ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 12:41 am |
|
ยินเสียงเพรียกเรียกสู่เทวาลัย
ดำเนินเดินไป
ตามมรรคามหาเทพจำลอง
ศิลาจำแลงแดงมอญ
อมชมพูเรืองรอง
มองชะม้ายจ้องดูชำเลืองตาม
เทพอัปสรรับสู่ประตูนาม
สู่ลานเขตคาม
แห่งแดนบวงสรวงเทพศิวาลัย
..........
กรรมก่อหมุนเวียนบรรจบ
เหตุพบจากทุกข์ก่อหนา
ภาพผุดดุจดั่งมายา
แต่หาหยุดยั้งดั่งใจ
นางในศีลขาวบริสุทธิ์
งามพิสุทธิ์อาภรณ์ไร้สี
ทรงซึ่งพละแห่งบารมี
กล่าววจีมธุรสวาจา
พรั่งพรูล้วนแล้วประกาศิต
สาปแช่งทั่วทิศแดนหล้า
ทรัพย์ใดเอาไปคืนมา
ของข้าอย่าถือครอบครอง
เพียงวจีกรรมผ่านข้ามภพ
สามชาติบรรจบครบหนา
ตามทวงทรัพย์คืนฟื้นมา
กลายเป็นบิดาชาติหนึ่ง
ด้วยผลปฏิบัติชาตินี้
กล่าววจีสลายสิ้นสุดซึ่ง
ปลดปล่อยจงอย่าติดตรึง
กรรมจึ่งพึงละสลายวน
ทรัพย์กูของกูหวงแหน
ตามทวงตามแค้นแดนหน
บทเรียนมีค่ามาผจญ
วางตนละซึ่งของกู
ศักติ ตารา
บันทึกไว้ ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2545
(ต้องกราบขออภัยเนื่องจากช่วงบันทึกไว้ยังแต่งกลอนไม่ค่อยเก่งค่ะ) |
|
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 12:50 am |
|
อันเพียงเสียงวิญญาณพ่อผู้ท้อถอย
ผ่านลมลอยคอยเพรียกเรียกลูกหนา
ช่วยพ่อด้วยเถิดนะยอดธิดา
พ่อนี้หนาทรมานนานนับกัลป์
จะยืนเดินนอนนั่งยังยินเสียง
แผ่วสำเนียงเพียงกระซิบแว่วแว่วหวั่น
เดิมไม่รู้ว่าท่านเป็นใครกัน
โศกจาบัลย์สั่นสะอึดตรึกทุกข์งุน
ด้วยเหตุเพราะไปทำบุญที่วัดหนึ่ง
อันนามซึ่งอุดมยานานาสมุน-
ไพรดื่นดกปกทั่วรั้วเขาดุล
แดนอวลอุ่นกรุ่นด้วยแฝงแห่งพลัง |
|
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:00 am |
|
เจ้าอาวาสนำพามาให้อ่าน
เป็นใบลานจารไขโหราหนา
สิบเอ็ดเล่มรวมทั้งตำรายา
อีกบาทาที่กำหนดนวดกายซ่อม
ด้วยภาษาที่บรรจงลงจารไข
น่าพิสมัยลายเส้นดั่งเช่นขอม
เพลินให้อ่านหัวเราะไปไม่วางยอม
แต่จิตน้อมพร้อมแปลกใจในวาที
ดึกสงัดเข้าปฏิบัติสมาธิ
ไม่ดำริคิดหวนมวลสถานที่
กลับมาบ้านสงบดิ่งนิ่งทันดี
แต่จิตรี่ครองโลดโผนโจนทะยาน |
|
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:06 am |
|
ไม่ตั้งใจเข้ารับรู้ต่างมิติ
ไม่อยากริแส่ส่ายภายนอกหนา
แต่กลับวืดย้อนกลับไปวัดนา
อนิจจาต้องรับรู้ดูจำนรรจ์
ด้วยกรรมก่อของพ่อที่ลอบขุด
ทรัพย์ในกรุสุดหวงแหนแดนอาถรรพ์
จึงต้องมนต์สาปแช่งแรงลงทัณฑ์
ชั่วกัปป์กัลป์เฝ้าทรัพย์รับใช้กรรม
(พ่อ ที่กล่าวในบทกลอน ไม่ใช่พ่อในปัจจุบันชาติ) |
|
|
|
|
|
-รักแม่-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:07 am |
|
สวัสดีครับคุณ ปุ๋ย ก็แล้วกันนะครับ จะได้ไม่เปลี่ยนไปตามนามปากกา
นอนดึกจังครับ กลอนของคุณเหมือนบันทึกเหตุการณ์อะไรซักอย่างรึเปล่าครับ |
|
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:09 am |
|
.....ทุกครั้งที่ต้องเข้าไปรับรู้มิติทางจิตวิญญาณโดยไม่ตั้งใจ ต้องเดินทางไปพบเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวทุกครั้ง เพื่อขอทราบข้อมูลที่แท้จริงในปัจจุบัน และประวัติความเป็นมาของวัดดังกล่าว
