Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
สื่อรักผ่านถึงโพธิญาณ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ทัพหลวง
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 28 มิ.ย. 2008
ตอบ: 161
ตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2008, 6:11 pm
สื่อรักผ่านถึงโพธิญาณ
โดย พระมหาอุเทน
๔ อสงไขย ๑ แสนกัป ยาวนานสุดจะประมาณ ไม่มีคู่รักใดทำสถิติเทียบเท่า นับเป็นตำนานรักที่ยาวนานที่สุดในพระพุทธศาสนา คือคู่รักอมตะนิรันดร ทว่าทั้งสองมิได้ก่อความรักเพื่อขยายสังสารวัฏให้ยืดยาว หากแต่เพื่อความสิ้นสุดของสังสารวัฏ ตัดภพชาติมุ่งสร้างกุศลบำเพ็ญบารมีร่วมกัน เรียกว่า สื่อรักผ่านถึงโพธิญาณ คือรักจะบรรลุโพธิญาณนั่นเอง มิได้รักหน่วงเหนี่ยวให้อยู่ในสังสารวัฏ
เมื่อทั้งสองร่วมบำเพ็ญบารมีจนเต็มรอบ ก็พร้อมจะบรรลุอนุตรโพธิญาณ ในชาติสุดท้าย (อันติมชาติ) พระโพธิสัตว์ประสูติเป็นพระมกุฎราชกุมารในศากยวงศ์ พระนางยโสธราประสูติเป็นพระราชธิดาในโกลิยวงศ์ ด้วยความที่มีจิตเสมอกัน จึงประสูติพร้อมกัน (สหชาติ) ทั้งสองพระองค์ทรงเจริญวัยอย่างสง่างาม เมื่ออยู่ในวัยเหมาะสมก็ทรงอภิเษกสมรสครองคู่อยู่ด้วยกันหลายปี จนเกิดพยานรัก แรกพระนางยโสธราทรงให้ประสูติกาลพระกุมาร พระโพธิสัตว์ทรงอุทานว่า ราหุลํ ชาตํ แปลว่า ห่วงเกิดแล้ว (ห่วงที่จะผูกรัดได้เกิดแล้ว) คำว่า ราหุล จึงกลายเป็นพระนามของพระกุมาร ภายในคืนนั้นเอง พระโพธิสัตว์เสด็จออกผนวชอธิษฐานเพศบรรพชิตริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงบำเพ็ญพุทธกิจอยู่ในช่วงหนึ่งก็ทรงย้อนระลึกถึงพระนางยโสธราว่า
เคยอุ่นอ้อมพร้อมเพรียงร่วมเคียงคู่
ขวัญพธูช่วยเอื้อคอยเกื้อหนุน
พระนางน้องโสภีนั้นมีคุณ
เป็นคู่บุญบารมีแต่ก่อนมา
ทรงประสงค์จะเสด็จไปโปรด จึงพร้อมด้วยพระอริยสาวกเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ แสดงธรรมโปรดพระนางยโสธราให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ภายหลังมีพระบรมพุทธานุญาตให้สตรีถือเพศบรรชิตบวชเป็นพระภิกษุณีในพระศาสนาได้ พระนางยโสธราพร้อมด้วยนางศากิยานีบริวารจำนวนมากก็เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุณี ทรงบำเพ็ญเพียรไม่ถึงกึ่งเดือนก็บรรลุอริยสัจ ๔ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
รักแท้ต้องเสียสละ
พระยโสธราเถรีกราบทูลเล่าเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระนางในอดีตชาติให้พระพุทธองค์ทรงสดับ ช่างเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจยิ่งนักพระนางได้กลายเป็นวัตถุทานให้พระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระโพธิสัตว์บริจาคไม่เฉพาะแต่สมัยเสวยพระชาติเป็นพระนางมัทรีในเวสสันดรชาดก พระเวสสันดรบริจาคพระนางให้เป็นภรรยาของพระอินทร์ผู้มาในรูปพราหมณ์เท่านั้น นับหลายพันโกฏิกัป พระโพธิสัตว์ก็บริจาคพระนางให้เป็นภรรยาของคนอื่นเช่นเดียวกัน พระนางทรงอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพระพุทธเจ้า ทว่าเราชาวพุทธไม่ค่อยได้เอ่ยถึงสักเท่าไหร่ แม้นไม่มีพระนางยโสธราเป็นคู่ครอง พระโพธิสัตว์จักไม่อาจบำเพ็ญบารมีในขั้นปรมัตถบารมี (สละสิ่งของอันเป็นที่รักยิ่ง) สตรีนางใดไม่อาจทัดเทียมพระนางในทางเสียสละ สละได้แม้กระทั่งชีวิต ทั้งนี้ เพราะพระนางมีจิตเสมอกับพระโพธิสัตว์ จงรักภักดีอย่างไม่เสื่อมคลาย ความรักของพระนางคือความเสียสละอย่างใหญ่หลวง ไม่คิดหวงแหนยึดเหนี่ยวเอาไว้ ปรารถนาให้พระโพธิสัตว์บรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แหละนี้ก็คือ สื่อรักผ่านโพธิญาณ
