ ๒๓ (๒๒ + X) หรือ ๒๓ (๒๒ + Y) ซึ่งเซลล์ที่ได้นี้ต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างสร้างหางเรียกว่าตัวสเปิร์ม (spermatozoa ) ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนที่เข้าผสมกับเซลล์ไข่นั่นเอง
การแบ่งเซลล์สืบพันธุ์ในเพศชายต่างกับเพศหญิง เพราะในเพศชายจะเริ่มต้นแบ่งแบบไมโตซิสจาก เซลล์ spermatogoninum ซึ่งมีการสร้างชดเชยอยู่ตลอดเวลา ทำให้ spermatogoninum ในเพศชายไม่มีวันหมด เพศชายจึงสามารถสร้างสเปิร์มได้ตลอดชีวิต ในขณะที่เพศหญิงนั้นเริ่มต้นจากการแบ่งแบบไมโอซิสของเซลล์ primary oocyte ซึ่งเมื่อแบ่งแล้วเซลล์ชนิดนี้จะหมดลงไปเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงวัยหนึ่ง ประมาณอายุ ๔๕ ปี เพศหญิงจึงไม่อาจสร้างไข่ได้อีกต่อไปและที่สำคัญการแบ่งเซลล์ในเพศชายนั้นจะเริ่มจาก spermatogoninum ที่มีจำนวนมาก จึงทำให้เซลล์สเปิร์มที่ได้มีจำนวนมากมาย ซึ่งในการปล่อยน้ำเชื้อของผู้ชายแต่ละครั้งจะมีสเปิร์มเข้าผสมจำนวนประมาณ ๓๐๐ – ๕๐๐ ล้านตัว แต่จะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่เข้าผสมกับไข่ได้ซึ่งเรียกการผสมนี้ว่า การปฏิสนธิ ( fertilization )

การปฏิสนธิ จึงหมายถึง กระบวนการที่มีสเปร์มเข้าไปรวมกับไข่ เมื่อผสมแล้วได้เป็นเซลล์ใหม่ที่มีชื่อว่า ไซโกต
ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิสนธิ คือ
๑. ได้ไซโกต ที่มีโครโมโซมเป็น ๒ ชุด ( ๒n = diploid number คือ ๔๖ โครโมโซม )
๒. เกิดความแตกต่างของลักษณะโครโมโซม ( variation ) เพราะชีวิตใหม่ที่อุบัติขึ้นมานี้ ได้รับโครโมโซมครึ่งหนึ่งจากพ่อ และอีกครึ่งหนึ่งจากแม่ ( n = haploid คือ ๒๓ โครโมโซม)
๓. เกิดการกำหนดเพศ โดย * chromosome ของตัวสเปิร์มเป็นตัวกำหนด ถ้าเป็น X- sperm เข้าผสมก็จะเป็นเพศหญิงแต่ถ้า Y- sperm เข้าผสมก็จะเป็นเพศชาย


ในขณะที่ประการที่สาม คือ มีสัตว์มาเกิด ซึ่งหมายถึงจะต้องมีจิตมาปฏิสนธิยั้ย ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจทำการทดลอง และพิสูจน์ได้ ในขณะที่ปัจจัยข้อนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่า ชีวิตนั้นจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ จะอยู่รอดได้เพียงใด และจะมีบทบาทของชีวิตอย่างไร เพราะจิตที่เกิดขึ้นมาในขณะปฏิสนธินั้น ย่อมพกพาเจตนาซึ่งมีอำนาจแห่งวิบากกรรมทั้งหลายที่ผู้นั้นได้กระทำติดตามมาด้วย และนี่คือประการที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาข้อหนึ่งที่จะทำให้คนเชื่อเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด

บุคคลผู้ใดไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด บุคคลนั้นมิใช่พุทธศาสนิกชนที่แท้จริง

เพราะแม้ในเส้นทางแห่งการดำเนินสู่การตรัสรู้ เพื่อการบรรลุอมตธรรมนั้น ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะพระมหาบุรุษ ประทับนั่งบนบัลลังก์แก้ว ก่อนที่จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทรงเจริญสมาธิภาวนาทำจิตให้แน่วแน่ จนบรรลุปฐมฌาน จากนั้นทรงเจริญญาณอันเป็นองค์ปัญญาชั้นสูงสุด ยังพระโพธิญาณให้บังเกิดขึ้นตามลำดับตามระยะกาลแห่งยามสามในราตรีนั้น ซึ่งในปฐมยามนั่นเองพระองค์ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อันหมายถึง ญาณที่ทรงสามารถระลึกถึงอดีตชาติที่พระองค์ทรงบังเกิดมาแล้วทั้งสิ้นได้ ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หมายถึง ญาณที่สามารถหยั่งรู้การเกิด การตาย ตลอดจนการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์อื่นทั้งหลายได้หมด และแล้วในปัจฉิมยาม ได้ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ อันเป็นญาณที่ทรงปรีชาสามารถทำลายอาสวกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้นไปด้วยพระปัญญาพิจารณาในปัจจยาการแห่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม ก็ทรงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทโธ ในเวลาปัจจุสมัยแห่งรุ่งอรุโณทัยในวันวิสาขปุณณมีนั่นเอง

พุทธศาสนิกชนที่แท้จริง หรือผู้ที่กำลังดำเนินตามรอยธรรมแห่งพระพุทธชินสีห์ จึงต้องเป็นผู้ที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นผู้ที่จะเป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ จึงต้องเรียนรู้ให้เข้าใจว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราต้องเวียนว่ายตายเกิด
กิเลส ( ตัณหา ) นั่นเอง เป็นตัวการที่ทำให้คนเราต้องเกิด
…..ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมหนีไม่พ้นซึ่งความตาย
…..จุดหมายปลายทางของทุกชีวิตในแต่ละชาติๆ คือ ความตาย
------------------------------------------------------------
จากพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค ได้อธิบายวิถีจิตเกี่ยวกับความตาย ไว้ดังนี้

มรณาสันนวิถี
http://abhidhamonline.org/aphi/p4/059.htm

http://abhidhamonline.org/aphi/p4/060.htm

ดังนั้นบรรดาสัตว์ทั้งหลายผู้ยังไม่สิ้นกิเลส เมื่อตายลงจะต้องเกิดอีกแน่นอน ฉะนั้นเมื่อจะถึงแก่ความตาย จะต้องมีอารมณ์ ๓ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเนื่องจากกรรมทั้ง ๔ ดังกล่าวแล้วมาปรากฏเป็นอารมณ์แก่มรณาสันนวิถี

ประการสำคัญอารมณ์สุดท้ายหรือนิมิตที่มาปรากฏในมรณาสันนวิถีนั้น ย่อมเป็นตัวกำหนดภพภูมิให้แก่ผู้ที่จะตายนั้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะจะเป็นตัวผลักส่งให้ผู้ตายนั้นไปเกิดใหม่ มีจิต เจตสิก กรรมชรูป ขึ้นมาในภพชาติใหม่ตามแต่อำนาจของอารมณ์ หรือเจตนาอันเป็นบุญ หรือบาปที่เกิดขึ้นเมื่อตอนใกล้จะถึงแก่ความตายนั่นเอง คือ ตอนใกล้ตาย

หากมีอารมณ์ ๓ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวกับโลภมูลจิต ๘ ดวงใดดวงหนึ่ง ผู้นั้นย่อมปฏิสนธิชาติใหม่เป็น เปรต อสุรกาย

หากมีอารมณ์ ๓ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวกับโทสมูลจิต ๒ ดวงใดดวงหนึ่ง ผู้นั้นย่อมปฏิสนธิชาติใหม่เป็น สัตว์นรก

หากมีอารมณ์ ๓ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวกับโมหมูลจิต ๒ ดวงใดดวงหนึ่ง ผู้นั้นย่อมปฏิสนธิในชาติใหม่เป็น สัตว์เดรัจฉาน

หากมีอารมณ์ ๓ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวกับมหากุศลจิต ๘ ดวงใดดวงหนึ่ง ผู้นั้นย่อมปฏิสนธิในชาติใหม่เป็น มนุษย์ หรือเทวดาหนึ่งใน ๖ ชั้น

ด้วยเหตุนี้อำนาจกรรม หรืออำนาจเจตนา ตอนใกล้ตายจึงมีอิทธิพลมาก เพราะเป็นตัวการสำคัญที่จะส่งบุคคลให้ไปยังที่ใดๆ ได้กล่าวได้ว่าผู้ตายอาศัยอารมณ์ ๓ ที่เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งนี้เป็นหนทางไปสู่การปฏิสนธิใหม่นั่นเอง

ดังกล่าวมาแล้วว่า เมื่อจุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตจะเกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีอะไรมาคั่น ดังนั้นเมื่อการเกิดของชีวิตมีขึ้นตราบใด ปฏิสนธิจิตย่อมมีเกิดขึ้นตราบนั้น หมายความว่าขณะที่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น คือในทันทีที่สเปิร์มเข้าผสมกับไข่ จะต้องมีการเกิดขึ้นพร้อมกับจิตดวงที่เรียกว่า “ปฏิสนธิจิต” ซึ่งเป็นจิตที่เกิดขึ้นต่อจากการดับของจุติจิตในภพชาติที่แล้วนั่นเอง

ภ. น. ท. ม. ช. ช. ช. ช. ช. ภ. จติ. ปฏิ. (ปฏิสนธิจิต)

พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดใดเลย หมายความว่า ในรอบของการเวียนว่ายตายเกิดอันนับภพนับชาติไม่ถ้วนนั้น เราทุกคนเคยเกิดมาเป็นสัตว์แทบทุกชนิดแล้ว ผ่านการเกิดในภพภูมิต่างๆ มาแล้ว ยกเว้นในชั้นสุทธาวาส ๕ เท่านั้นซึ่งเป็นภพภูมิอันเป็นที่เกิดของผู้ที่เป็นพระอริยะเบื้องสูง คือ พระอนาคามี ดังนั้นภพภูมิที่มีถึง ๓๑ ภูมินั้น เราเวียนว่ายตายเกิดกันมาแล้วใน ๒๖ ภูมิ ได้แก่
๑. อบายภูมิ ๔ คือ การเกิดเป็น ๑.สัตว์นรก
๒. เปรต
๓.อสุรกาย
๔.สัตว์เดรัจฉาน
๒. มนุษยภูมิ ๑ คือ การเกิดเป็น ๕. มนุษย์
๓. เทวภูมิ ๖ คือ การเกิดเป็น ๖. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
๗. เทวดาชั้นดาวดึงส์
๘. เทวดาชั้นยามา
๙. เทวดาชั้นดุสิต
๑๐. เทวดาชั้นนิมมานรดี
๑๑. เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
๔.รูปาวจรภูมิ คือ การเกิดเป็นพรหมต่างๆ ดังนี้
-- ปฐมฌานภูมิ ๓ ๑๒. พรหมชั้นปาริสัชชา
๑๓. พรหมชั้นปุโรหิตา
๑๔. พรหมชั้นมหาพรหมมา
-- ทุติยฌานภูมิ๓ ๑๕. พรหมชั้นปริตตาภา
๑๖. พรหมชั้นอัปปมาณาภา
๑๗. พรหมชั้นอาภัสสรา
-- ตติยฌานภูมิ ๓ ๑๘. พรหมชั้นปริตตสุภา
๑๙. พรหมชั้นอัปปมาณสุภา
๒๐. พรหมชั้นสุภกิณหา
-- จตุตฌานภูมิ ๒ ๒๑. พรหมชั้นเวหัปผลา
๒๒. พรหมชั้นอสัญญสัตตา
แต่ภูมิที่เราไม่เคยเกิด คือ สุทธาวาสภูมิ ๕ ได้แก่
๒๓. พรหมชั้นอวิหา
๒๔. พรหมชั้นอตัปปา
๒๕. พรหมชั้นสุทัสสา
๒๖. พรหมชั้นสุทัสสี
๒๗. พรหมชั้นอกนิฏฐา

๕. อรูปาวจรภูมิ ๔ คือ เกิดเป็นอรูปพรหมต่างๆ ดังนี้

๒๘. อรูปพรหมชั้นอากาสานัญจายตนะ
๒๙. อรูปพรหมชั้นวิญญาณัญจายตนะ
๓๐. อรูปพรหมชั้นอากิญจัญญายตนะ
๓๑. อรูปพรหมชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ


กล่าวได้ว่าปัจจุบันที่เราอยู่ในภพภูมิมนุษย์นี้ เราอาจมาจากจุติจิต (ตาย) ของสัตว์เดรัจฉานชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจจะมาจากจากจุติจิต (ตาย) ของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งในชาติที่แล้วเป็นต้น แต่ก่อนตายนั้น มรณาสันนวิถีมีอารมณ์อันเป็นกุศล เช่น เห็นผู้คนเป็นคตินิมิต เมื่อจุติจิต (ในชาติที่แล้ว) ดับลง ปฏิสนธิจิตจึงเกิดขึ้นทันทีในครรภ์มารดา (ในชาตินี้) แต่เพราะภพภูมิปิดกั้นความทรงจำ จึงทำให้ไม่อาจระลึกได้ว่า เรามาจากไหน ยกเว้นผู้ที่มีอภิญญาเท่านั้น ฉะนั้นการที่คนเราระลึกชาติไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่มีความเห็นผิด ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้มีความประมาทในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก




โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา ๙ - ๑๐ เดือนที่อยู่ในครรภ์มารดานั้น ชีวิตไม่มีความนึกคิด ที่จะสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นการเริ่มต้นจากเซลล์ๆ เดียวที่มีขนาดเล็กมากไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน จึงทำให้คนเราสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยกล้องจุลทรรศ์ที่มีกำลังขยายสูงซึ่งพบว่า เซลล์ไซโกตเดียวนี่เอง คือที่มาของชีวิต ๑ ชีวิต

อำนาจอะไร จึงทำให้เซลล์เพียงเซลล์เดียวกลายมาเป็นคนที่มีแขน ขา รวมทั้งรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน

คำถามนี้ สำหรับผู้ที่เรียนและมีความเข้าใจในอภิธรรมย่อมมีคำตอบให้กับตนเองได้ แต่ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา แม้จะมีความเชี่ยวชาญในวิชาการทางโลก คงให้คำตอบได้แต่เพียงว่า การเกิดเป็นมนุษย์มีแขน ขา และรูปร่างหน้าตานั้น เกิดขึ้นต่อเมื่อไซโกตที่ได้จากการปฏิสนธินั้นเจริญเติบโตต่อไป โดยผ่านกระบวนการที่สำคัญ คือ

๑. มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ โดยการแบ่งเซลล์แบบไมโตซิส ซึ่งเซลล์ใหม่ที่ได้จะมีโครโมโซมเท่าเดิม และมีลักษณะพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ
๒.มีการเพิ่มขนาดของเซลล์ ทำให้เซลล์โตขึ้น
๓.มีการแปรสภาพของเซลล์ (differentiation) ทำให้เกิดเนื้อเยื่อต่างๆ
๔.มีการสร้างอวัยวะ (orGanogenesis) และรูปร่างของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ (morphogenesis)