.....พื้นที่เดิมในอดีตถูกน้ำท่วมหมด และไม่สามารถนำกระดูกของพ่อขึ้นมาทำการอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณสู่สุคติได้ เนื่องจากได้ถวายที่สร้างวัด และสร้างอุโบสถคล่อมพื้นที่เดิมเอาไว้ มีเพียงทางเดินเป็นบันไดลงอุโมงค์ลึกลงไปเท่ากับตึกสามชั้น
.....เป็นเพียงประสบการณ์ทางมิติจิตวิญญาณที่เข้าไปรับรู้ในสถานที่นั้นๆโดยไม่ตั้งใจ และเป็นอุทาหรณ์สอนใจและเตือนสติตนเองเกี่ยวกับวจีกรรม.....
.....ทุกสรรพชีวิตที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวาระชีวิตใด ล้วนแล้วแต่เคยเกี่ยวข้องเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ญาติผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรามาแล้วทั้งสิ้น..... |
|
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:12 am |
|
เพียงปกติธรรมดามนุษย์หนึ่ง
ที่นึกถึงสรรพสัตว์มวลทั้งผอง
อีกชีวิตเพื่อนร่วมโลกที่โศกจอง
อย่าเศร้าหมองจะคอยปลอบประโลมใจ
ศักติ ตารา
17 ธันวาคม 2545 |
|
|
|
|
|
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:15 am |
|
หมายถึง เพราะกรรมที่ "พ่อ" ก่อไว้ จึงต้องแรงสาปแช่ง ทำให้ต้องเฝ้าสมบัติคือ ยึดถืออยู่ตลอดเวลาว่าทุกสิ่งนั้นเป็นตัวฉันของฉัน แล้วหาก" พ่อ" ได้มาพบผู้ที่ชี้แนะให้เดินในทางที่ถูก เขาจะพ้นกรรมไปได้ไหมครับ จะทำอย่างไรที่เขาจะชดใช้กรรมนั้นได้ |
|
|
|
|
|
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:19 am |
|
วันที่คุณบันทึกนั้นคือวันเกิดผมครับ |
|
|
|
|
|
-รักแม่-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 1:22 am |
|
และภาพนั้นเป็นภาพนครวัตรใช่ไหมครับ แต่วัดนั้นไม่ได้อยู่ในกัมพูชา
(นี่เดาล้วนๆ เลยครับ) |
|
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 9:58 am |
|
|
เพียงมิติทางจิตวิญญาณที่เข้าไปรับรู้โดยไม่ตั้งใจ ภาพผุดขึ้นมาเหมือนภาพยนต์ ด้วยตนเองถือพรหมจรรย์ วาจาศักดิ์สิทธิ์ในอดีตชาติ สาปแช่งคนไปทั่ว ถือพิธีกรรมเป็นใหญ่มากกว่ามุ่งที่จะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ทรัพย์สินที่คิดว่าเป็นของตนก็เฝ้าหวงแหนติดตามแม้ชีวิตจะหาไม่แล้วก็ตาม (หมายถึงข้าพเจ้าเอง)
พ่อซึ่งกล่าวในบทกลอน ได้เข้าลักลอบขุดทรัพย์สมบัติ ด้วยแรงแห่งคำสาปที่ตัวข้าพเจ้าเองสาปแช่งด้วยความหวงแหนในทรัพย์สิน แรงแห่งกรรมต้องเกิดมาเป็นพ่อลูกกันในสมัยหนึ่งอีก จนมาปัจจุบันชาติ ได้พบบ้านเดิมในอดีตชาติซึ่งกลายเป็นวัดเกือบร้างในจังหวัดพิษณุโลก
กรรมของพ่อ ที่ลักลอบบังคับขุดทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของตน ต้องทนทรมานเฝ้าทรัพย์ที่ขุดมาได้ในสภาพของวิญญาณมาจนทุกวันนี้ ทนทุกข์ทรมานด้วยถูกบุคคลอื่นสะกดด้วยคาถาและลักลอบขุดขนย้ายถ่ายเททรัพย์สินเหมือนเช่นตนเองเคยทำ และผลกรรมติดตามเหมือนรอยเกวียน ตัวข้าพเจ้าเมื่อเข้าไปรับรู้โดยไม่ตั้งใจ ทำได้แต่เพียงเปล่งวาจา "ขอถอน" ในพิธีบวงสรวงให้แก่บิดาในชาติหนึ่งที่ท่านเจ้าอาวาสจัดขึ้น...เท่านั้น...