พระพุทธศาสนาเข้าใจดีว่า ความรักคืออะไร หากไม่สัมพันธ์กับโพธิญาณ มันจะฉุดรั้งให้ตกอยู่ใต้วังวนของสังสารวัฏ เที่ยวเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น น้อยนักจะสื่อรักผ่านถึงโพธิญาณ มีแต่จะรักหน่วงเหนี่ยวขมวดเกลียวสัมพันธ์ขนดแน่นอยู่ในสังสารวัฏ พระพุทธศาสนาจึงชี้บอกว่า ความรักก่อให้เกิดความทุกข์ ทั้งนี้ เพื่อให้สลัดออก เพราะทุกข์โศกเภทภัยเกิดแต่ความรัก ดังพุทธคาถาว่า
เปมโต ชายเต เปมโต ชายเต ภยัง
เปมโต วิปปมุตตัสสะ นัตถิ โสเก กโต ภยัง ฯ
รักเป็นแดนกำเนิดให้เกิดโศก ภัยทั้งโลกเกิดแต่รักประจักษ์เสมอ
ผู้พ้นรักสารพันไม่ฝันละเมอ ความบ่นเพ้อโศกภัยไหนจะมี ฯ
http://larndham.net/index.php?showtopic=27218&st=0
ทัพหลวง
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 28 มิ.ย. 2008
ตอบ: 161
ตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2008, 6:13 pm
ความเดิม
ย้อนไปในอดีตอันไกลโพ้น นับแต่นี้ ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป มีนครหนึ่งชื่อว่า อมร เจริญรุ่งโรจน์ราวกะเทพนคร สมบูรณ์ด้วยข้าวปลาธัญญาหารและรัตนะ ๗ ประการ ประชากรก็คับคั่งล้นหลาม ล้วนแต่เป็นผู้มีบุญ พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ชื่อว่า สุเมธะ มีทรัพย์สมบัติมากมายหลายโกฏิ มีปัญญาเฉียบแหลมรอบรู้หลายเรื่อง วันหนึ่งนั่งอยู่ในที่สงัด คิดว่า
"เราตกอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่อาจล่วงพ้น ควรแสวงหาพระนิพพานที่หลุดออกไปไม่เวียนกลับมาอีก"
ครั้นแล้วก็สละทรัพย์สมบัติหลายโกฏิบริจาคให้แก่คนอนาถา และวณิพพกพเนจร ออกจาเรือนไปสร้างอาศรมอยู่ที่ภูเขาธรรมิกะใกล้ป่าหิมพานต์ อธิษฐานบวชเป็นดาบสนุ่งผ้าคากรอง บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่นานเพียง ๗ วัน ก็บรรลุถึงฌานอภิญญา ในเวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร อุบัติขึ้นในโลก เสด็จออกแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ วันหนึ่งชาวปัจจันตประเทศทูลอาราธนาพระองค์ให้เสด็จมายังแคว้นของตน พากันช่วยแผ้วถางทางสำหรับเสด็จพุทธดำเนิน
วันนั้นสุเมธดาบสออกจากอาศรม ทรงฌานอภิญญาเหาะมาทางนภากาศ เห็นหมู่มหาชนโสมนัสรื่นเริง จึงลงจากนภากาศมาถาม ครั้งทราบความว่า พระพุทธเจ้าทรงประนามว่า ทีปังกร อุบัติขึ้นในโลก ก็แสนจะโสมนัส ปีติแผ่ซ่านจับทั่วสรรพางค์กาย เปล่งคำว่า "พุทโธ" ยืนคิดอยู่ว่า
"ขณะเวลานี้อย่าล่วงผ่านไป เราจะปลูกพืชคือบุญลงในที่นี้"
สุเมธดาบสขอร่วมแผ้วถางทางสำหรับเสด็จพุทธดำเนิน แผ้วถางทางพลางก็ระลึกคำว่า "พุทโธ ๆ " ไปพลาง ๆ ขณะแผ้วถางทางยังไม่ทันเสร็จ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรก็เสด็จมาพร้อมพระอรหันตขีณาสพ ๔๐๐,๐๐๐ รูป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างชื่นชมโสมนัสเปล่งเสียงสาธุการดังกังวาน ประนมมือต้อนรับพระพุทธเจ้า เทวดาประโคมดนตรีดุริยางค์ต่าง ๆ เทวดาโปรยดอกไม้ทิพย์ มีดอกมณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะ มนุษย์โปรยดอกจำปา ดอกสน ดอกกากะทิง ดอกบุนนาค ดอกการะเกด ลงรายล้อมทั่วทุกทิศ
ลำดับนั้นสุเมธดาบสสยายผมลาดผ้าคากรอง และผ้าหนังสัตว์ลงบนเปือกตม นอนคว่ำหน้าลง ณ ที่นั้นเอง คิดว่า
"พระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจงเหยียบเราเสด็จข้ามไปเถิด อย่าทรงเหยียบเปือกตมเลย จะเกิดประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา"
ขณะนอนคว่ำหน้าลงที่เปือกตมสุเมธดาบสเกิดความคิดว่า