โดยกระบวนการ ๔ ขั้นนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้
๑.ไซโกตที่เกิดจากการปฏิสนธิ โดยการรวมโครโมโซมจากนิวเคลียสของสเปิร์มและไข่นั้น จะแบ่งตัวแบบไมโตซิส เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ ( ในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ไปตามท่อนำไข่เพื่อเข้าสู่มดลูก) การแบ่งตัวนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการปฏิสนธิ ๓๐ ชั่วโมง และแบ่งตัวเรื่อยไปประมาณ ๓ วัน จะได้ ๑๖ เซลล์ รูปร่างตัวอ่อนในระยะนี้คล้ายผลน้อยหน่า เรียกว่า Morula ซึ่งยังคงมีขนาดเท่ากับไซโกตแม้จะมีการเพิ่มจำนวนเซลล์แล้วก็ตาม เพราะเซลล์ที่เพิ่มขึ้นนั้นมีขนาดเล็กลง ตัวอ่อนนี้ยังคงถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มเซลล์ที่เป็นสารอาหาร

กรณีการเกิดฝาแฝดแท้ ที่ทำให้ได้ทารก ๒ คนที่มีลักษณะหน้าตาเหมือนกันนั้น เป็นเพราะขนะที่ไซโกตกำลังแบ่งตัวแบบไมโตซิสครั้งแรกนั้น เซลล์ ๒ เซลล์ที่ได้จะมีลักษณะของโครโมโซมที่เหมือนกันทุกประการ แล้ว ๒ เซลล์นี้ต่างเซลล์ (blastometic) ต่างเจริญไปเป็นทารก ๑ คน จึงได้ทารก ๒ คนที่มีลักษณะเหมือนกันเพราะนั่นคือ เด็กแฝด ๒ คนที่มาจากเซลล์ไซโกตเซลล์เดียวกัน จึงมีสารพันธุกรรม (ดี เอ็น เอ) เหมือนกันทุกประการ

๒.ในขณะที่ตัวอ่อน Moruna เจริญอยู่นั้น เกิดการเคลื่อนตัวของเซลล์ภายใน ทำให้เกิดช่องว่าง เปลี่ยนจากตัวอ่อนที่กลมตันมาเป็นตัวอ่อนที่กลมและมีช่องกลวงภายใน เรียกตัวอ่อนนี้ว่า blastocyst ซึ่งจะเป็นตัวอ่อนที่เคลื่อนที่เข้าสู่มดลูก และลอยตัวอยู่ในมดลูกประมาณ ๒ วัน ในระยะนี้ตัวอ่อนยังคงแบ่งตัวไปเรื่อยๆ จนมีขนาดโตเต็มที่ ก็จะปริตัวออกมาจากเกราะ หรือเซลล์รอบๆ ที่ทำหน้าที่เป็นอาหาร เพื่อฝังตัวเข้าสู่ผิวมดลูก ประมาณวันที่ ๖ – ๗ หลังจากที่ปฏิสนธิ

ในช่วงเวลานี้ ผิวมดลูกชั้นใน (endometrium) ของแม่จะแบ่งเซลล์หนาขึ้นอย่างมาก และมีเส้นเลือดเกิดขึ้นมากมาย ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน (estogen) และโปรเจสเตอโรน (progesterone) ที่ถูกผลิตออกจากรังไข่ เพื่อช่วยในการฝังตัวของ blastcyst นั่นเอง

๓.มีการเจริญเปลี่ยนแปลง โดยการสร้างเนื้อเยื่อ และถุงต่างๆ ขึ้น คือ
ประมาณวันที่ ๘ เนื้อเยื่อด้านในจะแยกตัวออกจากกันทำให้เกิดเป็นช่องว่าง ซึ่งจะเจริญไปเป็นถุงน้ำคร่ำ (amnion) เพื่อที่จะทำหน้าที่รองรับตัวเด็กที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ประมาณวันที่ ๙ blastocyst จะฝังตัวมิดใน endometrium โดยกลุ่มเซลล์ด้านนอกเจริญเป็นเนื้อเยื่อ trophoblast มีการสร้างถุงน้ำคร่ำ (amnion) เพื่อรองรับตัวอ่อนซึ่งจะเกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อ embryonic disc มีการสร้างถุงไข่แดง (Yolk sac) ซึ่งจะทำหน้าที่สร้างเลือดให้กับลูกอ่อน (ฉะนั้นเลือดแม่ และเลือดลูกจึงไม่ติดต่อผ่านถึงกัน แม่และลูกเลือดจึงอาจเป็นคนละกลุ่มกันได้ เช่น แม่เลือดกลุ่ม โอ แต่ลูกเลือดกลุ่ม เอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ gene ที่ลูกได้รับจากพ่อและแม่ )
ประมาณวันที่ ๑๒ จะมีการสร้างถุง Chorion หุ้มรอบถุงน้ำคร่ำและถุงไข่แดง ยกเว้นด้านที่มีการเจริญของเนื้อเยื่อ trophoblast ที่ฝังตัวติดแน่นกับมดลูก ซึ่งเป็นบริเวณที่จะเจริญไปเป็นสายสะดือ และรก
ประมาณวันที่ ๑๓ เริ่มมีการแปรสภาพของเนื้อเยื่อบางชนิดไปเป็นเส้นเลือด (เปรียบได้กับไข่ไก่ หรือไข่เป็ด ซึ่งบางครั้งจะพบเส้นเลือด และเลือดปรากฏที่ผิวไข่แดง โดยที่ในขณะนั้นยังไม่ปรากฏตัวอ่อนของไก่ให้เราเห็น)
สัปดาห์ที่ ๓ จะมีการเจริญของเนื้อเยื่อคัพภะ (ตัวอ่อน) ๓ ชั้น จากเนื้อเยื่อที่อยู่ที่ผิวของถุงน้ำคร่ำด้านที่ติดอยู่กับถุงไข่แดง (embryonic disc) ไปเป็นเนื้อเยื่อชั้น ectodern mesoderm endoderm ซึ่งต่อมาเนื้อเยื่อทั้ง ๓ ชนิดนี้จะเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น เนื้อเยื่อประสาท (ทำให้เกิดสมอง ไขสันหลัง ในเวลาต่อมา) กระดูก กล้ามเนื้อ เลือด เป็นต้น ตัวอ่อนในระยะนี้จะมีลักษณะเป็นปล้องๆ (somite) ส่วนหัวใจเริ่มเกิดขึ้นประมาณวันที่ ๑๘—๑๙ โดยพัฒนามาจากเส้นเลือด
สัปดาห์ที่ ๔ จะปรากฏหลอดเลือดจากตัวอ่อน (ซึ่งจะเป็นเส้นเลือดในสายสะดือเด็ก) ไปยังเนื้อเยื่อที่ฝังอยู่ในมดลูก โดยจะแตกกิ่งก้านสาขามากมาย (ในรก) ทำหน้าที่นำสารอาหาร และออกซิเจนจากเลือดของแม่ (ที่มดลูก) แพร่ผ่านเข้าสู่เลือดของลูกในรกผ่านสายสะดือ เข้าสู่ตัวเด็ก ในระยะนี้ตัวอ่อนที่ปรากฏให้เห็นจะมีลักษณะทรงกระบอก จะเริ่มมีการงอตัวคล้ายถ้วย ในปลายสัปดาห์เริ่มมีปุ่มเกิดขึ้นโดยปุ่มศีรษะจะเกิดก่อน
สัปดาห์ที่ ๕ ตัวอ่อนที่ลอยอยู่ในถุงน้ำคร่ำจะมีการสร้างเม็ดเลือด โดยตอนแรกนี้จะสร้างจากตับ (นอกจากถุงไข่แดงแล้ว) รูปร่างของตัวอ่อนระยะนี้เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ที่ ๔ เพียงเล็กน้อย ปุ่มที่จะเจริญเป็นศีรษะ แขน และขา เริ่มชัดโดยเฉพาะปุ่มศีรษะนั้นจะเจริญมากกว่าส่วนอื่น
สัปดาห์ที่ ๖ ตัวอ่อนหน้าคว่ำมากขึ้น แขน ขา เริ่มเปลี่ยนแปลง ใบหน้าเริ่มเห็นชัดเจน ทั้งศีรษะ แขน และขา ก็ชัดเจนขึ้น หัวใจมองเห็นเป็นก้อนใหญ่อยู่ที่ส่วนหน้าของหน้าอก โดยจะเริ่มเต้นเป็นจังหวะให้เห็น เส้นเลือดเริ่มทำงานแล้ว
สัปดาห์ที่ ๗ เห็นหูชัดขึ้น หน้าตาชัดขึ้น แขน ขา เจริญมากขึ้น
สัปดาห์ที่ ๘ สามารถเรียกตัวอ่อนว่าทารกในครรภ์ได้แล้ว นั่นคือรูปร่างเริ่มแยกแยะได้แล้วว่าเป็นคน มือและเท้าเริ่มยาวขึ้น เริ่มปรากฏนิ้วมือ นิ้วเท้า แม้จะมีพังผืดยึดไว้ก็ตาม ทารกเริ่มมีการเคลื่อนไหว
สัปดาห์ที่ ๙ ทารกในครรภ์ หรือเรียกว่า ฟีตัส (fetus) มีการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เป็นการเจริญเติบโตเพิ่มขนาดขึ้น
เดือนที่ ๓ เพศเริ่มปรากฏ อวัยวะภายในทั้งหมดเป็นรูปร่าง และเริ่มทำงานได้แล้ว รก และระบบหมุนเวียนโลหิตของทารกสมบูรณ์แล้ว
เดือนที่ ๔ เริ่มมี individual differentiation อวัยวะเพศเริ่มปรากฏชัดเจน (แต่อาจจะมองจากอุลตราซาวด์ไม่ชัด) หัวใจเต้นเร็วเป็น ๒ เท่าของมารดา ช่องจมูก และปากมีเพดาน (palate) ปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ ทารกเริ่มสามารถดูดนิ้วได้ ความหิวของมารดาจะทวีขึ้นตามความเจริญเติบโตของทารก การหมุนเวียนของเลือดมารดาจะเพิ่มขึ้น ทำให้ปอด ไต และหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
เดือนที่ ๕ เริ่มมีขนอ่อนตามหน้า ลำตัว ผมเริ่มปรากฏบนศีรษะ ทารกจะคล่องแคล่วมากขึ้น มีการดิ้นจนมารดารู้สึกตัวได้ ปรากฏไขมันเคลือบผิวของทารก
เดือนที่ ๖ เริ่มมีขนตา ขนคิ้ว ผิวหนังยังเหี่ยวย่นอยู่ มีการพัฒนาของกล้ามเนื้อแขน และขา ทารกสามารถไอและสะอึกได้
เดือนที่ ๗ ผิวหนังสีค่อนข้างแดง มีไขมันสะสมมากขึ้น เปลือกตาเปิดออกจากกัน ทารกมีความรู้สึกตัวมากขึ้น และพยายามตอบสนองในสิ่งที่รู้สึก (เหมือนเด็กแรกคลอด) จึงเปิดปิดตาตามความรู้สึก ทารกในระยะนี้สามารถได้ยินเสียงแม่ และถ้าทารกในครรภ์หลับอยู่อาจมีการสะดุ้งเมื่อเกิดเสียงดัง ทารกบางรายจะชอบเสียงดนตรีที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งจะทราบได้โดยมีอาการเคลื่อนไหวของทารก ฉะนั้นปัจจุบันนี้จึงมีการพูดคุย และส่งภาษาให้กับทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ขณะที่อายุ ๗ เดือน
เดือนที่ ๘ ผิวหนังเริ่มเต่งตึงขึ้น ถ้าเป็นชายก้อนอัณฑะจะเลื่อนลงมาอยู่ในถุงอัณฑะ ในช่วงนี้ทารกโตมากขึ้น ทำให้อึดอัดในการอยู่ในที่แคบ จึงมักมีการดิ้นและกลับตัว สร้างความลำบากให้กับมารดาเป็นอย่างมาก
เดือนที่ ๙ ผิวหนังเต่งตึงมากขึ้น ผิวหนังซึ่งมีสีแดงมากจะเริ่มจางลง ร่างกายและแขนขาจะกลมกลึงมากขึ้น เล็บมือ เล็บเท้า งอกแล้ว
เดือนที่ ๑๐ ลักษณะเด็กครบกำหนดคลอด ขนอ่อนจะหลุดออกเกือบหมด เล็บมือยื่นเลยปลายนิ้ว เล็บเท้ายื่นเสมอปลายนิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยราว ๓ กิโลกัม ยาว ๒๐ นิ้ว
ขั้นตอนความเป็นไปในการเจริญจากเซลล์ต่างๆ เดียว มาเป็นตัวอ่อน จนเจริญไปเป็นทารกดังที่ได้อธิบายมาแล้วนี้ ล้วนเกิดจากความก้าวหน้าของวิทยาการทางโลก ถึงแม้จะมีการศึกษาค้นคว้าจนได้รายละเอียดเกี่ยวกับการเจริญเติบโตอย่างมากมายก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็ไม่สามารถอธิบายไปได้ถึงอำนาจของจิตที่ทำให้เกิดการปฏิสนธิ ตลอดจนอำนาจของกรรมที่ทำให้เกิดรูปร่าง และลักษณะของหน้าตาที่แตกต่างกันออกไปได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอำนาจอันเร้นลับที่วิชาการทางโลกไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ย่อมไม่เกินวิสัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะด้วยพระสัพพัญญุตญาณจึงทำให้พระองค์ทรงหยั่งรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ในเรื่องความเป็นมา และความเป็นไปของชีวิต ทรงนำมาแจกแจงอย่างละเอียดพิศดาร ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดปรากฏอยู่ในพระอภิธรรมนั่นเอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรรมโยนิ
กรรมเป็นแดนเกิดจริงหรือ


ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ตัณหา ซึ่งเป็นตัวสมุทัย คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ชีวิตต้องเกิดขึ้นมาใหม่ภายหลังความตาย ทั้งนี้เพราะอำนาจของตัณหาที่มีความปรารถนาอยู่อย่างไม่เว้นวายในแต่ละวัน และยังคงมีอยู่ตลอดจนชั่วชีวิต รวมทั้งตัณหาที่ถูกสะสมมาโดยมิเคยหยุดยั้งในชาติอดีตที่ผ่านๆ มานั้นย่อมเกิดอำนาจ อย่างมากมายมหาศาลที่จะผลักส่งให้สัตว์ทั้งหลายผู้ซึ่งยังไม่สิ้นกิเลสต้องเกิดขึ้นใหม่ในภพชาติต่อไป
และประการสำคัญ อารมณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาใกล้จะตายในมรณาสันนกาลนั้นเป็นตัวกำหนดให้มรณาสันนวิถี ปรากฏเห็นเป็นนิมิตที่จะนำชีวิตให้ไปอุบัติขึ้นในภพใหม่ เช่น หากผู้ตายเกิดคตินิมิตเห็นครรภ์มารดา อำนาจอารมณ์ในตอนสุดท้ายของชีวิตนี่เองจะเป็นตัวการร่วมให้เกิดกำลัง ซึ่งเป็นพลังสร้างชีวิตใหม่ให้ปฏิสนธิ (เกิด) เป็นมนุษย์ในครรภ์มารดาทันทีที่จุติจิตดับ
--------------------------------------------------------------------------------------
| อารมณ์ | วิมาน | ครรภ์มารดา | วิมาน | ครรภ์มารดา
| วิถีจิต | น. ท. ม. | ช. ช. ช. ช. ช. | ภ. จุติ | ปฏิสนธิ. ภ. ภ. ภ. ภ. ภ. ภ…
--------------------------------------------------------------------------------------
| ภพภูมิ | อดีตชาติ (เป็นเทวดา) | ปัจจุบันชาติ (เป็นมนุษย์)