เหตุแห่งสัญญาผุดขึ้น เมื่อปฏิบัติใหม่ๆ ข้าพเจ้าไม่สามารถดับสัญญานั้นได้ ก็ทำให้เรื่องยืดเยื้อและเป็นช่วงที่เสียใจมากที่สุด และร้องให้ไม่หยุดเมื่อไป ณ วัดซึ่งเป็นบ้านอดีตชาติ เมื่อกรรมมาบรรจบครบรอบวาระแห่งกรรมนั้นก็สิ้นสุดสลายไปไม่ผูกพันกันอีก...ยุติการหวงแหน...ยุติการติดตาม...ยุติความทนทุกข์ทรมานด้วยแรงแห่งการสาปแช่งด้วยหลงในวิเศษที่ตนได้รับ
ปัจจุบันท่านไม่ได้มาฟังสวดมนต์แล้ว แต่จะเป็นอย่างไรท่านก็ไม่ได้มารบกวนอีก แต่จะพ้นหรือชดใช้อีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ท่านก่อไว้เองอีกเช่นกัน.....และนี่คือบทเรียนที่สอนข้าพเจ้าในช่วงการปฏิบัติใหม่ สัญญาผุดแต่ไม่สามารถดับได้ รู้ก็ไม่สักแต่ว่ารู้ เห็นก็ไม่สักแต่ว่าเห็น แต่มันก็สอนนะว่า.....ทีหลังอย่าทำ.....ทีหลังอย่าทำ.....
ในภาพเป็นปราสาทบายน แห่งประเทศกัมพูชา หรือเขมร.....จ้า.....
ศักติ ตารา |
|
|
|
|
|
-รักแม่-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 2:59 pm |
|
คือ ตรงรู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ที่ผมทำไม่ได้เพราะไม่เคยสั่งสมปัญญาบารมีมาก่อนใช่ไหมครับ เพราะรู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้ บางคนจะปฏิบัติตามได้ (แต่ก็ไม่ใช่ได้ง่ายนะครับ) แต่บางคนเหมือนกับว่าจะทำไม่ได้เลย เหมือนเรียนคณิตศาสตร์ที่ฟังแค่รู้เรื่องไม่ได้ต้องนำไปใช้ได้ด้วย ถ้าเราพยายามที่จะปฏิบัติสมถะกรรมฐานไปก่อนจะนำไปสู่วิปัสนาปัญญาได้ไหมครับ (จริงๆ ก็รู้ว่าผมไม่สามารถที่จะละได้ทั้งหมด แต่มุ่งหวังที่จะลดกิเลสลงจนไม่ทุกข์ถ้า พบคนที่เคยบาดหมางกันมาก่อน (ความโกรธก็คือความรุ่มร้อนในจิตใจคือความทุกข์) หุ้นตก ไม่สมหวังในสิ่งที่ต้องการ หรือ เมื่อมีโรคภัยมาเบียดเบียน
ในชาตินี้ผมเกิดมา ร่างกายไม่เคยว่างเว้นจากโรคภัยไข้เจ็บ บางทีพบผู้คน ทั้งๆที่คนคนนั้นอยู่เฉยๆ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมกลับ อยากเข้าไปคุยด้วย สนทนา อยากรู้จัก (ไม่เกี่ยวกับความสวยงามหรือขายตรงนะครับ) แต่บางคน กลับรู้สึกไม่ชอบหน้าเลย ทั้งๆที่ไม่ได้มีใครมาทำอะไรให้เราเลย แต่ปกติผมมักจะเข้าหาคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่โกรธง่าย อารมณ์เย็น ซึ่งแทบจะตรงข้ามกับผมเลยครับ แต่ผมไม่ใช่คนบึ้งตึงนะครับ ยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกสนาน ขี้เล่น แต่ไม่ระวังวาจาและโมโหง่าย คงเป็นเพราะชาติก่อนทำปาณาฏิบาตมามาก สิ่งที่แปลกก็คือ เพื่อนสนิทที่สุดของผมมีโรคประจำตัวโรคเดียวกับผม คงต้องมาชดใช้กรรมร่วมกัน จนกว่าจะสิ้นกรรม |
