ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 4:22 pm |
  |
ในอดีตสังคมไทยมีความสงบและเรียบง่าย
ครอบครัวต่างอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าปู่ย่าตายาย และลูกหลาน
สื่อทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์
ที่นำพาข่าวสาร ตลอดจนวัฒนธรรมจากต่างถิ่น
เข้ามาสู่ครอบครัวก็มีน้อย
ลูกหลานจะได้พบเห็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต
เฉพาะจากวิถีปฏิบัติของผู้ใหญ่ที่อยู่ในครอบครัว
หรือในละแวกบ้านเป็นหลัก
ปัจจุบันครอบครัวไทยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน
อย่างพร้อมหน้าเหมือนเมื่อก่อน
สื่อทั้งหลายก็มีมากขึ้นจนจาระไนไม่ไหว
และต่างก็โหมกระหน่ำนำเสนอข่าวสารทุกอย่างเข้าสู่ครอบครัว
วันแล้ววันเล่าไมว่าจะเป็นรูปแบบดำเนินชีวิตของคน ทั้งดีและไม่ดี
วัฒนธรรมแปลกๆ จากแดนไกล
หรือการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
ในที่สุดเราก็พบว่า ลูกหลานมีพฤติกรรมนอกลู่นอกทางมากขึ้น
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้??... มันหมายความว่าพ่อแม่ทุกวันนี้
ไม่ได้อบรมบ่มนิสัยลูกกันแล้วอย่างนั้นหรือ?
โดยส่วนตัวผมมีความเห็นว่า ที่จริงแล้วพ่อแม่ทุกคนในวันนี้
ก็ยังอบรมบ่มนิสัยลูกกันอยู่ ไม่ได้แตกต่างจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรา
หรอกนะครับ แต่ปัญหามันเกิดจากวิธีการที่เราใช้ต่างหาก
ที่มันเริ่มไม่ได้ผล
สังคมไทยอบรมลูกหลานด้วยวิธี “สั่ง” และ “สอนด้วยคำพูด”
มาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว และทุกวันนี้เราก็ยังคงใช้วิธีการนี้กันอยู่
แต่เราต้องไม่ลืมด้วยว่า ปัจจุบันสภาพสังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อสังคมเปลี่ยนวิธีการที่เคยได้ใช้ก็เปลี่ยนไปด้วย
ความรู้ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราเกิดความเข้าใจว่า
การปลูกฝังนิสัยที่เหมาะสมให้กับลูกหลาน
หรือภาษาทางวิชาการเข้าใช้คำว่า “กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม”
หรือ “Socialization” ด้วยการสั่งและสอนด้วยคำพูดเพียง
อย่างเดียวนั้นไมได้ผล เพราะพฤติกรรมทางสังคมและนิสัยใจคอของ
มนุษย์นั้นเป็นเรื่องของทักษะ ซึ่งการปลูกฝังทักษะจะต้องมีแบบอย่าง
ให้ผู้ถูกสอนเห็นและจะต้องมีแบบฝึกหัด ให้เขาได้ลงมือปฏิบัติฝึกฝน
หลายคนอาจตั้งคำถามว่าหากการ “สั่ง”
และ “สอนด้วยคำพูด”ไม่ได้ผล
แล้วทำไมผู้ใหญ่อย่างเราๆ ซึ่งได้ผ่านกระบวนการแบบนี้มาแล้ว
ทั้งนั้น ยังสามารถเป็นคนดีของสังคม
และทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้อยู่
หากวิเคราะห์ตามทฤษฎีเซลล์กระจกเงา
ซึ่งเป็นการค้นพบใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง
ใน “รักลูก” ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ผมคิดว่าที่เราเป็นคนดีได้เช่นทุกวันนี้
ไม่ใช่การ “สั่ง” และ “สอนด้วยคำพูด” ของพ่อแม่ของเราหรอกครับ
แต่เราดีได้เพราะ “แบบอย่างดีๆ”
ซึ่งพวกเราเห็นได้จากการปฏิบัติตัวของพ่อแม่และปู่ย่าตายายต่างหาก
เมื่อตอนเป็นเด็กเราอยู่กับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย
และญาติพี่น้องเราได้เห็นการปฏิบัติของพวกท่านอยู่ทุกวัน
ยายให้เราช่วยหิ้วปิ่นโตไปวัด แม่ให้เราเอาแกงไปส่งป้าข้างบ้าน
เมื่อถึงเทศกาลญาติๆ ก็กลับมากราบญาติผู้ใหญ่ของเรา
หรือพ่อแม่ของเราก็พาไปกราบญาติผู้ใหญ่
เราได้เห็นได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้วันแล้ววันเล่า
แบบอย่างอื่นๆ ที่ไม่ดีก็มีให้เราเห็นน้อย
เราไม่เคยเห็นนักการเมืองออกมาด่าทอปะทะคารมกัน
เราไม่เคยได้เห็นดาราออกมาให้สัมภาษณ์
ว่าเรื่องฟรีเซ็กซ์เป็นเสรีภาพส่วนบุคคล
เราไม่เคยต้องเผชิญกับการโฆษณาสินค้าแบบบ้าเลือด
โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมอย่าง เช่นทุกวันนี้
เราได้พบแต่แบบอย่างที่ดี โดยไม่มีแบบอย่างที่ไม่เหมาะสมมาเจือปน
อันนี้ต่างหากที่ทำให้เราเป็นคนดีได้
ไม่ใช่เพราะ “การสั่งสอน” ของพ่อแม่เรา
พ่อแม่หลายคนบอกว่า ทุกวันนี้ตนก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกอยู่แล้ว
แต่ทำไมลูกถึงยังออกนอกลู่นอกทาง?