ฉะนั้นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตอนสุดท้ายของชีวิตจึงสำคัญยิ่งเพราะจะเป็นเสมือนใบเบิกทาง หรือเป็นเข็มทิศที่บ่งชี้ตำแหน่งภพภูมิการเกิดของสัตว์นั้นๆ ตราบใดที่บุคคลนั้นยังมีตัณหา ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า หนีไปไม่พ้นจากการจุติ และปฏิสนธิ ยกเว้นพระอรหันต์เท่านั้นที่สิ้นไปจากตัณหา มรณาสันนวิถีย่อมไม่มีนิมิตปรากฏให้เห็นย่อมเป็นการจบสิ้นซึ่งภพที่จะมีต่อไป เมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตจึงไม่เกิด พระอรหันต์ท่านจึงสิ้นสุดจากการเวียนว่ายตายเกิดโดยสิ้นเชิง
จุติ คือความตาย ปฏิสนธิ คือความเกิดในภพชาติใหม่และเมื่อมีชีวิตอยู่ตราบใดย่อมต้องมีภวังค์ (ภ.) ซึ่งทำหน้าที่รักษาภพชาติให้คงอยู่ จิต ๓ ดวง ที่ทำหน้าที่ จุติ ปฏิสนธิ และภวังค์นี้ เป็นจิตประเภทวิบาก คือเป็นผลของกรรม และยังเป็นทวารวิมุติจิตคือจิตที่พ้นจากการนับเป็นทวาร (เป็นวิถีมุตตจิต) นั่นคือไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไร และที่สำคัญจิตทั้ง ๓ นี้จะต้องมีอารมณ์เดียวกันในชาตินั้นๆ
เช่นในชาติที่แล้ว หากบุคคลนั้นเกิดเป็นเทวดา ขณะที่ปฏิสนธินั้น ปฏิสนธิจิตที่เกิดมีวิมานเป็นอารมณ์ ยามใดที่จิตลงภวังค์ก็จะมีวิมานเป็นอารมณ์เช่นกัน และเมื่อเทวดานั้นใกล้จะตาย ได้มีอารมณ์สุดท้ายเกิดขึ้น คือคตินิมิตเห็นเป็นครรภ์มารดา (ถูกเสพลงสู่ชวนะซึ่งก่อนตายมีกำลังอ่อนลงเหลือเพียงแค่ ๕ ดวง ในขณะที่อยู่ในสภาพปกติมี ๗ ดวง) อารมณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นตัวบ่งชี้ว่าเทวดาองค์นี้เมื่อตายแล้วจะต้องเกิดเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน เมื่อชวนะดวงที่ ๕ ดับลง ภวังค์จิตย่อมเกิดขึ้นมีวิมานเป็นอารมณ์ และเมื่อภวังค์จิตดับลงจุติจิตจึงเกิดขึ้นมีวิมานเป็นอารมณ์เช่นกัน ทั้งนี้เพราะขณะนั้นยังเป็นเทวดา แต่เมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตย่อมเกิดขึ้นในภพภูมิมนุษย์ต่อทันที ซึ่งปฏิสนธิจิตที่เกิดต่อนี้ย่อมต้องมีครรภ์มารดาเป็นอารมณ์ ทั้งนี้เพราะถูกกำหนดด้วยอารมณ์สุดท้ายก่อนตายจากเทวดานั่นเอง และเมื่อปฏิสนธิจิตมีครรภ์มารดาเป็นอารมณ์แล้ว นั่นหมายความว่าชาตินี้ทั้งชาติ ภวังคจิตของผู้นั้นย่อมต้องมีครรภ์มารดาเป็นอารมณ์ตลอดไปจนตาย และเมื่อเขาจะต้องตายจากภพภูมิของมนุษย์ ตอนจุติจิตเกิดขึ้นนั้นก็ยังคงมีครรภ์มารดาเป็นอารมณ์อยู่เช่นกันแต่จะไปเกิดเป็นอะไรในภพภูมิใดต่อไปนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ในมรณษสันนวิถีนั้นว่ามีภาพนิมิตอะไรปรากฏเป็นอารมณ์
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า อำนาจที่ทำให้เกิดในภพภูมิใหม่ นอกจากจะเกิดขึ้นจากอำนาจของตัณหาที่ถูกสะสมไว้ในจิตโดยตรงแล้ว ยังมีอารมณ์ใกล้ตายอันเป็นอารมณ์สุดท้ายที่เกิดในชาตินั้นๆ มาประกอบร่วมด้วยทำให้การปฏิสนธิต้องเกิดขึ้น ดังพระบาลีกล่าวว่า อุปาทาน ปจฺจยา ภโว ซึ่งแปลว่า อุปาทาน (ตัณหาอย่างแรง) เป็นปัจจัยให้เกิดภพ
ภพ หรือ ภวะ มี ๒ อย่าง คือ
๑.กรรมภวะ ได้แก่ การปรุงแต่งที่ทำให้เกิดผลขึ้น หมายถึงการกระทำกรรมของบุคคลทั้งหลายที่ทนต่อการรบเร้าของตัณหาและอุปาทานไม่ไหว จึงต้องแสดงพฤติกรรมออกทางกาย วาจา และใจ ให้เป็นไปในทางบาปและทางบุญต่างๆ คือ เจตนา ๒๙ ได้แก่ เจตนาในอกุศลจิต ๑๒ มหากุศลจิต ๘ มหัคคตกุศล ๙ และที่สำคัญอำนาจของเจตนาอันเป็นบาป-บุญที่กระทำมาโดยตลอดนี้ จะถูกสั่งสมเก็บไว้ในจิต และมีอำนาจส่งผลให้ระลึกได้ในมรณาสันนกาล
๒.อุปัตติภวะ ได้แก่ ผลของกรรมที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากกรรมภวะ หรือบาปบุญที่ทำลงไปตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ เมื่อสิ้นชีวิตลงเมื่อไร บาปบุญที่ได้กระทำมานี้ไม่สูญหายไปไหน กลับก่อให้เกิดอำนาจนำสัตว์ให้ไปบังเกิดในภพภูมิต่างๆ ได้แก่ โลกียวิปากจิต ๓๒ เจตสิก ๓๕ และกรรมชรูป ๑๘
จิตที่เป็นผลของกรรม คือ โลกียวิปากจิต ที่ทำหน้าที่ปฏิสนธินั้นมี ๑๙ ดวง แต่จะมี ๑๐ ดวง ที่นำเกิดไปในกามภูมิ (อีก ๙ ดวงนำเกิดไปในรูปภูมิ และอรูปภูมิ) ซึ่งเมื่อจิตดวงนี้เกิด ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิก และรูปอันเป็นรูปที่เกิดจากอำนาจของกรรม (เรียกว่ากรรมชรูป) ที่บังเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่นั้น นับได้ว่าชีวิตที่อุบัติขึ้นในภพใหม่ได้ตั้งต้นขึ้นด้วยอำนาจของกรรม คือการกระทำที่ได้ทำไปแล้ว (คือ กรรมภวะในอดีต) นั่นเอง
จิตที่เป็นโลกียวิปากจิต ที่ทำหน้าที่ปฏิสนธิมี ๑๐ ดวง ซึ่งจะนำปฏิสนธิเป็นกามบุคคลประเภทต่างๆ คือ

๑.อุเปกขาสันตีรณอกุศลวิปากจิต ๑ ดวง นำปฏิสนธิเป็นทุคติบุคคล คือบุคคลที่ไม่มีเหตุ ได้แก่สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
บุคคลใดที่ได้กระทำอกุศลกรรมไว้เป็นส่วนมากในชาตินี้ หรือทำอกุศลไว้ในอดีจชาติ เมื่อใกล้ถึงแก่ความตาย เกิดระลึกได้ในอกุศลที่ตนได้กระทำมาในชาตินี้ หรืออดีตชาติ (การระลึกได้ถึงอกุศลกรรมในอดีต ก็เพราะว่าไม่ได้ทำบาปหรือบุญไว้ในชาตินี้อย่างเด่นชัดเท่าในอดีต จึงมีอดีตกรรมมาปรากฏได้ชัดกว่าเมื่อเวลาใกล้ตาย) บุคคลประเภทนี้เมื่อตายแล้วจะเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่มีชื่อว่า อุเปกขาสันตีรณอกุศลวิปากจิต (อันเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำอกุศล) นำเกิดในอบายภูมิ ๔ ดังกล่าว

๒. อุเปกขาสันตีรณกุศลวิปากจิต ๑ ดวง นำปฏิสนธิเป็นสุคติอเหตุกบุคคล คือบุคคลที่ไม่มีเหตุ ได้แก่ มนุษย์ที่ร่างกายพิกลพิการมาแต่กำเนิด หรือตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ เป็นบ้า ปัญญาอ่อนปัญญาทึบ แม้จะเกิดเป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นชั้นต่ำสุด และเป็นเทวดาที่ทุพพลภาพ

จิตของบุคคลใดที่ใกล้ถึงแก่ความตาย แต่มีเหตุหลายประการที่มาทำให้จิตจับอารมณ์ที่เป็นกุศลได้อย่างไม่มั่นคง (อาจเป็นเพราะกุศลที่ทำนั้นม่บริสุทธิ์ มีกิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง คือมีอกุศลเข้ามาพัวพันหรือทำไปตามประเพณีไม่เคยเชื่อผลของการกระทำ) มีอกุศลเข้ามาแทรกแซง จึงทำให้กุศลนั้นอ่อนกำลังลง บุคคลประเภทนี้เมื่อตายแล้วจะเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่มีชื่อว่า อุเปกขาสันตีรณกุศลวิปากจิต นำเกิดเป็นสุคติอเหตุกบุคคล เป็นบุคคลที่ไม่สมประกอบดังกล่าว

๓. มหาวิปากจิต ๘ ดวง จำแนกเป็น
มหาวิปากญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวง นำปฏิสนธิเป็นมนุษย์และเทวดาได้ทั้ง ๖ ชั้น ที่มีร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่างในขณะปฏิสนธิ แต่เป็นบุคคลประเภททวิเหตุกบุคคล คือ บุคคลที่มี ๒ เหตุ ได้แก่ อโลภเหตุ และอโทสเหตุ บุคคลพวกนี้ยังขาดปัญญา (อโมหะ) ทำให้ไม่สามารถบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้
บุคคลใดที่ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาด้วยจิตใจที่มั่นคง เพราะมีความเชื่อมั่นในผลของกรรมว่าตอบสนองได้ แม้จะไม่ศึกษาสภาวธรรมก็ตาม เมื่อใกล้ตายผลของกุศลที่ได้ทำมานั้น จัดว่ามีกำลังมากมาปรากฏ จิตขณะนั้นเป็นอโลภะ อโทสะ อกุศลก็ไม่ได้เข้ามาพัวพัน แม้จะไม่มีปัญญาเข้าร่วม บุคคลประเภทนี้เมื่อตายแล้ว จะเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่มีชื่อว่า มหาวิปากญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวง ดวงใดดวงหนึ่ง เกิดเป็นทวิเหตุกบุคคลดังกล่าว
มหาวิปากญาณสัมปยุตตจิต ๔ ดวง นำปฏิสนธิไปเป็นมนุษย์ และเทวดาได้ทั้ง ๖ ชั้น ที่ร่างกายและจิตใจมิได้ขาดตกบกพร่องเลย เป็นบุคคลประเภทติเหตุกบุคคล คือ บุคคลที่มี ๓ เหตุ คือ อโลภะ อโทสะ และ อโมหะ ซึ่งเป็นบุคคลที่เกิดพร้อมด้วยปัญญาสามารถเรียนรู้ได้เร็ว จึงทำให้สามารถบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้
บุคคลใดก็ตาม เมื่อทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และพิจารณาให้จิตของตนเกิดมหากุศลญาณสัมปยุต แล้วจึงทำด้วยจิตใจที่มั่นคง ผู้ที่ทำกุศลแล้วพิจารณาให้เกิดปัญญาอยู่เนืองๆ เช่นนี้ เมื่อใกล้ตาย อารมณ์ที่เป็นกุศลนี้จะเกิดขึ้น เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา จิตขณะนั้นเป็น อโลภะ อโทสะ และ อโมหะ อย่างมั่นคง บุคคลประเภทนี้เมื่อตายแล้ว จะเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่มีชื่อว่า มหาวิปากญาณสัมปยุตตจิต ๔ ดวง ดวงใดดวงหนึ่ง เกิดเป็นติเหตุกบุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ที่มีปัญญามาคอยกำกับชีวิตให้เดินตรงไปสู่เป้าหมายของความพ้นทุกข์ได้
ส่วน มหัคคตวิปากจิต ๙ ดวง นั้นจำแนกเป็น
รูปาวจรวิปากจิต ๕ ดวง ทำปฏิสนธิกิจเกิดเป็นพรหม
อรูปาวจรวิปากจิต ๔ ดวง ทำปฏิสนธิกิจเกิดเป็นอรูปพรหม

สรุปได้ว่า บาปและบุญที่คนเรากระทำกันอยู่ ( กรรมภวะ ) ไม่มีวันสูญหายไปไหน แต่จะถูกเก็บสะสมเอาไว้ ก่อให้เกิดอำนาจนำสัตว์นั้น ๆ ให้ไปบังเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ( อุปัตติภวะ ) อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

นี่แหละคือ กรรมโยนิ.. กรรมเป็นแดนเกิด หมายถึงอำนาจกรรมที่กระทำมาย่อมเป็นตัวการทำให้คนเราต้องมีที่เกิด ( โยนิ ) อันเป็นดินแดนที่ถูกกำหนดไว้โดยตรงจากกรรมนั่นเอง

เพราะเมื่อวิปากจิต ( ที่เป็นอุปัตติภวะ อันเป็นผลจากกรรมภวะ ) ดวงใดดวงหนึ่งที่ทำหน้าที่ปฏิสนธิเกิดขึ้น ความเป็นไปของการกำเนิดชีวิตก็อุบัติขึ้นทันที ซึ่งเรียกการอุบัตินี้ว่า ความเป็นไปของการกำเนิดชีวิตก็อุบัติขึ้นทันที ซึ่งเรียกการอุบัตินี้ว่า ชาติ หมายถึงการเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกียวิปากจิต เช่นเกิดขึ้นในครรภ์มารดา และมีขันธ์ ๕ นั้น ตามหลักสภาวธรรมอธิบายว่า ชาติ ได้แก่การเกิดของสัตว์ทั้งหลาย แบ่งออกเป็น ๒ ประการด้วยกันคือ

๑.รูปชาติ เป็นการเกิดขึ้นของรูป ที่เรียกว่า กรรมชรูป เช่น รูปกลาป ๓ มัดที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิต
๒.อรูปชาติ หรือนามชาติ เป็นการเกิดขึ้นของวิบากนามขันธ์ ๔ ซึ่งได้แก่ จิต และเจตสิก ที่เป็นผลของกรรม มี เวทนา สัญญา สังขาร อันเป็นเจตสิก และวิญญาณ อันเป็นจิต
แสดงว่า ขณะที่เกิดปฏิสนธิกาล ย่อมมีรูปธรรม ( กรรมชรูป ) และนามธรรม ( จิตและเจตสิก ) เกิดขึ้นทันทีในขณะแรกที่มีการผสมกันของสเปิร์มและไข่ ( fertilization ) นั่นเอง เมื่อเกิดขึ้นแล้วต่อจากนั้นเป็นต้นไป รูปธรรมและนามธรรมนี้ก็จะเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อย ๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเกิดดับสืบต่อกันไปของ จิต เจตสิก และกรรมชรูป ซึ่งการเกิดดับนี้จะเกิดขึ้นตลอดไปจนกว่าจะถึงแก่ความตายในชาตินั้น ๆ และเมื่อเกิดขึ้นในชาติภพใหม่ก็ย่อมเป็นไปในทำนองเดียวกัน
การเกิดใหม่ของสัตว์ทั้งหลาย ในทางโลกเพียงกล่าวถึงการเกิดขึ้นของรูปธรรมเท่านั้น คือนับตั้งแต่สเปิร์มเข้าผสมกับไข่ จนได้ไซโกต และแม้ขณะที่ไซโกตเจริญเป็นตัวอ่อนระยะต่าง ๆ จนเป็นทารกทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการแสดงถึงรูปธรรม แต่สำหรับในทางพระอภิธรรมใช่ว่าจะกล่าวถึงการเกิดขึ้นของนามธรรม คือ จิต หรือวิญญาณเพียงอย่างเดียวก็หาไม่ แต่ได้ระบุว่ายังเป็นการเกิดขึ้นของรูปธรรมด้วย แต่เป็นกรรมชรูป อันเป็นรูปที่อำนาจกรรมได้ทำให้แปรสภาพไปแล้วนั่นเอง