|
|
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 12:49 am |
|
การปฏิบัติธรรม ก็มีเป้าหมาย คือ ความดับทุกข์ ต้องการเข้าถึงความดับทุกข์ สภาวะความดับทุกข์ก็คือ จิตใจไม่มีความเดือดร้อนใจ ไม่มีกิเลสในจิตใจ ปราศจากความเศร้าหมอง สะอาด สว่าง สงบ
คุณเข้าใจถูกต้องแล้วที่เจริญสมถะกรรมฐานไปก่อน ปัญญาจะได้เจริญไปตามลำดับและต้องเชื่อมเข้าสู่วิปัสสนาให้ได้ ซึ่งต้องมีความเข้าใจในการเจริญสติ สติต้องระลึกรู้อย่างไรจึงจะเป็นวิปัสสนา ซึ่งต้องได้ยินคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้จึงจะรู้เรื่อง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าหาครูบาอาจารย์ หรือพระผู้ปฏิบัติที่สามารถอธิบายอภิธรรมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะท่านศึกษาอภิธรรมควบคู่ไปกับการปฏิบัติด้วย
อภิญญาในการเจริญสมถะกรรมฐาน ยังเพียงแค่ครึ่งทาง สำคัญคือหลงง่ายได้อภิญญาไม่ใช่ไม่ทุกข์นะ ทุกข์มากด้วย ทุกข์จนไม่อยากได้ แต่มันเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง แต่อภิญญาในการเจริญวิปัสสนาก็คือญาณที่ตัดอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไป เมื่อถึงที่สุดก็จะตัดกิเลสขาดสิ้น ตัดไปถึงอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานเป็นสมุจเฉทประหาร
จะตัดขาดทันทีไม่ได้หรอก ต้องค่อยๆสะสมไป วิปัสสนาต้องกำหนดระลึกปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฎเป็นอารมณ์ สติต้องระลึกตรงจรดสภาวะปรมัตถ์ เช่น ความรู้สึกเย็น ตึง แข็ง ที่ไม่เป็นรูปร่าง ปรมัตถ์จริงเพียงแค่ความรู้สึก ความไหว ความตึง ความกระเพื่อม
การปฏิบัติวิปัสสนา รู้เฉพาะปัจจุบันให้สั้นที่สุด เป็นขณะๆ ไป ระลึกให้เป็นปัจจุบันซึ่งต้องมีความประกอบกันของสติสัมปัญชัญญะ ความเพียร อินทรีย์สม่ำเสมอ มีความปล่อยวางอยู่ในตัว จิตพอเหมาะ เป็นกลางจริงๆ จึงจะเห็นสภาวะการเกิดดับอย่างแยบคายซึ่งเป็นสภาวะธรรมในปัจจุบันเรื่อยไป
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา |
|
|
|
|
|
-รักแม่-
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 10:55 am |
|
ขอบคุณกัลยาณมิตรครับที่แนะนำผมในทางธรรมขอให้คุณปุ๋ย มีความเจริญในทางธรรมยิ่งขึ้นไปอีกนะครับ เพราะครั้งหนึ่งคุณได้เคยมอบปัญญาในทางธรรมให้คนที่มืดบอดทุกอย่างเช่นผม
ขอบคุณในกุศลจิตและขอคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองครับ |
|
|
|
|
|
^^^
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2006, 12:37 pm |
|
|
|
|
|