ผมมีความเห็นในเรื่องนี้ 2 ประการครับ
ประการแรก คือ น้ำหนักมันไม่พอ
จากรายงานการวิจัยของ “ศูนย์วิจัยรักลูกกรุ๊ป”
เราพบว่าพ่อแม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลร้อยละ 40
ยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกอยู่
แต่ความถี่และน้ำหนักของมันสู้กับแบบอย่างที่ไม่ดีที่มีอยู่ในสังคม
และใน เรื่องรอบๆ ตัวเราไม่ได้
ลูกของเราได้สัมผัสกับพ่อแม่วันละไม่กี่ชั่วโมง
แต่สัมผัสกับโทรทัศน์หรือ อินเตอร์เน็ตวันละไม่น้อยกว่า 3-4 ชั่วโมง
เพราะฉะนั้นแม้เราจะเป็นแบบอย่างที่ดี แต่ก็ไม่มีความหมายอะไร
ประการที่สอง ผมคิดว่าเราเผลอกันบ่อยครั้ง
บางเรื่องแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เราไม่ได้ใส่ใจ ปล่อยเลยตามเลย
สุดท้ายลูกก็ซึมซับเอาสิ่งที่เราทำไปเป็นแบบอย่างของเขา
ยกตัวอย่างเช่นเวลาขับรถบางคนชอบสบถ
โดยลืมไปว่าลูกเราก็นั่งอยู่ด้วย
หรือไม่ยอมให้ทางรถคันอื่น เพราะเขามาแบบผิดกฎจราจร
แล้วเราเป็นฝ่ายถูก เราอาจจะบอกตนเองว่า
เราสอนให้ลูกเคารพกฎกติกา
แต่อย่าลืมนะครับลูกเราได้เห็นแบบอย่างของความไม่มีเมตตา
ไม่มีการให้อภัยของเราแล้ว
แล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไร
หากไม่สามารถปลูกฝังสิ่งที่สังคมต้องการให้ลูกของเราได้?
สังคมจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยการที่ทุกคนเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์
ศีลธรรม คุณธรรม ประเพณี ตลอดจนบรรทัดฐานที่สังคมช่วยกันตั้งขึ้น
ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำแบบนี้ดูครับ
1. บอกตนเอง เตือนตนเองอยู่เสมอว่า
เด็กเลียนแบบทุกอย่างที่เราปฏิบัติ
อย่าเผลอทำแบบอย่างที่ไม่ดีให้ลูกเห็น แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
2. จะสอนอะไรลูก เราก็ต้องทำแบบนั้นเสมอ
อย่าสอนด้วยคำพูดเพราะมันไม่ได้ผล
3. กันลูกของเราออกจากแบบอย่างที่ไม่ดี
รายการโทรทัศน์ห่วยๆ เกมที่รุนแรง ภาพยนตร์ลามก
เอาออกให้ห่างจากลูกเรา
4. ให้ลูกได้ฝึกฝนทำในสิ่งที่ดีอยู่เสมอ
ต้องคอยให้กำลังใจเขาสนับสนุนเขา
เพราะมันจะทำให้เขาเข้าใจและเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมได้ดีกว่า
ธรรมชาติของคุณธรรมจะเริ่มมาจากสิ่งง่ายๆ
แล้วพัฒนาไปสู่ความซับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ
จากขั้นต้นก้าวไปสู่ขั้นยอมรับว่า มันคือ คุณค่าของชีวิต
แต่การที่จะช่วยให้มันเกิดขึ้นและพัฒนาต่อไปในตัวตนของมนุษย์นั้น
จำเป็นจะต้องใช้กระบวนการที่ถูกต้อง
จากประสบการณ์ในอดีตและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ
บอกเราว่า การสอนด้วยแบบอย่างคือสิ่งที่ได้ผลที่สุด
เลิกสอนกฎเกณฑ์และคุณธรรมลูกด้วยการพร่ำบ่นสั่งสอนได้แล้วครับ
หันมาใส่ใจกับการเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกอย่างจริงจังกันเสียทีนะครับ
ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 26 ฉบับที่ 302 มีนาคม 2551
http://www.elib-online.com/doctors51/child_child006.html
 |
|
|
|
   |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
18 ส.ค. 2008, 8:59 pm |
  |
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ควรเป็นแบบอย่างที่ดี จะดีกว่า โมทนาสาธุค่ะ  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|