ดังนั้นผลจากจากการเกิดปฏิสนธิ ไม่ว่าจะเรียกว่าไซโกต หรือ กลละก็ตาม เท่ากับว่าในขณะนั้นต้องมี จิต เจตสิก และกรรมชรูป ซึ่งเป็นรูปที่เล็กมากไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา รูปที่มีขนาดเล็กเช่นนี้ทางธรรมเรียกว่า “ปรมาณู” ( ๑ ปรมาณูมีขนาดเล็กเท่ากับ ๑ ใน ๘๒ ล้าน ๓ แสนส่วนของเมล็ดข้าวเปลือก ซึ่งเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา )
คำว่า “ปรมาณู” นั้นในทางโลกเรียกว่า อะตอม ซึ่งมุ่งเน้นเอาอนุภาคที่เล็กที่สุด ที่ไม่สามารถแยกให้เล็กลงไปได้อีกโดยทางเคมี เช่น อะตอมของธาตุต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้สามารถค้นพบและแยกให้เห็นว่าแต่ละปรมาณูย่อมประกอบด้วย โปรตอน และนิวตรอนเป็นแกนกลาง โดยมีอิเล็กตรอนวิ่งไปรอบ ๆ เป็นการแสดงให้รู้ว่า ปรมาณูทั้งหลายมิได้ตั้งอยู่ในฐานะที่มีเสถียรภาพ หากแต่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง “ ปรมาณู “ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รู้ และมีความเข้าใจว่า คนหรือสัตว์ทั้งหลายที่เรามองเห็นกันทุกวันนี้ และทำให้มีความหลงผิดว่าสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง จนเกิดความชอบความชังขึ้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นรูปปรมาณูที่มาประชุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนจนมองเห็นเป็นรูปร่าง หน้าตา แล้วทุกวินาทีที่ผ่านไป รูปที่ว่านั้นย่อมจะมีการผันแปรเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง เป็นทุกขังคือทนอยู่ไม่ได้ และเป็นอนัตตาเพราะสักแต่ว่าเป็นรูปมาประชุมกัน แท้ที่จริงมิได้มีตัวตน คนสัตว์ ประการใด ทั้งบังคับบัญชาก็ไม่ได้ โดยพระองค์ทรงจำแนกแจกย่อยรูปที่มีขนาดใหญ่นั้นให้เล็กลงจนเป็นรูปปรมาณู โดยเริ่มต้นจากรูปข้าวเปลือก ๑ เมล็ด ( ธัญญามาส ) จำแนกแจกย่อยออกเป็นส่วน ๆ ดังนี้
๑ ธัญญามาส เป็น ๗ อูกา
๑ อูกา เป็น ๗ ลิกขา
๑ ลิกขา เป็น ๓๖ รถเรณู
๑ รถเรณู เป็น ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี เป็น ๓๖ อณู
๑ อณู เป็น ๓๖ ปรมาณู
ดังนั้น ๑ ปรมาณูจึงมีขนาดเล็กเท่ากับ ๑ ใน ๘๒ ล้าน ๓ แสนส่วนของเมล็ดข้าวเปลือก ซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่าเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา
พระอภิธรรมได้แสดงว่า รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๒ ประเภท คือ
๑. นิปผันรูป หมายถึง รูปปรมัตถ์แท้ที่มีสภาวะลักษณะของตนโดยเฉพาะ เช่น ปถวีรูป (รูปดินมีลักษณะแข็ง) เป็นต้น รูปเหล่านี้จะทรงสภาวะลักษณะของตนไว้ไม่ผันแปรไปเป็นอย่างอื่น ซึ่งมี จำนวน ๑๘ รูป คือ
 มหาภูตรูป ๔ คือ ปถวี อาโป เตโช วาโย
 ปสาทรูป ๕ คือ จักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป
 วิสยรูป ๔ คือ วัณณะ สัททะ คันธะ รสะ
 ภาวรูป ๒ คือ อิตถีภาวรูป ปุริสภาวรูป
 หทยรูป ๑ คือ หทยวัตถุรูป
 ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตอินทรียรูป
 อาหารรูป ๑ คือ รูปที่ได้จากกพฬีการาหารรูป (โอชะ)
รวม ๑๘ รูป

๒. อนิปผันนรูป หมายถึง รูปที่ไม่ใช่ปรมัตถ์แท้ แต่เกี่ยวเนื่องด้วยความเป็นอาการ หรือเป็นเครื่องหมายของนิปผันรูป เช่น วิญญัติรูป คือ รูปที่แสดงอาการเคลื่อนไหว เป็นต้น ซึ่งมีจำนวน ๑๐ รูป คือ
- ปริเฉททรูป ๑ คือ อากาศธาตุ
- วิญญัติรูป ๒ คือ กายวิญญัติรูป วจีวิญญัติรูป
- วิการรูป ๓ คือ ลหุตารูป มุทุตารูป กัมมัญญตารูป
- ลักขณรูป ๔ คือ อุปจยรูป สันตติรูป ชรตารูป อนิจจตารูป
รวม ๑๐ รูป

รูปปรมาณูนั้น แม้ว่าจะมีขนาดเล็กเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับรูป ๒๘ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้วก็นับว่ายังหยาบอยู่เพราะรูปปรมาณูที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา หรือแม้จะสัมผัสทางกายไม่ได้ก็ตามนั้น ก็ยังประกอบด้วยรูปต่าง ๆ ถึง ๘ รูป คือ ปถวี อาโป เตโช วาโย วัณณะ คันธะ รสะ โอชะ หรือที่เรียกว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชะ ซึ่งเรียกชื่อปรมาณูอันประกอบด้วยธาตุคือรูปทั้ง ๘ นี้ประกอบกันเสมอไป โดยธาตุทั้ง ๘ นี้แยกออกจากกันไม่ได้ นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังแสดงว่าทุกปรมาณูมิได้อยู่ติดกันหากแต่จะมีช่องว่างอยู่ระหว่างปรมาณู เรียกว่า “ ปริเฉททรูป “ อีกทั้งปรมาณูเหล่านั้นจะมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอตลอดเวลาโดยไม่เคยหยุดนิ่ง ทั้งนี้เพราะอำนาจของอุณหเตโช หรือ ธาตุไฟ คือความร้อนนั่นเอง ซึ่งตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับว่าสสารทุกชนิดย่อมมีพลังงานแฝงอยู่ หากสสารนั้นอยู่ในสภาพของแข็ง พลังงาน ( ความร้อนหรืออุณหภูมิ ) ย่อมต่ำกว่าของเหลว และของเหลวย่อมมีพลังงานน้อยกว่าก๊าซ ทั้งนี้เพราะในสภาพที่เป็นก๊าซจะมีการเคลื่อนไหวของธาตุได้ดีกว่าของเหลว ทั้งนี้เพราะมีพลังงานสูงกว่านั่นเอง

แม้ว่าปรมาณูจะมีขนาดเล็กสักเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อมารวมกันเป็นรูปต่าง ๆ โดยมีชีวิตรูปเป็นตัวยึดโยงแล้ว ย่อมประจักษ์แก่สายตาได้ สามารถสัมผัสได้ ในที่สุดจึงกลายมาเป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่สมมุติกันว่าเป็นคน สัตว์ หญิง ชาย เป็นต้น

แล้วอำนาจใดที่ทำให้เกิดการรวมตัวกันของรูปปรมาณูมาสู่รูปต่าง ๆ จนเกิดเป็นตัวตน คน สัตว์ หญิง ชาย ที่รูปร่างหน้าตา ที่แตกต่างกันออกไป
ในทางโลกกล่าวแต่เพียงว่า ความแตกต่างของสิ่งมีชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะทางพันธุกรรม ที่ถูกควบคุมโดย “ ยีน “ หรือสาร ดี เอ็น เอ นับว่าเป็นการพูดถึงรูปธรรมเท่านั้น แต่ในทางธรรมได้เน้นให้เห็นว่า รูปที่เกิดขึ้นแตกต่างกันในแต่ละบุคคลนั้น ขึ้นอยู่กับ “ อำนาจกรรม “
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อำนาจกรรมทำให้เกิดรูปได้หลายอย่าง

ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ อำนาจกรรมก็จะผันแปรรูปให้เกิดขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่ขาดสาย เรียกว่า การเจริญเติบโตซึ่งจะมีไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต ฉะนั้นปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของคนเรานั้นหาได้เกิดจากการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่เท่านั้น แต่เกิดขึ้นด้วยอำนาจกรรมที่บุคคลนั้น ๆ กระทำมานั่นเอง
ความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของกรรมมีหลาย ๆ ประการ อาทิ
อำนาจกรรมทำให้รูปปรมาณูอันถ่ายทอดสืบต่อจากบิดาและมารดา ที่เกิดจากการปฏิสนธิ คือ ไซโกต หรือ กลละ บางส่วนกลายเป็นกลุ่มรูปต่าง ๆ นั่นหมายความว่า ตั้งแต่ปฏิสนธิกาลอำนาจกรรมจะผันแปร คือ กลละนั้น ให้เกิดเป็นกายปสาทซึ่งเป็นรูปปรมาณูที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ส่วนในปวัตติกาล (ภายหลังจากปฏิสนธิแล้ว ) ของทารกในครรภ์มารดา ประมาณสัปดาห์ที่ ๗ เป็นต้นไป อำนาจกรรมจะผันแปรรูปบางส่วน หมายถึงเซลล์บางกลุ่ม ให้เจริญไปเป็น จักขุปสาทรูป คือประสาทตา โสตรูป คือประสาทหู เป็นต้น
อำนาจกรรมยังเป็นตัวการผันแปร หรือผลิตสร้างภาวรูป อันเป็นรูปปรมาณูที่แสดงเพศหญิงหรือเพศชาย ทั่วทั้งร่างกาย ตั้งแต่ในปฏิสนธิกาล และในปวัตติกาล
อำนาจกรรมยังได้ผันแปร หรือผลิตสร้างหทยวัตถุ เป็นรูปปรมาณูอันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิต ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่อุปาทขณะของปฏิสนธิจิต
อำนาจกรรมยังก่อให้เกิดขึ้นซึ่งตัวยึดโยง เรียกว่า ชีวิตรูป เป็นตัวควบคุมรูปที่กรรมสร้างขึ้นมาแต่ละกลุ่ม ๆ มิให้หลุดกระจัดกระจายออกจากกัน
อย่างไรก็ตาม รูปอันเกิดจากกรรมสร้างขึ้นมานี้ย่อมจะตั้งอยู่อย่างมั่นคงไม่ได้ เพราะผันแปรไปอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ กรรมชรูปก็จะดับไป ๑ ขณะ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการเกิดสืบต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ ไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต เมื่อรูปเก่าสลายตัวไป อำนาจของกรรมก็จะทำให้รูปใหม่ให้เกิดสืบต่อทดแทนไปเรื่อยๆ โดยไม่ขาดสาย
กล่าวได้ว่า รูปนามที่เกิดขึ้นในภพใหม่ในปฏิสนธินั้น หาใช่รูปนามในภพเก่าไม่ เพราะรูปนามในภพเก่าดับไปแล้ว เพียงแต่รูปนามที่เกิดขึ้นในภพใหม่นี้ เกิดขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยรูปนามในภพเก่าคือมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน นอกจากนั้นอำนาจของกรรมยังได้กำหนดเอาไว้ด้วยว่า รูปที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ คนเราจึงมีความต่างกัน เพราะกรรมที่ทำมาไม่เหมือนกันนั่นเอง
รูปที่เกิดขึ้นมาเป็นชีวิตใหม่นั้น นอกจากจะเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกรรมแล้ว ยังมีอำนาจของ จิต อุตุ และอาหาร โดยเริ่มต้นตั้งแต่อุปาทขณะของปฏิสนธิจิตเป็นต้นไป คือตั้งแต่จิตเริ่มเกิดขึ้นในภพชาติใหม่ นั่นคือ ขณะนั้น “ กรรมชกลาป “ ก็ย่อมเกิดขึ้นเช่นกัน
ในการเกิดขึ้นของจิตแต่ละขณะนั้นจะประกอบด้วย ๓ ขณะย่อย ที่เรียกว่า อนุขณะ คือ

๑. อุปาทะ -- เกิดขึ้น
๒. ฐีติ -- ตั้งอยู่
๓. ภังคะ -- ดับไป

กรรมชกลาป คือ กลุ่มรูปอันเกิดจากอำนาจของกรรม เมื่อได้ตั้งต้นขึ้นมาแล้ว (ในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต) ย่อมเกิดความร้อนขึ้น เพราะเมื่อมีรูปเกิดขึ้นที่ไหน ย่อมต้องมีความร้อนที่นั่นเสมอ (รูป คือ สสารและพลังงาน) และเมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นย่อมผันแปรรูปนั้นให้เปลี่ยนแปลเป็นรูปใหม่ต่อไปอีก ซึ่งรูปใหม่ที่เกิดจากไออุ่นนี้มีชื่อเรียกว่า กรรมปัจจยอุตุชกลาป ซึ่งจะเกิดขึ้นในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต

จิตย่อมมีอำนาจผันแปรรูปได้เช่นเดียวกัน รูปที่เกิดจากอำนาจจิตนี้เรียกว่า จิตตชกลาป ซึ่งจะเกิดขึ้นในปวัตติกาล คือ ในอุปาทขณะของปฐมภวังค์ หรือภวังคจิตดวงที่ ๑ (หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับลงแล้ว) เมื่อจิตทำรูปให้เกิดขึ้นมาแล้ว รูปนั้นก็จะมีความร้อนเกิดขึ้น ย่อมก่อให้เกิดรูปใหม่ ซึ่งรูปอันเกิดจากความร้อนในขั้นนี้ เรียกว่า จิตตปัจจยอุตุชกลาป ซึ่งจะเกิดขึ้นในฐีติขณะของปฐมภวังคจิต คือภวังคจิตดวงที่ ๑ นั่นเอง

อุตุ (ความร้อน) ของรูปเองก็มีอำนาจทำให้รูปผันแปรไปเรียกว่า อุตุปัจจยอุตุชกลาป ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีอุตุชกลาปเกิดแล้ว ซึ่งอุตุชกลาปที่เกิดขึ้นครั้งแรกนั้นเกิดจากอำนาจของกรรมชรูป ที่เรียกว่า กรรมปัจจยอุตุชกลาปนั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่า กรรมปัจจยอุตุชกลาปเป็นปัจจัยให้เกิดอุตุปัจจยอุตุชกลาป