"เมื่อเราประสงค์อยู่ ก็พึงเผากิเลส ให้เหือดหายภายในวันนี้ (บรรลุอรหัต) แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า ผิดว่าเราบรรลุธรรม ในศาสนานี้ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้ เรามีกำลังไม่ข้ามพ้นเพียงผู้เดียว จะช่วยมนุษยโลกและเทวโลกให้ข้ามพ้นด้วย ด้วยกุศลยิ่งใหญ่ที่เราบำเพ็ญในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จักบรรลุสัพพัญญุตญาณ ตัดกระแสสังสารวัฏ ทำลายภพทั้ง ๓ ก้าวขึ้นสู่ธรรมนาวา ช่วยมนุษย์และเทวาให้ข้ามพ้น"
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร เสด็จไปประทับยืนเหนือเศียรสุเมธดาบส ตรัสพยากรณ์ว่า
"ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้รุ่งเรืองด้วยตบะ ในกัปประมาณมิได้นับแต่กัปนี้ เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก เสด็จออกจากรุงกบิลพัสดุ์ บำเพ็ยทุกรกิริยา ประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวปายาสเสด็จไปแม่น้ำเนรัญชรา เสวยข้าวปายาสริ่มฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้ว เสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์ ทรงกระทำประทักษิณโพธิมณฑล ตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถโพธิพฤกษ์นั่นแล"
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ฟังพุทธพยากรณ์อย่างนี้ ก็ชื่นชมโสมนัส กล่าวว่า "ท่านผู้นี้เป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้า (พุทธางกูร) หากเราทั้งหลายพลาดจากพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จะพร้อมหน้าต่อหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านี้ในอนาคต"
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรทรงพยากรณ์สุเมธดาบสแล้ว ทรงยกพระบาทเบื้องขวาขึ้นเหยียบเสด็จข้ามไป พุทธสาวกทุกรูปกระทำประทักษิณสุเมธดาบส
ในเหตุการณ์สำคัญนั้น มีหญิงสาวเกิดในตระกูลพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อสุมิตตา ถือดอกอุบล ๘ กำ นำมาบูชาพระตถาคต เห็นสุเมธดาบสกำลังแผ้วถางทางอยู่ท่ามกลางหมู่มหาชน น่าประทับใจยิ่ง รู้ว่าความพยายามของสุเมธดาบสมีผล ยังจิตให้เลื่อมใส ไม่เห็นสิ่งใดควรถวาย จึงถวายดอกอุบลแก่สุเมธดาบส พร้อมกับกล่าวว่า
"ท่านดาบส ดอกอุบล ๕ กำจงเป็นของท่าน ดอกอุบล ๓ กำจงเป็นของดิฉัน ดอกอุบล ๕ กำของท่านกับดอกอุบล ๓ กำของดิฉัน จงมีผลเสมอกัน เพื่อความสำเร็จโพธิญาณเถิด"
ครั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ตรัสพยากรณ์สุเมธดาบสแล้ว ก็ตรัสพยากรณ์หญิงสาวสุมิตตานั้นว่า
"ดาบส หญิงสาวคนนี้จักเป็นผู้มีจิตเสมอกัน มีการกระทำเสมอกัน กระทำกรรมร่วมกัน เธอมีรูปร่างน่าดูชม หน้าตาน่ารักน่าชอบใจยิ่งนัก กล่าววาจาไพเราะอ่อนหวาน จักเป็นธรรมทายาทของท่าน รักษากุศลธรรมเหมือนเจ้าของรักษาเครื่องสมุก คอยช่วยเหลือบำเพ็ญบารมีเพื่อประโยชน์ของท่าน ละกิเลสเหมือนราชสีห์ละกรง บรรลุโพธิญาณ"
หญิงสาวเกิดในตระกูลพราหมณ์ชื่อสุมิตตานั้น ก็คือพระนางยโสธรานั่นเอง ได้อธิษฐานจิตร่วมบำเพ็ญบารมีกับพระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้นล่วงไป ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป ทั้งสองได้ครองคู่ร่วมบำเพ็ญบารมีด้วยกัน ชาติใดพระโพธิสัตว์มีคู่ครอง ชาตินั้นหมายถึงพระนางยโสธรา
สื่อรักผ่านถึงโพธิญาณ
จากหนังสือ สื่อรักผ่านถึงโพธิญาณ โดยพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ หน้า ๔๓ - ๔๙
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ สำนักพิมพ์ธรรมดา
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=15953
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th