สรุปได้ว่า กลุ่มรูปที่เกิดจาก อำนาจกรรม เรียกว่า กรรมชกลาป
กลุ่มรูปที่เกิดจาก อำนาจจิต เรียกว่า จิตตชกลาป
กลุ่มรูปที่เกิดจาก อำนาจอุตุ เรียกว่า อุตุชกลาป
เช่นเดียวกัน ถ้ากลุ่มรูปนั้นเกิดจากอำนาจของอาหาร ก็เรียกว่า อาหารชกลาป ซึ่งในช่วงแรกนี้ยังไม่เกิด จนกว่าทารกจะได้รับอาหารจากมารดา อาหารชกลาปจึงจะเกิดขึ้น

ความเป็นไปของรูปตั้งแต่ปฏิสนธิกาล

กรรมชกลาปที่เริ่มเกิดพร้อมกับอุปาทะของปฏิสนธิจิตที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมเกิดขึ้น ๓ กลาป คือ
๑. กายทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + กายปสาทรูป ๑ + ชีวิตรูป ๑
๒. ภาวทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + ภาวรูป ๑ + ชีวิตรูป ๑ (ถ้าเป็นชาย ภาวรูปก็เป็น ปุริสภาวรูป ถ้าเป็นหญิง ก็คือ อิตถีภาวรูป)
๓. วัตถุทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + หทยวัตถุ ๑ + ชีวิตรูป ๑
หมายความว่า กลุ่มรูปที่เกิดจากกรรมนี้มีถึง ๓ กลุ่ม กลุ่มละ ๑๐ รูป (จึงเรียกกลาปที่มี ๑๐ รูปนี้ว่า ทสกกลาป) รวม ๓๐ รูปที่เกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ทุก ๆ อนุขณะจิตจะเกิดขึ้นจิตจะเกิดขึ้นเพิ่มอีกทีละ ๓ กลาปเรื่อยไป จนกว่าจะครบ ๑๗ ขณะของจิต หรือ ๕๑ อนุขณะ รูปนั้นจึงจะดับลงไป ๓ กลาป

นอกจากกลุ่มรูปที่เกิดจากอำนาจกรรม ความเป็นไปของชีวิตนั้นยังมีอำจาจอำนาจของจิต อุตุ และอาหาร ที่ทำให้เกิดกลุ่มรูปได้เช่นกัน จึงไม่แปลกเลยว่าขณะที่ปฏิสนธิเป็น “กลละ” ที่มีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ซึ่งอุปมาว่าเอาขนจามรีมาจุ่งน้ำมันงาใส และสลัดออกไป ๗ ครั้ง หยดน้ำใสที่ติดอยู่ที่ปลายขนจามรีหลังสลัดครั้งที่ ๗ นี้เองที่มีขนาดเท่ากับกลละ ซึ่งเป็นขณะที่รูปกำลังเกิดขึ้น ๓ กลาป ซึ่งต่อมาจะเพิ่มขึ้นเป็น ๖…๙… ไปเรื่อยๆ จนเมื่อครบ ๑๗ ขณะจิต จะมีกลุ่มรูปที่เกิดจากอำนาจกรรมถึง ๑๕๓ กลาป และเมื่อนับรวมกับรูปที่เกิดจากอำนาจจิต และอุตุแล้วจะได้ทั้งสิ้น ๕๑๐ กลาป (ทั้งนี้ยังไม่นับรวมกับรูปอันเกิดจากอาหาร เพราะช่วงแรกของชีวิตที่เกิดใหม่นั้นทารกยังไม่ได้รับอาหารจากมารดาเลย จนกว่าจะมีการสร้างเส้นเลือด สายสะดือ)

นอกจากอาหารชกลาปที่จะมีเกิดขึ้นต่อไปแล้ว ยังมีกลุ่มของชีวิตนวกลาปซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังปฏิสนธิกาล และจักขุทสกกลาป โสตทสกกลาป ฆานทสกกลาป ชิวหาทสกกลาป ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๗ เป็นต้นไป จึงทำให้ชีวิตที่อุบัติขึ้นมานั้นมีกลาปเกิดขึ้นอย่างมากมาย

การที่มีรูปกลาปเพิ่มขึ้นอย่างมากมายดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้เกิดความเป็นกลุ่มเป็นก้อน ที่เรียกว่า ฆนสัญญา ซึ่งเป็นตัวการปิดบังไม่ให้ประจักษ์ความจริงว่า ชีวิตไม่มีตัวตน ไม่ใช่คน สัตว์ หญิง ชาย เป็นเพียงแค่รูปธรรม หรือธาตุต่างๆ ที่มาประชุมกันเป็นรูปร่าง โดยมีกรรม จิต อุตุ อาหาร เป็รตัวการสำคัญทำให้เกิด และเป็นเพราะการเกิดขึ้นมารวมตัวกันของกลุ่วรูปกลาปเหล่านี้เอง จึงทำให้ในที่สุดเราสามารถมองเห็นตัวอ่อนนั้นได้ว่ามีรูปลักษณะเช่นใด และมีการเจริญเติบโตอย่างไร นั่นคือจาก กลละ เจริญมาเป็น อัพพุทะ เปสิ ฆนะ และปัญจสาขา เปลี่ยนแปลงจนเจริญมาเป็นทารกได้

แม้ในหลักวิทยาศาสตร์เองก็กล่าวว่า ชีวิต ๑ ชีวิต ที่เห็นเป็นรูปร่าง (Body) นั้น ย่อมประกอบด้วยระบบต่างๆ (System) และแต่ละระบบประกอบด้วย อวัยวะ (Organ) ซึ่งแต่ละอวัยวะประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ และเมื่อย่อยลงไปแล้ว เนื้อเยื่อนั้นประกอบด้วย เซลล์ (Cell) และภายในเซลล์ย่อมต้องประกอบด้วยสสารต่าง ๆ ซึ่งเล็กที่สุดก็คือ รูปปรมาณู (Atom) ดังกล่าวมาแล้วนั้นเอง

จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ปฏิสนธิครั้งแรกที่มีกลุ่มรูปกลาปเกิดขึ้น ๓ มัดนั้น ย่อมบ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตที่เกิดใหม่นั้นแม้จะยังไม่เป็นตัวเป็นตน แต่เพศย่อมปรากฏออกมาแน่นอนแล้วว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายเพราะนับตั้งแต่เป็นรูปกลละ ขณะนั้นได้เกิดรูปอันเป็นภาวทสกกลาปซึ่งเกิดขึ้นจากอำนาจกรรมเป็นตัวกำหนดมาแล้ว แม้ในทางวิทยาศาสตร์ก็อธิบายว่า เมื่อเกิดเซลล์ไซโกต ย่อมรู้แล้วว่าเซลล์นั้นมีโครโมโซมเพศเป็น XX (หญิง) หรือ XY (ชาย) หากทว่าทางพุทธศาสตร์สามารถอธิบายได้กว้างไกลไปถึงว่า เพราะอำนาจใดจึงทำให้เกิดเป็นหญิง หรือชาย นั่นคือ

หากชาติปางก่อน ผู้นั้นได้ประกอบกุศลกรรมมีกำลังอ่อน ( สสังขาริก ) มีความหวั่นไหว กุศลที่มีกำลังอ่อนนี้จะมีอำนาจทำให้เกิดรูปที่เป็นอิตถีภาวรูป (เพศหญิง)

หากชาติปางก่อน ผู้นั้นได้ประกอบกุศลกรรมมีกำลังเข้มแข็ง (อสังขาริก) มีศรัทธาอันแรงกล้า ไม่หวั่นไหว มีการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว กุศลที่มีกำลังมากเช่นนี้ ก็จะมีอำนาจทำให้เกิดรูปที่เป็นปุริสภาวรูป (เพศชาย)

ปัจจุบันนี้จึงสามารถทดสอบเพศของลูกได้แม้จะยังไม่ถึงเดือน ด้วยการเจาะน้ำคร่ำมาตรวจสอบหาโครโมโซมเพศ ซึ่งวิธีนี้วงการแพทย์จะใช้ในการตรวจสอบหาความผิดปกติของทารก อันเนื่องมาจากโรคถ่าทอดทางพันธุกรรมที่ร้ายแรง

นอกเหนือจากนี้ กรรมอื่นใดที่บุคคลผู้นั้นได้กระทำในอดีตส่งให้เจ้าของกรรมนั้นต้องได้รับผลทั้งดีทั้งชั่ว ตามเหตุที่กระทำมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย อาทิ

แม่บางคนยังไม่ได้ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่า มีการปฏิสนธิเกิดกลละ (ชีวิตใหม่) ขึ้นในครรภ์ของตนเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าอำนาจฝ่ายอกุศลกรรมที่มีกำลังแรงมาทำหน้าที่เป็นกรรมตัดรอนบั่นทอนให้ชีวิตที่อุบัตินั้นไม่มีโอกาศได้ฝังตัวที่มดลูก ต้องตายไปภายในสัปดาห์แรกหลังการปฏิสนธิ หรือแม่บางรายฮอร์โมนที่สร้างน้อยเกินไป ทำให้เกิดการผิดปกติ นั่นคือตัวอ่อนในระยะ blastocyst ไม่อาจฝังตัวติดแน่นกับมดลูกได้จึงต้องเกิดการแท้ง สาเหตุของการเป็นเช่นนี้ ก็เพราะบุคคลผู้ที่จะมาเกิดเป็นลูกนั้น ได้กระทำปาณาติบาตที่มีกำลังของบาปมาก และผลจากการฆ่าสัตว์นี้เองทำให้เขาต้องมีอายุสั้น ต้องตายก่อนโดยที่ชีวิตไม่มีโอกาศได้เจริญเป็นทารกเลย

เด็กบางคนเจริญเป็นตัวมาจนถึงสัปดาห์ที่ ๕ - ๖ คือกำลังมีการเจริญเป็นปัญจสาขา แต่ปรากฏว่า ปุ่มที่จะเจริญไปเป็นแขน หรือขานั้นเกิดการผิดปกติไม่สามารถเจริญต่อไปได้ด้วยอำนาจกรรมที่เขาได้เบียดเบียนทำร้าย ตัดแขนขาของสัตว์มาแต่อดีตชาติ ได้มาส่งผลให้เขาต้องพิการแขนขา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายท่าน ๆ อาจเคยพบเห็นว่า ผู้ที่ชอบล่าสัตว์บางคน เมื่อมีลูกๆ ที่เกิดมานั้นจะมีลักษณะทุพพลภาพในอวัยวะบางส่วน บางคนสรุปว่าเป็นเพราะพ่อทำบาปลูกจึงต้องได้รับผลของบาปที่พ่อเคยทำ ความคิดเช่นนี้ย่อมผิดไปจากความเป็นจริง เพราะสัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของของตน ผู้ใดทำกรรมชนิดใดไว้ ผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้รับผลของกรรมที่ตนทำมานั่นเอง หมายความว่า ลูกที่เกิดมาพิการนั้น ก็เพราะอดีตชาติเขาทำกรรมของเขามาเอง ส่วนการล่าสัตว์ที่พ่อทำไว้ในชาตินี้ พ่อย่อมต้องได้รับผลของกรรมในชาติต่อๆ ไปเอง แต่เป็นเพราะธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาแต่เหตุจึงทำให้เขาต้องเกิดมาอยู่กับพ่อที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน คือชอบการเบียดเบียนทำร้ายสัตว์อยู่เป็นนิตย์

คนที่ปัญญาอ่อน ซึ่งเป็นสุคติอเหตุกบุคคล โดยปฏิสนธิด้วยจิตที่มีชื่อว่า อุเบกขาสันตีรณกุศลวิปากจิตนั้น (เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน) เป็นเพราะในอดีตชาติชอบสร้างเหตุแห่งความมึนเมา เป็นผู้ที่ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่รู้จักคิด และมีมิจฉาทิฐิ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติใหม่ กรรมเหล่านี้จะส่งผลให้ในปวัตติกาล คือในสัปดาห์ที่ ๕ และ ๖ ขณะที่มีการเจริญสร้างเนื้อเยื่อสมองขึ้นมานั้น พัฒนาการในส่วนนี้ของเขาไม่สมบูรณ์เท่ากับเด็กที่ปกติทั่วๆ ไป ที่เกิดเป็นทวิเหตุกบุคคล และติเหตุกบุคคล คือผู้ที่ปฏิสนธิด้วย มหาวิบากจิต ๘ ซึ่งในปัจจุบันนี้วิทยาการทางโลกได้มีการตรวจพบว่า ผู้ที่มีปัญญาอ่อนประเภท Down’s Syndrome นี้ เกิดขึ้นเนื่องจากการผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ ๒๑ (ปกติจะมี ๑ คู่ คือ ๒ ท่อน แต่คนปัญญาอ่อนจะมี ๓ ท่อน)

แม้คนที่ตาบอด หรือหูหนวกมาแต่กำเนิด ก็เช่นเดียวกัน เป็นเพราะอำนาจอกุศลกรรมมาส่งผลให้ในปวัตติกาล คือ สัปดาห์ที่ ๗ และ ๘ มีผลทำให้เนื้อเยื่อที่กำลังผันแปรไปเป็นประสาทตา และประสาทหู เกิดผิดปกติไม่สามารถสร้างอวัยวะในส่วนนั้นๆ ได้ ทั้งนี้เพราะบุคคลใดชอบทิ่มแทงตาสัตว์ให้บอดอยู่บ่อยๆ จิตของเขาย่อมมีเจตนาที่จะให้สัตว์นั้นมองไม่เห็น เจตนาหรือกรรมนั้นย่อมถูกสั่งสมไว้ในจิต เมื่อปฏิสนธิในภพใหม่ อำนาจแห่งกรรมนั้นก็จะสร้างกรรมชรูปให้เป็นผู้ที่ตาบอดมาแต่กำเนิด

สรุปได้ว่า อำนาจกรรม ย่อมส่งผลให้ ๒ ขณะ คือ
๑.ปฏิสนธิกาล (ขณะเกิด) นั่นคือ กรรมหรืออารมณ์ที่เกิดในมรณาสันนวิถี จะมีอำนาจส่งผลให้ในขณะที่ชีวิตอุบัติขึ้นมาในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นกลละ โดยนับเพียงอุปาทขณะเท่านั้น
๒.ปวัตติกาล (ขณะเจริญ) นั่นคือ กรรมอันเป็นบุญ บาป ที่กระทำมาตลอดชีวิตนั้นจะมีอำนาจส่งผลให้ภายหลังที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้ว นับตั้งแต่ ฐีติขณะของปฏิสนธิจิตเป็นต้นไป

จะเห็นได้ว่า ชีวิตย่อมมีอยู่ได้ด้วยอำนาจกรรมเป็นใหญ่ ฉะนั้นจงหมั่นระลึกเสมอว่า บุญ บาป ที่
กระทำลงไปนั้น มิได้หายไปไหน แต่จะคอยเวลาส่งผลให้กับบุคคลผู้ที่กระทำอยู่ตลอดเวลา

มักมีคำถามว่า หากผู้ที่ตั้งครรภ์ทำแท้งตอนที่เด็กอายุต่ำกว่า ๘ สัปดาห์ โดยที่ขณะนั้นทารกยังไม่ปรากฏรูปร่างของความเป็นคนเลย จะเป็นบาปหรือไม่

หากว่ากันโดยสภาวธรรมแล้ว ชีวิตคือรูปนาม (ขันธ์ ๕) อันประกอบด้วย จิต เจตสิก และรูป นั้น ย่อมอุบัติขึ้นมาพร้อมกันนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดการปฏิสนธิ เพราะขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นนั้น ย่อมมีขันธ์ทั้ง ๕ ครบ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นการบ่งบอกให้รู้ชัดว่า สิ่งที่อุบัติขึ้นมานี้คือชีวิตแล้ว หากมีผู้คิดทำลายโดยมีองค์ประกอบของการตัดสินว่าเป็นปาณาติปาตครบ ๕ ประการ คือ สัตว์นั้นมีชีวิต รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต มีจิตคิดจะทำลาย มีความพยายามลงมือทำลาย และสัตว์นั้นได้ตายลง ย่อมถือว่าผู้ที่กระทำนั้นบาปอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้หญิงคนใดก็ตามถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้ว ภายในครรภ์ของเธอนั้นย่อมมีโอกาสเป็นสถานที่ปฏิสนธิและจุติของสัตว์ต่างๆ ได้ โดยที่หญิงคนนั้นอาจไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นมีอะไรเกิดขึ้นภายในกายตน ทั้งนี้เพราะเพียงแค่สเปิร์มเข้าผสมกับไข่ และมีสัตว์ที่จุติจากภพอื่นมาปฏิสนธิเกิดเป็น กลละ โดยที่ชีวิตนั้นยังไม่ทันเจริญเป็น อัพพุทะ และเปสิ ก็ถูกกรรมตัดรอนให้ตายลงไป ทั้ง ๆ ที่ยังมิทันได้ฝังตัวที่มดลูกก็มีมาก ฉะนั้นย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า ครรภ์แห่งสตรีย่อมมีโอกาสเป็นสุสานของชีวิตสัตว์ที่ผลักกันผ่านเข้ามาเวียนว่ายตายเกิดอยู่เป็นนิตย์

นี่คือ…. ความน่ากลัวของชีวิต ตราบใดที่ชีวิตนั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปในภพภูมิต่าง ๆ

และถึงแม้ชีวิตที่อุบัติขึ้นมานั้นจะมีกรรมพี่เลี้ยงคอยอุปถัมภ์ทำให้เจริญขึ้นจนมีอาการครบ ๓๒ แล้วก็ตาม ก็ยังหนีไม่พ้นจากทุกข์ ทั้งนี้เพราะสภาพของทารกที่เติบโตขึ้นมานั้นย่อมเป็นไปด้วยความทุกข์นานาประการ ดังคำว่า ชาติปิทุกขา ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเทศนาถึงกองทุกข์ต่างๆ ดังที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ คัมภีร์ “ สารัตถสมุจจัย” ตอนอธิบายเรื่อง ธัมมจักกัปปวัตนสูตร (หน้า ๗๘ - ๘๐ ) สรุปได้ว่า

“ ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดานั้น ทารกต้องประสบทุกข์อันเกิดจากสถานที่ที่อาศัย คือความคับแคบของมดลูก ทำให้ทารกต้องอยู่ในท่านั่งยองๆ หันหลังให้กับหน้าท้อง หันหน้าเข้าสู่กระดูกสันหลังของมารดา นั่งทับอาหารเก่า (ลำไส้ใหญ่) ไว้ และทูนอาหารใหม่ของมารดา (ลำไส้เล็ก) ไว้เบื้องบนศีรษะ สองมือกอดเข่าเสมือนหนึ่งวานรนั่งอยู่ในโพรงไม้ยามฝนตก ทั้งยังมีพังผืด คือถุงน้ำคร่ำและรกห่อหุ้มกายทำให้ไม่สามารถเหยียดแขนขาออกไปได้ เมื่อยแสนเมื่อยก็ขยับได้แต่เพียงเล็กน้อยพอให้แม่รู้สึกตัวว่าลูกดิ้น ซึ่งยังความดีใจให้กับมารดาโดยหารู้ไม่ว่า ขณะนั้นลูกรักกำลังเกิดทุกขเวทนาอย่างเหลือล้น และจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้นไปอีกตราบนานเท่านานที่ต้องอยู่ในครรภ์มารดาอันตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอสุภะนั้น ความร้อนอันเกิดจากเตโชธาตุของมารดาที่มีอยู่ตลอดเวลาเป็นประดุจไฟที่คอยเผาทารกน้อยให้ร้อนทุรนทุราย พิจารณาดูแล้วไม่ต่างไปจากก้อนเนื้อที่ถูกนึ่งอยู่ในหม้อ ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส จัดได้ว่าไม่ต่างไปจากขุมนรกที่มืดมนอนธกาลเท่าใดนัก….นี่คือ ทุกข์ที่ชีวิตพึงได้รับเป็นปฐมจากการที่ต้องอุบัติขึ้นในครรภ์มารดา ชาติทุกข์เช่นนี้มีชื่อว่า “ คัพโภกันติกมูลกทุกข์ “

….ยามใดที่มารดาเคลื่อนไหวเดินไปเดินมา หรือจะลุกนั่งกายของทารกนั้นย่อมถูกซัดไปซัดมาซัดขึ้นและซัดลง ไม่สามารถตั้งตรงอยู่ได้ ยังทารกนั้นเสวยทุกขเวทนา ยิ่งมารดาพลาดตกหกล้ม ก็ยิ่งสร้างความสะดุ้งตกใจหวาดหวั่นพรั่นพรึงทั่วสรรพางค์กาย ประดุจลูกทรายอ่อนที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของนักเลงสุรา หรือมิฉะนั้นก็ประดุจงูตัวน้อยที่ต้องตกอยู่ในมือหมองู ยิ่งยามใดที่มารดาดื่มน้ำเย็นจัดเข้าไปทารกก็จะรู้สึกเยือกเย็นสยดสยอง ยามมารดากินของร้อนย่อมยังผลให้ทารกนั้นต้องดิ้นรนประดุจมีห่าฝนอันเป็นถ่านเพลิงมาราดอยู่บนศีรษะ และยามที่มารดารับประทานอาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเข้าไปก็ยิ่งเพิ่มความปวดแสบปวดร้อนไปทั่วสรรพางค์กาย ประดุจถูกแล่เนื้อเอาเกลือทาก็ปานนั้น ทุกขเวทนาที่เกิดจากการบริหารของมารดาเช่นนี้เรียกว่า “ คัพภปริหารมูลกทุกข์ “ จัดเป็นทุกข์คำรบสองที่ทารกต้องประสบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

…..ยามที่ทารกนั้นเกิดนอนขวางอยู่ในครรภ์มารดา ไม่สามารถคลอดออกมาได้ นายแพทย์ต้องจัดท่าเพื่อจับเท้าดึงทารกออกมาให้ได้ทุกข์อันแสนสาหัสที่เกิดขึ้นจากการกระทำให้ทารกได้รับความเดือดร้อนเช่นนี้เรียกว่า “ คัพภวิปปัตติมูลกทุกข์ “ จัดเป็นทุกข์คำรบสามที่ทารกต้องประสบ

…..เมื่อมีลมกัมมัชวาตพัดกลับให้ทารกกลับตัวเอาหัวลง ในอย่างน่าสะพึงกลัว เพราะอาการไม่ต่างไปจากบุคคลที่ถูกผลักอย่างแรงให้ตกลงสู่เหวลึก และยิ่งขณะที่คลอดผ่านออกทางช่องคลอดที่มีลักษณะเป็นท่อที่แคบๆ นั้น ยิ่งก่อให้เกิดทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสประดุจช้างสารที่ถูกดันออกจากช่องดาน หรือช่องประตูที่แคบ ดูประดุจสัตว์ในสังฆาตะนรกที่ถูกภูเขาบีบให้แหลกเป็นจุณ ทุกข์เช่นนี้เรียกว่า “ คัพภชายิกมูลกทุกข์ “ อันเป็นทุกข์คำรบสี่ที่ทารกต้องประสบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

….แม้เมื่อทารกคลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว มีบุคคลอื่นมารับไปอาบล้างขัดสีสิ่งสกปรกออกไป ผิวอันบอบบางที่เต็มไปด้วยกายประสาทและยังไม่เคยถูกต้องสัมผัสมาก่อน ย่อมเกิดความรู้สึกในความแข็งที่มากระทบ ดูไม่ต่างไปจากถูกทิ่งแทงด้วยปลายเข็ม หรือถูกเชือดเฉือนด้วยมีดอันคม ก่อให้เกิดความเจ็บปวดไปทั่วสรรพ์กาย เสียงร้องของทารกที่ยังให้เกิดความดีอกดีใจแก่ญาติมิตร โดยหารู้ไม่ว่า ขณะนั้นทารกกำลังประสบทุกข์อย่างมหันต์ เป็นทุกข์ที่เรียกว่า “ คัพภนิกขมนมูลกทุกข์ “ จัดเป็นทุกข์คำรบห้าที่ทารกต้องประสบจากการเกิด

และเมื่อเจริญวัยขึ้น ก็ยังมีทุกข์อื่นๆ ติดจามมาอีกมากมาย ซึ่งทุกข์ต่างๆ เหล่านั้นล้วนเกิดขึ้นเพราะการอุบัติขึ้นของชีวิตพระพุทธองค์จึงทรงมีพระพุทธดำรัสว่า

ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

-------------------------------------------------------------------------------------

ในบทสุดท้ายของหนังสือ ยังได้นำเสนอแนวทางยุติการเกิด โดยการเจริญสติปัฏฐานไว้ด้วย


ชีวิตจะยุติการเกิดได้อย่างไร

http://www.geocities.com/toursong1/kam/ch.htm
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากอรรถาธิบาย กลลรูป ที่เป็นน้ำใส ๆ จะเป็นรูปของ ไซโกตที่เป็นการผสมระหว่าง ไข่(Ovulation) และ สเปิร์ม ที่ทางวิทยาศาตร์ ส่องกล้องเห็นนี้หรือไม่ ?

เพราะไม่เห็นเป็นน้ำใส ๆ เลย

http://nmhm.washingtondc.museum/collections/hdac/stage_1.htm

แต่ในสัปดาห์ ๒ ที่เป็น อัพพุทรูป ซึ่งมีลักษณะเป็นฟองสีเหมือนน้ำล้าง อันนี้ถ้าดูภาพ
STEREO VIEW ใน stage 5 นี้ จะเห็นสีลาง ๆ คล้ายน้ำล้างเนื้อ ซึ่งปรากฏในวันที่ 7 พอดี ( สีช้ำเลือดช้ำหนอง มั่งครับ )

http://nmhm.washingtondc.museum/collections/hdac/stage_5a.htm



---------------------------------------------------------------------------------
สำหรับขั้นตอนของการเกิดรูปขณะปฏิสนธิ ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร บรรยายไว้ว่า

คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร โดยท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/how.doc




ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวมาหลายครั้งแล้วว่า บุคคลทั้งหลายย่อมถูกครอบคลุมอยู่ด้วย ตัณหา คือ ความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆ และเมื่อได้อารมณ์นั้นสมความปรารถนาแล้ว เกิดความต้องการในอารมณ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีก

ความยินดีติดใจในอารมณ์ซึ่งเป็นตัณหานี้ ย่อมต้องมีเจตนาหรือความปรารถนาประกอบอยู่ด้วยทุกอารมณ์

เหตุนี้ตลอดเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ เราก็ถูกครอบงำด้วยตัณหา เรามีกรรม คือเจตนา หรือความปรารถนาอยู่มิได้ว่างเว้น ความปรารถนาที่จะ …ได้เห็น …ได้ยิน …ได้กลิ่น …ได้ลิ้มรส …ได้รู้สึก …ได้คิดนึก

สั่งสมอบรมไว้ในจิตมากมายก่ายกองนั้น มีอานุภาพ คือความสามารถ (มีพลัง คือความสามารถที่จะทำงานได้) ของกรรมจะสร้างรูปให้เกิดในภพใหม่ได้ ๓ กลุ่ม กลุ่มละ ๑๐ รูป ได้แก่

๑. ประสาทกาย (ปสาทตา หู จมูก ลิ้น เกิดขึ้นในปวัตติ)
๒. รูปแสดงเพศทั้งหญิงทั้งชาย (ภาวรูป)
๓. รูปอันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิต (หทยรูป)

ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมานี้ ท่านก็จะเห็นได้ว่า ด้วยอำนาจของกรรมต่ออดีตย่อมสร้างรูป ๓ กลุ่มขึ้นได้ในขณะปฏิสนธิ(กลลรูป) แต่เป็นรูปละเอียดมาก จนเราไม่สามารถอาจจะมองเห็น หรือส่องกล้องดูได้ในรูปของปรมาณูลงบนวัตถุเคมี ที่เกิดจากการสมสู่ของพ่อแม่

รูปที่เกิดขึ้นนี้เป็นไปตามอาจของกรรม คือเจตนา หรือความปรารถนาในภพเก่าๆ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวไว้แต่ต้นๆ ว่า ผู้ใดปรารถนาอะไรก็จะได้อย่างนั้น ถ้าความปรารถนานั้นมีกำลังพอ เช่นอยากจะเห็นอยู่เสมอ กรรมชรูปจึงไปสร้างประสาทตาขึ้นในภพใหม่ให้ได้เห็น และการที่คนตายไปเกิดก็เพราะต้องการเกิดอีกนั่นเอง แม้จะมีบางท่านพรรณนาว่ามีความทุกข์เหลือเกิน ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เลย แต่เมื่อทราบว่าถูกล๊อตเตอรี่รางวันที่ ๑ ก็จะกลับหัวเราะเสีย งอหาย ตัวอย่างต่อไปนี้เพื่อให้เห็นอำนาจของกรรมเท่านั้น

๑. คนที่ชอบทิ่มแทงตาสัตว์ให้บอดอยู่บ่อยๆ จิตของเขาย่อมมีเจตนาที่จะให้สัตว์นั้นมองไม่เห็น เจตนา (กรรม) นั้นก็ย่อมสร้างรูปนั้นประทับไว้ในจิต เมื่อตายลง กรรมชรูปที่สร้างขึ้นมาจะทำให้เป็นคนจักษุพิการมาแต่กำเนิด คือตั้งแต่ในครรภ์

๒. คนที่ฆ่าสัตว์เสมอ ทุกครั้งที่ฆ่าสัตว์ก็มีเจตนาที่จะให้สัตว์อายุสั้น ให้สัตว์เจ็บปวด ดังนั้นกรรมชรูปที่สร้างขึ้น จึงเป็นเหตุให้ผู้นั้นอายุสั้น และเจ็บปวด ป่วยออดแอดสามวันดีสี่วันไข้

๓. คนที่ดื่มสุราเมามายอยู่เสมอ ย่อมมีโมหะ คือความหลงมากเพราะขาดสติ เจตนาของผู้ดื่มเช่นนี้ย่อมประทับไว้ในจิต เมื่อตายแล้วเกิดขึ้นมาใหม่ กรรมชรูปย่อมสร้างรูปให้เป็นคนสติอ่อน จิตทราม หรือคุ้มดีคุ้มร้ายและเป็นบ้า

ข้าพเจ้าไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดได้ และบางเรื่องก็จำเป็นต้องศึกษาอยู่เป็นเวลานานจึงจะเข้าใจ ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมมาพอสมควรก็จะเข้าใจได้ละเอียด แล้วก็จะมีความเลื่อมใสเชื่อถือมากขึ้นๆ

แต่อย่างไรก็ดี ในขณะที่วิทยาการทางโลกได้กล่าวว่า คนจะเคลื่อนไหวอิริยาบทได้นั้นก็ด้วยอำนาจของพลังงาน เพราะกล้ามเนื้อหดหรือยืดตัว ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะเป็นกำปั้นทุบดิน

สำหรับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นละเอียดไปยิ่งกว่า เพราะทุกๆ อิริยาบทที่เคลื่อนไหวไปมา ทุกครั้งที่เห็นหรือได้ยิน มิใช่เป็นไปในอำนาจของรูปหรือวัตถุตามอำนาจของกรรมชรูป ที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจเท่านั้น

ขณะนั้นย่อมประกอบด้วยอำนาจของกรรมชรูป จิตตชรูป อุตุชรูป อาหารชรูป ทำงานกันอย่างพิสดาร

กำลังเหล่านั้นบังคับปรมาณูในร่างกายกันอยู่สลับซับซ้อนมากมายเกินที่ผู้ใด (ที่มิได้ศึกษา) จะเข้าใจได้

ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมศึกษาเรื่องกรรมชรูปอันเกิดขึ้นและเป็นไปในขณะมีชีวิตอยู่จนเข้าใจดีแล้ว ก็จะเชื่อว่า คนตายแล้วกรรมมีอำนาจไปสร้างรูปในภพได้จริงหรือไม่ ข้าพเจ้ากล่าวในวันนี้ก็พอเป็นเค้าหยาบๆ

-------------------------------

ผมเข้าใจว่า กลลรูปที่เป็นน้ำใส ๆ นี้ ซ้อนอยู่ในไซโกต

http://nmhm.washingtondc.museum/collections/hdac/stage_1.htm

แล้วทำการผันแปร เซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนปรากฏเห็นเป็นรูปร่างของมนุษย์

ดูตารางประกอบการอธิบายเรื่อง รูปวิถีขณะปฏิสนธิ ใน

http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=2045

จากตารางจะเห็นได้ว่า เพียงจิตเกิดขึ้น ๑๗ ขณะ รูปกลาปที่เกิดจาก กรรม จิต อุตุ เพิ่มจาก ๓๐ รูป (กลาป) เป็น ๕๑๐ รูป

ส่วน รูปที่เกิดจากอาหาร หรือ อาหารชกลาป ช่วงแรกที่ปฏิสนธิยังไม่มี คงมีในภายหลัง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัจจุบันในวงการแพทย์มีการ ทำ stem cell จากการผสมระหว่าง ไข่ กับ อสุจิ

ผมลองค้นจาก google เกี่ยวกับ stem cell

มีการสร้างจาก ไข่ที่ผสมแล้ว ในระยะต่าง ๆ เช่น ไซโกต (1 วัน) หรือ Blastocyst (2-7 วัน)


http://www.vcharkarn.com/varticle/18516/1

การจำแนกชนิดของสเต็มเซลล์
• Totipotent Stem Cell คือสเต็มเซลล์ที่มีศักยภาพสูงในการสร้างเซลล์ชนิดต่างๆทั้งร่างกาย พบได้ในระยะ Zygote
• Pluripotent Stem Cell มีศักยภาพในการสร้างเซลล์ชนิดต่างๆได้น้อยกว่าระยะ Totipotent แต่ก็ยังสามารถสร้างเซลล์ต่างๆในร่างกายได้มากมาย พบได้ในระยะ Blastocyst หรือสามารถเรียกอีกอย่างว่า Embryonic Stem Cell
• Multipotent Stem Cell มีศักยภาพในการสร้างเซลล์ลดลงน้อยกว่า pluripotent โดยมากมักแบ่งตัวเป็นเซลล์จำเพาะ พบได้ในเซลล์ชนิดต่างๆ หรืออาจเรียกว่า Adult Stem Cell

----------------------------------------------------------------

หากมีการนำ เซล จากมดลูกขณะนี้ ซึ่งไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ว่า มีปฏิสนธิวิญญาณ เกิดร่วมด้วย หรือไม่

หากมีปฏิสนธิวิญญาณเกิดร่วมด้วย การนำเซลดังกล่าวออกจากมดลูกขณะนั้น จึงถือเป็น การฆ่าสัตว์

แต่หากนำ ไข่ มาผสมกับ อสุจิ ภายนอก เซลนั้น ย่อมไม่มีปฏิสนธิวิญญาณเกิดร่วมด้วย

และการพัฒนาของเซลภายนอกมดลูก จาก ไซโกต ไปเป็น Blastocyst (ตัวอ่อนระยะ Morula ที่แบ่งเซลออกจากนวนมาก ) จะทำได้หรือไม่ ?

หรือ Blastocyst เกิดขึ้นในมดลูกเท่านั้น ?

ฝากท่านผู้รู้ด้านวิชาการแนะนำด้วยครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 11:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ

ขอบคุณครับ จะเก็บไว้พิจารณา สักกายทิฏฐิ ครับ
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 4:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุครับ สาธุ

ผมขอถามครับว่า นามรูปแรกๆ...เกิดขึ้นมาได้อย่างครับ
อะไรสร้างนามรูป....อะไรคือสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของสังสารวัฏ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 4:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดูทีวีรายการของเบนซ์ทองหล่อ ช่อง nbt
วิทยากรหญิงนี่เขาพูดโดยสรุปว่า

มนุษย์เกิดจากพรมที่เริ่มมีกายหยาบ คนมีอายุ 8 หมื่นปี
จนคนเริ่มมีตัวมีตน
จนคนมีอายุขัย 5-10 ปี
มีเจ้าจักรพรรดิคนเดียว และมีพระศรีอารย์
อะไรทำนองนี้


นี่มันมาจากไหนอะคับ ไม่มีในไตรปิฏกใช่ไหม
ผมฟังแล้วมันขัดความรู้สึกและเหตุผลทั้งปวง

ปกติพระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่องประเภทนี้ไม่ใช่หรือคับ
พวกกำเนิดโลก จักรวาล
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คามินธรรม พิมพ์ว่า:
ดูทีวีรายการของเบนซ์ทองหล่อ ช่อง nbt
วิทยากรหญิงนี่เขาพูดโดยสรุปว่า

มนุษย์เกิดจากพรมที่เริ่มมีกายหยาบ คนมีอายุ 8 หมื่นปี
จนคนเริ่มมีตัวมีตน
จนคนมีอายุขัย 5-10 ปี
มีเจ้าจักรพรรดิคนเดียว และมีพระศรีอารย์
อะไรทำนองนี้


นี่มันมาจากไหนอะคับ ไม่มีในไตรปิฏกใช่ไหม
ผมฟังแล้วมันขัดความรู้สึกและเหตุผลทั้งปวง

ปกติพระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่องประเภทนี้ไม่ใช่หรือคับ
พวกกำเนิดโลก จักรวาล


ท่านคามินธรรม ลองพิจารณา นิยาม 5 ดูครับ ภูมิธรรมของท่านคงจะพิจารณาได้ธรรมมากโขครับ
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 5:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฌาณ พิมพ์ว่า:
สาธุ สาธุครับ สาธุ

ผมขอถามครับว่า นามรูปแรกๆ...เกิดขึ้นมาได้อย่างครับ
อะไรสร้างนามรูป....อะไรคือสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของสังสารวัฏ


ขอแสดงความเห็นสักเล็กน้อยครับกับคำถามของท่าน

นามรูปแรก เกิดขึ้นเมื่อมี (จิต) วิญญาณครับ

สิ่งมีชีวิต( มีวิญญาณครอง )ชนิดแรกของสังสารวัฏ ก็น่าจะเป็นจำพวก สังเสธชะ(ไม่รุพิมพ์ถูกป่าว) เพราะกำเนิดจาก ไคล ขี้ตะใคร่

อันนี้พิจารณาจานิยาม 5 และ กำเนิด 4
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 4:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คามินธรรม พิมพ์ว่า:
ดูทีวีรายการของเบนซ์ทองหล่อ ช่อง nbt
วิทยากรหญิงนี่เขาพูดโดยสรุปว่า

มนุษย์เกิดจากพรมที่เริ่มมีกายหยาบ คนมีอายุ 8 หมื่นปี
จนคนเริ่มมีตัวมีตน
จนคนมีอายุขัย 5-10 ปี
มีเจ้าจักรพรรดิคนเดียว และมีพระศรีอารย์
อะไรทำนองนี้


นี่มันมาจากไหนอะคับ ไม่มีในไตรปิฏกใช่ไหม
ผมฟังแล้วมันขัดความรู้สึกและเหตุผลทั้งปวง

ปกติพระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่องประเภทนี้ไม่ใช่หรือคับ
พวกกำเนิดโลก จักรวาล



ศึกษาจากพระไตรปิฏก อรรถกถา เทียบเคียง กับสิ่งที่วิยากรพูด ให้ดีครับ


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

๔. อัคคัญญสูตร (บางส่วน)

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกวาเสฏฐสามเณรมาแล้วตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสอง
มีชาติเป็นพราหมณ์ มีตระกูลเป็นพราหมณ์ ออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ ดูกร
วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ไม่ด่าว่าเธอทั้งสองบ้างดอกหรือ ฯ
สามเณรทั้งสองนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์
พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้ง ๒ ด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลด-
*หย่อนเลย พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามต่อไปว่า ก็พวกพราหมณ์พากันด่าว่าเธอ
ทั้งสองด้วยถ้อยคำอันเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนอย่างไร
เล่า สามเณรทั้งสองกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันว่า
อย่างนี้ว่า พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม
พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียว
บริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจาก
อุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาท
ของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเสียแล้ว ไปเข้ารีดวรรณะ
ที่เลวทราม คือ พวกสมณะที่มีศีรษะโล้น เป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ เป็น
พวกเกิดจากเท้าของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละพวกที่ประเสริฐที่สุดใดเสีย ไป
เข้ารีดวรรณะเลวทราม คือพวกสมณะที่มีศีรษะโล้น เป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ
เป็นพวกเกิดจากเท้าของพรหม ข้อนั้นไม่ดี ไม่สมควรเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกพราหมณ์พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้งสองด้วยถ้อยคำที่เหยียดหยาม อย่างสมใจ
อย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลยอย่างนี้แล พระองค์จึงตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและ
ภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของพวกเขาไม่ได้ จึงพากันพูดอย่างนี้
พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์
พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์
พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิด
จากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม
ดังนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ตามที่ปรากฏอยู่แล คือ นางพราหมณี
ทั้งหลายของพวกพราหมณ์ มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกกินนม
อยู่บ้าง อันที่จริง พวกพราหมณ์เหล่านั้น ก็ล้วนแต่เกิดจากช่องคลอดของนาง
พราหมณีทั้งนั้น พากันอวดอ้างอย่างนี้ว่า พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐ
ที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็น
วรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่
พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม
พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม เขาเหล่านั้นกล่าวตู่พรหม และพูดเท็จ
ก็จะประสบแต่บาปเป็นอันมาก ฯ



เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ บรรทัดที่ ๑๗๐๓ - ๒๑๒๙. หน้าที่ ๗๑ - ๘๘.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1703&Z=2129&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=51

-------------------------------------------------------------

จักกวัตติสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1189&Z=1702&pagebreak=0


( ผมสรุปได้ว่า ขัยอายุของมนุษย์จะน้อยลงไปเรื่อย พร้อมกับศีลธรรม จนเมื่อ เหลือ 10 ปี จะเกิดการฆ่ากัน มีบางส่วนที่หลบหนี แล้วเมตตาต่อกัน มีศีลธรรมมากขึ้น อายุขัยก็เพิ่มขึ้นเรื่อย จนถึง อสงไขยปี (เลขศูนยย์ 140 ตัว) และลดลงอีกจนถึง ๘๐,๐๐๐ ปี พระศรีอาริย์ จะอุบัติขึ้นในสมัยนั้น )
-------------------------------------------------------------



หน่วยที่ ๘ อัคคัญญสูตรกับทฤษฎีวิวัฒนาการ
http://www.geocities.com/watmai2001/tipitaka_15.htm


สิ่งที่ควรรู้
๑. สาระสำคัญของอัคคัญญสูตร
๒. ทฤษฎีวิวัฒนาการคืออะไร ?
๓. ข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างแนวคิดทั้งสอง
๑. สาระสำคัญของอัคคัญญสูตร
๑.๑ เหตุเกิด ที่บุพพาราม สาวัตถี
๑.๒ บุคคล พระพุทธเจ้ากับสามเณร ๒ รูป วาเสฏฐกับภารทวาชะ ผู้เป็นพราหมณ์
๑.๓ สารคำโต้ตอบ-ถูกพราหมณ์ด่าว่า วรรณะพราหมณ์ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ บริสุทธิ์-ไม่บริสุทธิ์ เกิดจากอุระของพรหม วรรณะอื่นเลวทรามเกิดจากเท้าของพรหม
๑.๔ สารคำตอบของพระพุทธเจ้า
คนก็คือคน เกิดจากมารดา (นางพราหมณี) มิใช่เกิดจากพรหม คนจะเลวจะดีอยู่ที่การกระทำ มิใช่วรรณะ ธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งปัจจุบันและอนาคต


-----------------------------------------------------------------------
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 5:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คามินธรรม พิมพ์ว่า:
ดูทีวีรายการของเบนซ์ทองหล่อ ช่อง nbt
วิทยากรหญิงนี่เขาพูดโดยสรุปว่า

มนุษย์เกิดจากพรมที่เริ่มมีกายหยาบ คนมีอายุ 8 หมื่นปี
จนคนเริ่มมีตัวมีตน
จนคนมีอายุขัย 5-10 ปี
มีเจ้าจักรพรรดิคนเดียว และมีพระศรีอารย์
อะไรทำนองนี้


นี่มันมาจากไหนอะคับ ไม่มีในไตรปิฏกใช่ไหม
ผมฟังแล้วมันขัดความรู้สึกและเหตุผลทั้งปวง

ปกติพระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่องประเภทนี้ไม่ใช่หรือคับ
พวกกำเนิดโลก จักรวาล



พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)


http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=โอปปาติกะ


โอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น
คือ เกิดผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น
(ข้อ ๔ ในโยนิ ๔);
บาลีว่า รวมทั้งมนุษย์บางพวก



มนุษย์ที่เป็นโอปปาติกะ หมายถึงมนุษย์สมัยต้นกัปป์ เมื่อโลกเกิดใหม่ ๆ มีมนุษย์เกิดจากพรหมที่ลงมากินง้วนดินครับ

ในตอนแรก ๆ ก็ไม่มีเพศหรอกครับ แต่กิเลส ตัณหา ที่มีมาเป็นตัวเปลี่ยนแปลง ร่างกายของมนุษย์

ในทางพระอภิธรรมเรียก กรรมชรูป ครับ

ในพุทธกาลมี ชายบางคนเปลี่ยนรูปเป็นหญิงทันที ด้วยทำอกุศลกรรมกับพระอรหันต์ อย่างเช่น เรื่องพระโสไรยเถระ



ขณะนั้น พระมหากัจจายนเถระมีความประสงค์จะเข้าไปสู่โสไรยนคร เพื่อบิณฑบาต ห่มผ้าสังฆาฏิภายนอกพระนคร. ก็สรีระของพระเถระมีสีเหมือนทองคำ ลูกชายของโสไรยเศรษฐีเห็นท่านแล้ว จึงคิดว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ควรเป็นภริยาของเรา, หรือสีแห่งสรีระของภริยาของเรา พึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั้น.”
ในขณะสักว่าเขาคิดแล้วเท่านั้น เพศชายของเศรษฐีบุตรนั้น ก็หายไป, เพศหญิงได้ปรากฏแล้ว. เขาละอายจึงลงจากยานน้อยหนีไป. ชนใกล้เคียงจำลูกชายเศรษฐีนั้นไม่ได้ จึงกล่าวว่า “อะไรนั่นๆ ?” แม้นางก็เดินไปสู่หนทางอันไปยังเมืองตักกสิลา.


http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=13&p=9


------------------------------------------------------

มีเรื่องราวของ การกำเนิดของ มนุษย์ในพระไตรปิฏก อรรถกถา ที่เกิดจาก ต้นมะขาม กอไผ่ หรือ เลือด ยังมีเลยครับ

(เช่น นางจิญจมาณวิกาเกิดจากต้นมะขาม นางเวฬุวดีเกิดจาก ต้นไผ่ นางปทุมวดีเกิดจากดอกบัว โอรสของนางปทุมวดีรวม ๔๙๙ องค์ เกิดจากโลหิต เป็นต้น)


http://larndham.net/index.php?showtopic=27992&st=4

----------------------------------------------

ผมว่าเรื่องราวเหล่านี้ทางวิทยาศาสตร์คงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ในทางพุทธศาสตร์อธิบายได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 5:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โอว
มันพิศดารปานนั้น ไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือเลย

แต่ยังไงก็ขอบพระคุณคุณเฉลิมศักดิ์1นะคับ
สาธุ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 5:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

natdanai พิมพ์ว่า:
ฌาณ พิมพ์ว่า:
สาธุ สาธุครับ สาธุ

ผมขอถามครับว่า นามรูปแรกๆ...เกิดขึ้นมาได้อย่างครับ
อะไรสร้างนามรูป....อะไรคือสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของสังสารวัฏ


ขอแสดงความเห็นสักเล็กน้อยครับกับคำถามของท่าน

นามรูปแรก เกิดขึ้นเมื่อมี (จิต) วิญญาณครับ

สิ่งมีชีวิต( มีวิญญาณครอง )ชนิดแรกของสังสารวัฏ ก็น่าจะเป็นจำพวก สังเสธชะ(ไม่รุพิมพ์ถูกป่าว) เพราะกำเนิดจาก ไคล ขี้ตะใคร่

อันนี้พิจารณาจานิยาม 5 และ กำเนิด 4


พิมพ์ไม่ถูกครับ ยิ้ม

ต้องแบบนี้ครับ สังเสทชกำเนิด

เพิ่มเติมจาก พระไตรปิฏก อรรถกถา พระอภิธัมมัตถสังคหะ


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=12&A=2471&w=กำเนิด_๔

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์



กำเนิด ๔
[๑๖๙] ดูกรสารีบุตร กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ๔ ประการเป็นไฉน? คือ อัณฑชะ-
*กำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร ก็อัณฑชะกำเนิด
เป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เราเรียกว่า อัณฑชะกำเนิด
ดูกรสารีบุตร ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ชำแรกไส้ [มดลูก] เกิด
นี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด
ย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล [ของสกปรก]
นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน? เทวดา สัตว์นรก
มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร
กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ดูกรสารีบุตร ผู้ใดแล พึงว่าซึ่งเราผู้รู้อยู่อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า
ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ ของพระสมณโคดมไม่มี
พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้ง
ได้เอง ดูกรสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย
ก็เที่ยงแท้ ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้ ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงกระหยิ่มอรหัตผล ในปัจจุบันทีเดียว ฉันใด
ดูกรสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย
ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.

คติ ๕

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๒๔๗๑ - ๒๗๘๓. หน้าที่ ๑๐๑ - ๑๑๓.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=2471&Z=2783&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=159


----------------------------------------------------------------------------
พระอภิธัมมัตถสังคหะ มีการอธิบาย รูป ตามแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ในปริจฌฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค ดังนี้

http://www.abhidhamonline.org/aphi/p6/082.htm

ตามนัยแห่งกำเนิด

กำเนิดบาลีว่า โยนิ หมายถึงอาการที่เกิดใหม่ของสัตว์ทั้งหลายอีกนัยหนึ่งหมายความว่า ที่ที่ปฏิสนธิวิญญาณอาศัยเกิด หรือที่ที่สัตว์ทั้งหลายอาศัยเกิดมี ๔ อย่าง

๑. ชลาพุชกำเนิด ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดา เกิดในมดลูก คลอดออกมา เป็นตัวเลย แล้วค่อย ๆ โตขึ้นตามลำดับ สัตว์ที่เป็นชลาพุชกำเนิด ได้แก่

ก. มนุษย์

ข. เทวดาชั้นต่ำ

ค. สัตว์ดิรัจาน

ง. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตจำพวกที่ถูกไฟเผาอยู่เสมอ)

จ. อสุรกาย

ที่เรียกว่าเทวดาชั้นต่ำ ในที่นี้หมายถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เป็นภุมมัฏฐ เทวดา คือเทวดาที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดิน ไม่มีวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่ ซึ่งมีชื่อว่า วินิปาติกอสุรา และเวมานิกเปรต เฉพาะพวกที่ปฏิสนธิด้วยอุเบกขา สันตีรณกุสลวิบาก เท่านั้น

๒. อัณฑชกำเนิด คือเกิดในฟองไข่ ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดาเหมือนกัน แต่มีฟองห่อหุ้ม คลอดออกมาเป็นไข่ก่อน แล้วจึงแตกจากไข่มาเป็นตัว และค่อย ๆ เติบโตขึ้นตามลำดับ สัตว์ที่เป็นอัณฑชกำเนิด ได้แก่

ก. มนุษย์ (มีมาในธัมมบทว่า พระ ๒ องค์ที่เรียกกันว่า ทเวพาติกเถระ ซึ่งเป็นลูกของโกตนกินรี เมื่อเกิดมาทีแรกออกมาเป็นฟองไข่ก่อน แล้ว จึงคลอดออกมาจากฟองไข่นั้นอีกทีหนึ่ง)

ข. เทวดาชั้นต่ำ

ค. สัตว์ดิรัจฉาน

ง. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต)

จ. อสุรกาย

ชลาพุชกำเนิด และอัณฑชกำเนิด ทั้ง ๒ นี้ รวมเรียกว่า คัพภเสยยกกำเนิด เพราะต้องอาศัยเกิดในครรภ์มารดาเหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงว่า ออกมาเป็นตัวเลย หรือออกมาเป็นฟองไข่ก่อน แล้วจึงแตกเป็นตัวภายหลัง

๓. สังเสทชกำเนิด หมายถึงเกิดขึ้นในที่มีความเปียกชื้น เกิดขึ้นโดยไม่ต้อง อาศัยบิดา มารดา ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา เกิดขึ้นโดยอาศัย ต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ ดอกบัว โลหิต หรือที่เปียกชื้น เป็นต้น เกิดมาก็เล็กเป็นทารก แล้วจึง ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา สัตว์ที่เป็นสังเสทชกำเนิด ได้แก่

ก. มนุษย์ (เช่น นางจิญจมาณวิกาเกิดจากต้นมะขาม นางเวฬุวดีเกิดจาก ต้นไผ่ นางปทุมวดีเกิดจากดอกบัว โอรสของนางปทุมวดีรวม ๔๙๙ องค์ เกิดจากโลหิต เป็นต้น)

ข. เทวดาชั้นต่ำ

ค. สัตว์ดิรัจฉาน

ง. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต)

จ. อสุรกาย

๔. โอปปาติกกำเนิด หมายถึงเกิดขึ้นและใหญ่โตเต็มที่ในทันทีทันใดนั้นเลย ทีเดียว ไม่ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดา ไม่ได้อาศัยสิ่งใดเกิด อาศัยอดีตกรรมอย่าง เดียว สัตว์ที่เป็นโอปปาติกกำเนิด ได้แก่

ก. มนุษย์ มีในสมัยต้นกัปป์

ข. เทวดาทั้ง ๖ ชั้น (เว้นเทวดาชั้นต่ำ)

ค. พรหมทั้งหมด

ง. สัตว์นรก, สัตว์ดิรัจฉาน, อสุรกาย

จ. เปรต (รวมทั้งนิชฌามตัณหิกเปรตด้วย)

๕. หรือจะ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า

ก. มนุษย์ ๑ ภูมิ

ข. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา (เว้นเทวดาชั้นต่ำ) ๑ ภูมิ

ค. สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภูมิ

ง. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต) ๑ ภูมิ

จ. อสุรกาย ๑ ภูมิ

รวม ๕ ภูมินี้ มีกำเนิดได้ทั้ง ๔

๖. เทวดาชั้นต่ำ (เทวดาชั้นจตุมหาราชิกาที่เป็นภุมมัฏฐเทวดา) มีกำเนิดได้ เพียง ๓ คือ ชลาพุชกำเนิด อัณฑชกำเนิด และสังเสทชกำเนิด เท่านั้น

๗. เทวดาตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป ๕ ภูมิ รูปพรหม ๑๖ ภูมิ อรูปพรหม ๔ ภูมิ นิชฌามตัณหิกเปรต ๑ ภูมิ และสัตว์นรก ๑ ภูมิ มีกำเนิดได้อย่างเดียว คือ โอปปาติกกำเนิด

๘. ชลาพุชกำเนิด และ อัณฑชกำเนิด ทั้ง ๒ กำเนิดนี้ รวมเรียกว่า คัพภเสยยกกำเนิด นั้น ย่อมเกิดได้เฉพาะในกามภูมิเท่านั้น

ในปฏิสนธิกาล มีรูปเกิดได้ ๓ กลาป คือ กายทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, หทยทสกกลาปมีรูป ๑๐ รูป และภาวทสกกลาป(กลาปใดกลาปเดียว)มีรูป ๑๐ รูป รวม ๓ กลาป เป็นรูป ๓๐ รูป แต่ถ้านับรวมรูป (ซ้ำไม่นับ) ก็ได้เพียง ๑๕ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘, ชีวิตรูป ๑, กายปสาทรูป ๑, หทยรูป ๑, อิตถีภาวรูปหรือ ปุริสภาวรูป ๑, ปริจเฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑, และสันตติรูป ๑

รูปที่เกิดไม่ได้ในปฏิสนธิกาล ๑๓ รูป คือ ปสาทรูป ๔ (เว้นกายปสาทรูป), สัททรูป ๑, ภาวรูป (รูปใดรูปเดียว) ๑, วิญญัตติรูป ๒, วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑, และ อนิจจตารูป ๑

ในปวัตติกาล ถ้าไม่บกพร่องเลย รูปก็เกิดได้ทุกกลาป คือ กัมมชกลาป ๘ (เว้นอิตถีภาวทสกกลาป หรือปุริสภาวทสกกลาป กลาปใดกลาปหนึ่ง), จิตตชกลาป ๖, อุตุชกลาป ๔, อาหารชกลาป ๒, แต่เมื่อนับรวมรูป (ซ้ำไม่นับ) ก็ได้ครบทั้ง ๒๗ รูป คือ ต้องเว้นภาวรูป รูปใดรูปหนึ่งเสีย ๑ รูป

๙. สังเสทชกำเนิด และ โอปปาติกกำเนิด ถ้าเกิดในกามภูมิ

ในปฏิสนธิกาล ก็มีกัมมชกลาปเกิดได้ทั้ง ๘ กลาป (เว้นภาวทสกกลาปเสีย ๑ กลาป เพราะคงมีได้แต่เพียงกลาปเดียว) รวม ๗๙ รูป แต่ถ้านับรวมรูป (ซ้ำไม่ นับ) ก็ได้ ๑๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘, ชีวิตรูป ๑, ปสาทรูป ๕, หทยรูป ๑, ภาวรูป (รูปใดรูปเดียว) ๑, ปริจเฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑, และ สันตติรูป ๑

รูปที่เกิดไม่ได้ในปฏิสนธิกาล ๙ รูป คือ สัททรูป ๑, ภาวรูป (รูปใดรูปเดียว) ๑, วิญญัตติรูป ๒, วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑, อนิจจตารูป ๑

ในปวัตติกาล ถ้าไม่บกพร่องเลย ก็มีรูปเกิดได้ครบทั้ง ๒๗ รูป (เว้นภาวรูป รูปใดรูปหนึ่งเสีย ๑ รูป)

อนึ่ง โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในกามภูมิ เฉพาะสัตว์นรก และนิชฌามตัณหิก เปรตนั้น ภาวรูปไม่มีทั้ง ๒ รูป เพราะสัตว์ ๒ จำพวกนี้ ไม่มีเพศ

๑๐. โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในรูปพรหม ๑๕ ภูมิ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ)

ในปฏิสนธิกาล มีรูปเกิดได้ ๔ กลาป คือ จักขุทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, โสตทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, หทยทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, ชีวิตนวกกลาป มีรูป ๙ รูป รวมเป็น ๓๙ รูป แต่ถ้านับรวมรูป (ซ้ำไม่นับ) แล้วคงได้ ๑๕ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘, จักขุปสาทรูป ๑, โสตปสาทรูป ๑, หทยรูป ๑, ชีวิตรูป ๑, ปริจ เฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑, สันตติรูป ๑

ในปวัตติกาล มีรูปเกิดได้อีก คือ สัททรูป ๑, วิญญัตติรูป ๒, วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑, อนิจจตารูป ๑ รวม ๘ รูป

ส่วนรูปที่มีไม่ได้ เกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าในปฏิสนธิกาล หรือในปวัตติกาลนั้น คือ ฆานปสาทรูป ๑, ชิวหาปสาทรูป ๑, กายปสาทรูป ๑ ,ภาวรูป ๒ รวม ๕ รูป

๑๑. โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในอสัญญสัตตภูมิ ๑ ภูมิ นั้น

ในปฏิสนธิกาล มีรูปเกิดได้กลาปเดียว คือ ชีวิตนวกกลาป มีรูป ๙ รูป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตรูป ๑

แต่เมื่อนับรูปทั้งหมดแล้ว ก็ต้องนับปริจเฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑ และสันตติ รูป ๑ ซึ่งไม่นับเป็นองค์ของกลาปนั้นเพิ่มเข้าไปอีกด้วย จึงเป็นรูปที่เกิดได้ใน ปฏิสนธิกาล เป็นจำนวน ๑๒ รูป

ในปวัตติกาล มีรูปเกิดได้อีก ๕ รูป คือ วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑ และ อนิจจตารูป ๑

๑๒. โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในอรูปพรหมนั้น ไม่มีรูปเกิดเลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 5:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฌาณ พิมพ์ว่า:
สาธุ สาธุครับ สาธุ

ผมขอถามครับว่า นามรูปแรกๆ...เกิดขึ้นมาได้อย่างครับ
อะไรสร้างนามรูป....อะไรคือสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของสังสารวัฏ


ตัณหาครับ ที่สร้างรูปชีวิต นามชีวิต ขึ้นมา นานมาแล้วครับ



-----------------------------------------------------------


พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
http://84000.org/true/index.html


158 วัฏสงสารที่ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย

ปัญหา เราอาจจะทราบได้ไหมว่า เราเริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ?



http://larndham.net/index.php?showtopic=28187&st=3

เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฏพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้”

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=พรหมชาลสูตร&book=9&bookZ=33

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

พระนิพพาน
http://larndham.net/index.php?showtopic=24144&st=1

____________________________________


หนทางสู่การไม่ต้องมี รูป นาม อีกต่อไป ( ไม่ผุดไม่เกิด ยิ้ม )

http://www.geocities.com/toursong1/kam/ch.htm
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
kokorado
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 10:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มโนธาตุ เกิดมาจากความสมดุลของธาตุทั้ง 4 และมโนธาตุ จะหลุดพ้นได้ก็ต่อเมื่อ สละธาตุทั้ง 4
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง